พอได้มายืนอยู่บนเวทีที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาและต่อหน้ากล้องจำนวนมาก ความกังวลก็ส่งผ่านจากปลายเท้าขึ้นมา วันนี้คือวันที่ห้าของการแข่งขัน การเริ่มต้นของการแข่งรอบรองชนะเลิศ  

 

 

หลังจากวันนั้น รุ่นพี่โซยอนก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรแปลกๆ กับฉันอีก ถึงฉันจะไม่รู้ก็เถอะว่ามันเป็นเพราะรุ่นพี่จงใจหรือเพราะรุ่นพี่หมดความสนใจในตัวของฉันแล้วกันแน่ 

 

 

ความจริงแล้วคงไม่ใช่รุ่นพี่โซยอนหรอก อาจจะเป็นฉันซะมากกว่าที่ไม่มีเวลาพอจะไปสนใจเรื่องอื่นน่ะ เพราะว่านอกจากจะเป็นกังวลกลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นที่หูแล้ว การที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอย่างปลอดภัย ก็ทำให้ความรู้สึกปลาบปลื้มใจถาโถมเข้ามาพร้อมกับความหนักใจด้วยเช่นกัน 

 

 

ถึงจะรู้สึกโล่งอกก็เถอะ แต่ดูเหมือนหนึ่งในเรื่องที่ฉันกังวลอย่างอีเซก็ไม่มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปเลย หมอนั่นทำตัวเหมือนปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมอนั่นดูใจเย็น แล้วก็ปกติมากๆ จนแม้แต่ฉันเองยังลืมเรื่องนั่นไปเสียสนิท 

 

 

ทุกอย่างราบรื่นจนฉันยังรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ทั้งหัวใจอันวุ่นวายของฉัน ทั้งอีเซ ทั้งรุ่นพี่โซยอน แล้วก็หูของฉัน ทั้งหมดเลย 

 

 

“ฮวีกยอม ตัวหนักจัง วิ่งสักหน่อยนะ” 

 

 

“ค่ะ” 

 

 

พอกลับมาที่ด้านหลังเวทีหลังจากซ้อมรอบสุดท้ายเสร็จ ฉันก็อยู่ในอาการสติหลุดขนาดที่ไม่ได้ตั้งใจฟังคำแนะนำของอาจารย์เลยสักนิด ฉันดื่มน้ำเข้าไปหลายอึก แล้วกลืนมันลงไปพร้อมกับความกังวล วันนี้ดูเหมือนทุกคนจะใจตรงกัน ทั้งเซจินและอีเซที่นั่งหายใจหอบอยู่ข้างๆ ต่างก็ไม่คุยอะไรกันเลยสักนิด 

 

 

ฉันที่เปลี่ยนชุดออกมา เผลอหันไปจ้องมองดูหน้าของตัวเองและเมคอัพหนาๆ บนหน้าซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าที่ดูอึดอัดและเหนื่อยล้า กับดวงตาที่สั่นไหวด้วยความวิตกขัดกับเครื่องสำอางที่ดูมีชีวิตชีวา  

 

 

ชุดที่ใส่อยู่บนตัวคือชุดกระโปรงที่ดูสดใสของจีเซลล์ แต่ใบหน้าของฉันในกระจกนั้น อย่างกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่างไปซะเดี๋ยวนี้ 

 

 

ฉันหายใจเข้าลึกๆ และพยายามควบคุมสติที่เอาแต่จะหลุดลอยออกไปที่อื่นเอาไว้ ก่อนที่จู่ๆ จะรู้สึกคิดถึงรุ่นพี่อีกงขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ ถ้าถูกโอบกอดด้วยอ้อมกอดที่ทำให้คลายกังวลนั่นละก็ ฉันคงจะสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม 

 

 

ฉันพยายามปลอบโยนหัวใจที่จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา แม้จะสักนิดนึงก็ยังดี ด้วยการประสานมือทั้งสองข้าง พร้อมกับมองดูรูปของรุ่นพี่ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ 

 

 

“โอ๊ย รู้สึกกังวลจนเหมือนจะอาเจียนออกมาเลยแฮะ” 

 

 

เซจินเดินไปเดินมาโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา ขนาดเซจินที่เคยมีท่าทีมั่นอกมั่นใจตลอดระยะเวลาที่มาที่โลซานน์ พอถึงเวลาจริงก็ยังรู้สึกกังวลกับรอบชิงชนะเลิศที่อยู่ตรงหน้า ฉันยิ้มแห้งๆ พลางตบบ่าเซจินเบาๆ กว่าจะถึงเวทีหลักก็ยังต้องรอค่อนข้างนานทีเดียว 

 

 

ระหว่างที่รอคอยเป็นเวลานาน อีกหนึ่งสิ่งสำคัญก็คือการควบคุมสภาพร่างกาย ฉันจึงพยายามทำหัวให้โล่ง ขณะที่เสียบหูฟัง แล้วเอาหลังพิงกำแพงอย่างเต็มที่ ก่อนจะเริ่มทำการยืดเส้น  

 

 

ทุกๆ ที่มีนักเรียนที่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกซ้อมของตัวเองและการยืดเส้นเต็มไปหมด ทั้งสีผิว สีผม และภาษาต่างก็ต่างกัน แต่สีหน้าทุกคนนั้นกลับกังวลอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกันหมด 

 

 

ขณะที่ฉันจดจ่ออยู่กับการยืดเส้นอยู่สักพัก ชุดที่มีสีสันหลากหลายก็ผ่านหน้าฉันไปเรื่อยๆ  

 

 

ภายใต้ความกังวลสุดขีดที่ทำให้หายใจได้อย่างไม่เต็มปอดนั้น เวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อของฉันดังมาจากที่ไหนสักที่ 

 

 

ฉันหายใจเข้าลึกๆ พลางเดินไปบนโถงทางเดินยาวที่รู้สึกเหมือนไกลนับพันลี้ แต่ละก้าวแต่ละก้าวที่เดินไปนั้นราบกับมีอากาศโดยรอบกดทับที่ไหล่ของฉันจนหนักอึ้ง เหมือนจะมีใครบางคนจับมือของฉันไว้ แล้วพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัด 

 

 

หลังจากที่พยายามสงบใจที่เต้นรัว แล้วเช็ดมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันก็พูดคนเดียวขึ้นมาว่า ฉันทำได้ ฉันทำได้ ระหว่างรอคิวของตัวเอง ฉันก็ยืดเส้นบริเวณข้อเท้าที่สั่นด้วยความกังวล แล้วในตอนนั้นเองเสียงของทีมงานที่บอกว่า ให้เตรียมตัว ก็ดังขึ้น 

 

 

ฉันเดินไปยังทางเข้าเวทีอย่างเชื่องช้า เสียงระฆังมันดังอยู่ข้างในหัวไม่หยุดพัก เสียงกริ๊งๆ นั่นทำให้ภาพข้างหน้าดูเบลอๆ ไปสักพัก แต่พอเสียงดนตรีอันร่าเริงดังขึ้นมา ฉันก็ก้าวเท้าเหมือนกับจะลอยออกไปบนเวทีอย่างมั่นใจ ใบหน้าเกร็งๆ ของฉันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มไปโดยอัตโนมัติ 

 

 

บทของจีเซลล์ทำให้ฉันได้มายืนอยู่ที่โลซานน์ ในการแข่งขันที่ฉันปรารถนาเป็นที่สุด  

 

 

ความซาบซึ้งใจชั่วขณะโฉบผ่านปลายจมูกไปอย่างรุนแรง และเสียงของรองเท้าบัลเลต์ที่กระทบลงกับพื้นก็ดังผ่าเสียงดนตรีอันร่าเริงออกมาอย่างชัดเจน แขนที่ยกขึ้นไปเบาๆ สะบัดไปมาอย่างนุ่มนวล รู้สึกได้ถึงความร้อนแรงของแสงไฟที่สาดส่องลงมาจากเพดาน 

 

 

ฉันทำเป็นยิ้มให้กว้างยิ่งขึ้น และพยายามผ่อนคลายเท้าเล็กน้อย หลังจากทำท่าแอททิทูทไปหลายครั้ง ฉันก็กระโดดในท่ากรังด์ จูเธ่[1]จากตรงมุม วินาทีนั้นฉันรู้สึกได้เลยว่ากล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวถูกดึงจนตึงแน่นเหมือนกับหุ่นกระบอกที่ถูกผูกติดอยู่ที่ปลายเชือก ว้าว รู้สึกดีจัง ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเส้นประสาททั้งหมดได้ตื่นขึ้น 

 

 

ฉันผ่ากลางเวทีอีกครั้ง ด้วยท่ากรังด์ จูเธ่สามครั้ง ต่อจากนั้นก็เทิร์น และจบลงด้วยการกระโดดเบาๆ ก่อนลงสู่พื้น แล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาไปตามที่ร่างกายจดจำด้วยสัญชาตญาณ 

 

 

ในตอนนี้ฉันไม่รู้สึกถึงแม้แต่แสงไฟที่ร้อนจนเหมือนจะแผดเผาร่างกายทั่วทั้งร่างเลยสักนิด ฉันมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถจบการแสดงบนเวทีนี้ได้โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร 

 

 

แต่ว่าหลังจากทำพาเซ่[2] เทิร์นเสร็จ วินาทีที่จะหมุนท่าชเวน อาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนก็เข้ามาจู่โจมหัวของฉัน จนฉันถึงกับเซไปมา 

 

 

นั่นคือเหตุการณ์ที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ แสงไฟที่ส่องเป็นประกายเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในสายตาของฉัน 

 

 

“กรี๊ดดด!” 

 

 

เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักที่ดังลั่นไปทั่วเหมือนกับเสียงไซเรน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ฉันตั้งสติไม่ได้เลย  

 

 

ดนตรีผ่านช่วงไคลแมกซ์ไปนานแล้ว แสงไฟสั่นไหวอย่างแรงค่อยๆ ไกลตาออกไป ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งได้รู้ว่า ร่างกายของฉันโซเซไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนกับแผ่นกระดาษ แล้วจึงล้มคว่ำลงไปที่พื้น 

 

 

อ้า ฉันไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยสักนิด แม้แต่เสียงกระแทกของไหล่ที่ชนเข้ากับพื้นอย่างแรงก็ยังไม่ได้ยิน มันเหมือนกับอยู่ในเครื่องเล่นถ้วยหมุนๆ ไม่สิ เหมือนกับรถไฟเหาะมากกว่า โลกทั้งใบกำลังหมุนติ้วๆ  

 

 

คงเพราะอย่างนั้นเลยทำให้รู้สึกคลื่นไส้จนอ้วกออกมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นความเจ็บปวดและอาการวิงเวียนก็ถาโถมเข้ามา 

 

 

‘…รุ่นพี่’ 

 

 

อยากเจอรุ่นพี่อีกงจัง ฉันอ้วกจนหมดไส้หมดพุงและร้องเรียกรุ่นพี่อีกงด้วยความร้อนใจ แต่ฉันก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของตัวเองที่เรียกรุ่นพี่ เจ้าเสียงแว่วอันน่าเบื่อหน่ายนี้ที่ดังรังควานฉันอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กำลังก้องกังวานอย่างรุนแรงอยู่ในหูของฉัน 

 

 

สีหน้าตกใจของผู้คนปรากฎขึ้นในสายตาที่ค่อยๆ เลือนรางลง และในไม่ช้าใบหน้าเหล่านั้นก็หมุนติ้ว ฉันหายใจออกมาอย่างยากลำบาก แล้วหันไปขยับปากเหมือนกับจะพูดอะไรสักอย่างกับคนเหล่านั้น ฉันรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับมือที่สั่นเทาของฉันอยู่ 

 

 

อ้า อาจารย์ประจำชั้นนี่เอง เซจินและอีเซเองก็กำลังวิ่งมาหาฉัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้ แต่ว่าก่อนที่ฉันจะได้รับคำตอบของคำถามเหล่านั้น ฉันก็หมดสติไปซะก่อน 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ฤดูหนาวของสวิตเซอร์แลนด์นี่มันโหดร้ายพอๆ กับความสวยงามของมันเลยสินะ ฉันเหม่อมองวิวหิมะอันงดงามพร้อมกับรับลมหนาวที่ทำให้สะท้านไปจนถึงกระดูก  

 

 

ฉันคิดว่าโลซานน์สำหรับฉันนั้น มันช่างงดงาม แต่ความโหดร้ายนั้นอาจจะมาจากฤดูหนาวของสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ ถึงฉันจะโอบกอดความฝันอันสวยงามมายังที่แห่งนี้ แต่ฉันก็ยังเผชิญกับความเจ็บปวดแสนร้ายกาจอยู่ดี 

 

 

 

 

 

‘ที่แน่ๆ คือตรงโสตประสาท และระบบการทรงตัวก็ได้รับความเสียหายเหมือนกัน’ 

 

 

‘ฟังจากที่คุณหมอพูดแล้ว สงสัยว่าจะเป็นไวรัสน่ะ’ 

 

 

‘…เขาบอกว่าคงจะทำให้ความสามารถในการได้ยินลดลง’ 

 

 

‘ขอโทษนะ ที่ต้องมาบอกเรื่องแบบนี้’ 

 

 

 

 

 

น้ำเสียงหนักของอาจารย์ที่แสดงสีหน้าเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้ยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัวของฉันไม่หยุดจนถึงตอนนี้ สำหรับฉันแล้ว คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนกับคำพิพากษาโทษประหารชีวิตก็ไม่ปาน 

 

 

คุณหมอชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ที่มีหนวดเครารุงรังกำลังมองมาที่ฉัน แววตาของเขาดูแจ่มใส หรือนั่นจะเป็นเพราะความเห็นใจกันนะ 

 

 

“ฮ่า” 

 

 

ทั้งที่ฉันแกล้งหัวเราะออกเสียงออกมาเสียงดังฟังชัด แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของฉันกลับเป็นเพียงแค่คำๆ หนึ่งแทนที่จะเป็นเสียงหัวเราะ ฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยสักนิด  

 

 

ไม่ว่าจะเป็นวิวของหิมะที่อยู่ตรงหน้าฉัน หรือไม่ว่าจะเป็นพื้นตรงที่เท้าทั้งสองข้างของฉันกำลังเหยียบอยู่ และแม้แต่คำพูดต่างๆ ที่เหมือนเป็นกระบองเหล็กฟาดลงมากลางหัวของฉัน ทุกอย่างดูราวกับความฝัน ถ้าการผ่านเข้ารอบมาที่โลซานน์เป็นแค่ความฝันไปด้วยก็ดีน่ะสิ 

 

 

ถ้าหลับตา แล้วลืมตาขึ้นมา ฉันหวังว่าจะได้เห็นเพดานห้องตัวเอง แล้วฉันก็จะได้ถีบผ้าห่มออกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นฉันก็จะโทรหารุ่นพี่อีกง เล่าเรื่องฝันร้ายให้ฟัง พอคุยกันเสร็จก็จะวิ่งไปหาคุณป้าที่สุขภาพแข็งแรงดี หอมแก้มกับท่าน แล้วก็ออดอ้อนเหมือนกับเด็กๆ จากนั้นก็ไปโรงเรียน ฝึกซ้อมเหมือนกับที่เคยทำมา พอเลิกซ้อมก็ไปเดินเล่นกับเซจินและอีเซ… 

 

 

“โอ๊ยยย…” 

 

 

สุดท้ายฉันก็ทรุดนั่งลงตามเดิม ใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าเอาไว้ แล้วคู้ตัวลง เสียงร้องไห้ที่ฉันอดกลั้นเอาไว้นับร้อยครั้งระเบิดออกมาจนคอแทบแตก เสียงร้องไห้นั่นเหมือนกับเสียงของคนร้ายที่เลียนเสียงร้องของอีกาเลยละ 

 

 

ฉันในชุดผู้ป่วยบางๆ นั่งลงบนพื้นพร้อมกับสัมผัสหิมะสีขาวที่ตกลงมาอย่างกับสายฝน ภาพของชาวตะวันออกที่กำลังนั่งร้องไห้เสียงดังคงจะเป็นภาพที่หาดูได้ยากละมั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาจับจ้องของผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถที่จะหยุดร้องไห้ได้เลยสักนิด บางอย่างในใจของฉันเหมือนกับถูกตัดให้ขาดออกไป และฉันก็ไม่สามารถควบคุมเจ้าสิ่งนั้นได้ 

 

 

 

 

 

‘แล้วเรื่องเต้นละคะ ฉันยังเต้นได้อยู่หรือเปล่าคะ’ 

 

 

 

 

 

ถึงจะดูน่าสมเพช แต่ฉันก็ดึงชายเสื้อของคุณหมอคนนั้นที่ส่งแววตาแห่งความเห็นใจมาให้ฉัน พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน 

 

 

ใช่แล้ว ขนาดตอนนี้ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนเลย แสดงว่าไม่ได้ถึงขนาดจะไม่ได้ยินเลยหรอกมั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารับการผ่าตัดหรือจะใช้เครื่องช่วยฟังก็ตาม ถ้ามีวิธีละก็ ฉันก็คิดว่าตัวเองจะสามารถกลับมาเต้นได้ 

 

 

 

 

 

‘ขอแค่ให้เต้นได้ก็พอ ฉันขอแค่นั้นก็พอ ได้โปรดเถอะค่ะ…’ 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ล่ามจากทางการแข่งขันที่ยืนอยู่ข้างฉันส่งต่อคำพูดของฉันให้กับคุณหมอ เขาก็ส่ายหัว พลางทำหน้าสิ้นหวัง ถึงจะแค่แวบเดียวก็ยังดูออก  

 

 

คำที่ว่า ข้างหน้ามืดแปดด้านนี่มันหมายถึงแบบนี้หรือเปล่านะ ฉันที่กำลังมึนงงอยู่มองเห็นใบหน้าของคุณหมอที่กำลังพูดอะไรสักอย่างกับฉัน 

 

 

 

 

 

‘การไม่ได้ยินน่ะเป็นปัญหาที่สองครับ’ 

 

 

‘เพราะหูชั้นในรูปหอยโข่งภายในหูเกิดความเสียหาย… ทำให้อาจจะวิงเวียนศีรษะแล้วก็เป็นลมล้มลงไปได้ทุกเมื่อ’ 

 

 

‘ก็พอจะมีวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่อยู่หรอก…’ 

 

 

‘…แต่ว่าบัลเลต์น่ะ คงจะไม่สามารถเต้นได้หรอกครับ’ 

 

 

 

 

 

ฉันนึกถึงเสียงแหบแห้งของล่ามพลางเอนหัวพิงกำแพงตึกที่เย็นเฉียบ และเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสนิทด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เกล็ดหิมะที่เป็นประกายยังตกลงมาจากหมู่มวลก้อนเมฆสีขาวไม่หยุด 

 

 

ฉันจ้องมองดูภาพนั้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่ขยับไปไหนอยู่สักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งร่างกายที่กำลังสั่นเทาอยู่นั้นเย็นยะเยือกเหมือนกับแผ่นน้ำแข็ง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] กรังด์ จูเธ่ grand jeté คือ การกระโดดในแนวนอนโดยปกติระหว่างกระโดดจะต้องฉีกขาในลักษณะของ split กลางอากาศและจะต้องกระโดดด้วยความสูงที่พอดี ขยับไปข้างหน้าและลงมาด้วยความสวยงาม 

 

 

[2] พาเซ่ Penché หมายถึงการเอนตัวไปข้างหน้า ขาอีกข้างยกขึ้นไปสูงกว่า 90 องศา ปกติท่านี้ไม่จำเป็นต้องสูงมากถึง 180 องศาก็ได้