สิ่งแรกที่ฉันทำหลังจากใช้เวลาตั้งสติอยู่นานคือการขอร้องอาจารย์ว่าอย่าบอกเรื่องอาการของฉันให้ใครฟัง ส่วนเซจินกับอีเซที่มาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลหลังจากแข่งขันเสร็จ ฉันก็กุเรื่องขึ้นมาว่านี่เป็นเพียงแค่อาการปวดหัวเนื่องจากความเครียดเฉียบพลันเท่านั้น 

 

 

เซจินร้องไห้เสียจนเมคอัพหนาๆ เลอะเทอะไปหมด เธอเช็ดหน้าที่กระดำกระด่างด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วกอดฉันเอาไว้แน่น ส่วนอีเซก็ฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นออกมาพลางเอามือตบไหล่ฉันเบาๆ 

 

 

“การแข่งจบลงด้วยดีไหม” 

 

 

ฉันพยายามยิ้มอย่างสดใสและถามอย่างร่าเริง แต่เซจินกลับจ้องฉันเขม็งด้วยสายตาดุดัน พลางพูดขึ้นมาอย่างโมโหว่า นี่มันใช่เวลาจะมาถามเรื่องนั้นหรือไงเล่า ดูเหมือนเธอคงจะไม่อยากพูดเรื่องการแข่งต่อหน้าฉันที่ทำลายเวทีของตัวเองสินะ 

 

 

ความจริงฉันได้ยินมาจากอาจารย์แล้วละว่าทั้งสองคนผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ 

 

 

“ยินดีด้วยนะ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดแสดงความยินดีของฉัน เซจินกลับทำหน้าเหยเก พลางก้มหน้ามองพื้น 

 

 

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เธอต้องทำให้ดีที่สุดจนถึงรอบสุดท้ายนะ” 

 

 

“…เธอนี่มัน” 

 

 

“คิมเซจินที่บอกว่าจะคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์มาให้ได้คนนั้น ไปไหนซะแล้วล่ะ” 

 

 

ฉันแกล้งทำเป็นพูดจาสดใสยิ่งกว่าเดิม แต่ดูเหมือนเซจินคงจะรู้ถึงความตั้งใจของฉัน เธอจึงได้ฉีกยิ้มแห้งๆ ออกมา ฉันค่อยๆ จับมือของเซจินกับอีเซไว้ ความอบอุ่นนั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ 

 

 

“ฉันไม่เป็นไรหรอก เพราะงั้นเซจิน เธอจะต้องทำให้ดีที่สุด ทำเผื่อในส่วนของฉันด้วยนะ” 

 

 

“…รู้แล้วน่า ยัยบ้า” 

 

 

ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางเช็ดหน้าเช็ดตาที่เลอะเทอะของเซจินซึ่งกำลังพูดตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง อีเซที่เอาหน้าซุกลงไปในผ้าพันคอค่อยๆ ละสายตาไปจากฉัน ไหล่ของอีเซที่เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ดูหนักอึ้งเป็นพิเศษ 

 

 

“ลีอีเซ” 

 

 

อีเซสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉัน เขาค่อยๆ หันกลับมามองฉันช้าๆ ดวงตาของหมอนั่นที่กลายเป็นสีแดงก่ำดูราวกับกวางน้อยเลย 

 

 

ความรู้สึกเขินอายทำให้ฉันลังเลจนหยุดพูดไปสักพัก แต่ในไม่ช้า ฉันก็รวบรวมความกล้าขึ้นมา แล้วมองไปที่อีเซอีกครั้ง พร้อมกับพูดต่อเบาๆ 

 

 

“นายเองก็พยายามเข้าละ” 

 

 

ดวงตาที่เปียกชุ่มของอีเซสั่นไหวจนสังเกตได้ หมอนั่นตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ฉันหันไปยิ้มร่าให้อีเซ แล้วจึงหันไปเงยหน้ามองท้องฟ้า  

 

 

ฉันยังมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่กันนะ เวลาที่จะยังสามารถได้ยินเสียงของเพื่อนๆ คนสำคัญ เวลาที่จะยังได้เห็นภาพตัวเองเต้นรำตามจังหวะ แล้วก็… 

 

 

‘รุ่นพี่อีกง’ 

 

 

ฉันเรียกชื่อของรุ่นพี่อีกงออกมาในลำคอ หูของฉันจะทนไปได้จนถึงไหนกันนะ ฉันจะสามารถเก็บเสียงของรุ่นพี่ไว้ได้มากเท่าไหร่ แล้วฉันจะสามารถแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ตามที่สัญญาเอาไว้ได้หรือเปล่า ความคิดต่างๆ ที่พันกันวุ่นวายกลายมาเป็นน้ำตาที่คอยแต่จะไหลออกมา 

 

 

“กลับกันเถอะ” 

 

 

ฉันดึงมือของเซจินกับอีเซที่กำลังจับเอาไว้อยู่ พายุหิมะรุนแรงที่พัดไปมาได้สร้างม่านหมอกขึ้น ก่อนที่มันจะเงียบสงบลง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ฉันสละสิทธิ์ การแข่งขันก็กลับมาดำเนินต่อไปราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน น่าเสียดายที่เซจินกับอีเซไม่สามารถคว้ารางวัลกลับมาได้ แต่พวกเขาก็ขึ้นชื่อว่าได้ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ อย่างน้อยความมีชีวิตชีวาของเพื่อนๆ ก็สร้างความสุขเล็กๆ ขึ้นในใจที่เศร้าสร้อยของฉัน 

 

 

แต่ที่จริงหลังจากหลับแล้วตื่นขึ้นมา แสงแดดยามเช้าที่ฉันได้เห็นซึ่งยังเหมือนเดิมตามปกตินั้น กลับทำให้ฉันรู้สึกหดหู่จนแทบจะเป็นบ้า 

 

 

แม้จะกลับไปใช้ชีวิติประจำวันเฉกเช่นเดิม แต่ความจริงที่ว่าคงจะมีแค่ฉันเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้ภายในหัวใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นตารางทั้งหมดของโลซานน์ พวกเราได้รับเวลาอิสระหนึ่งวันเต็ม แต่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะออกไปจากที่พัก และได้แต่นั่งเหม่ออยู่ตรงริมหน้าต่าง มองไปที่แหวนซึ่งสวมอยู่ที่นิ้ว แหวนที่รุ่นพี่ให้เป็นของขวัญเพื่อเป็นกำลังใจให้ฉัน ฉันลูบๆ คลำๆ มันไปมา ก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาด้วยเลยแฮะ 

 

 

ฉันพยายามกลืนเจ้าสิ่งนั้นลงไปในคอ และแสร้งทำเป็นยกมุมปากขึ้นเพื่อยิ้ม พลางพิงหัวลงตรงหน้าต่างบานเล็กๆ อุณหภูมิเย็นๆ ของกระจกกับวิวทิวทัศน์ที่สะท้อนอยู่บนนั้นอย่างเด่นชัด ทำให้ฉันเผลอเอานิ้วมือวาดลงไปบนหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ เส้นมากมายที่ไม่มีความหมายถูกวาดขึ้น  

 

 

“คิดถึงจัง” 

 

 

คิดถึงรุ่นพี่อีกงจัง ในใจของฉันอยากจะรีบบินกลับไปยังเกาหลีเสียเดี๋ยวนั้น ไม่สิ ความจริงถ้าตัวของฉันหายไปในอากาศได้ก็คงจะดี ถึงจะอยากเจอรุ่นพี่จนแทบจะคลั่งแค่ไหน แต่ฉันก็ยังไม่มีความกล้าจะไปพบหน้ารุ่นพี่อยู่ดี 

 

 

ฉันจะกล้าบอกความจริงกับรุ่นพี่หรือเปล่านะ ไม่สิ ยังไงก็คงจะไม่กล้าหรอก ขนาดตัวฉันเองยังเชื่อไม่ลงเลย นี่มันอย่างกับเรื่องโกหกชัดๆ 

 

 

จู่ๆ ฉันก็หยิบขวดยาพลาสติกสีทึบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเทเม็ดยาออกมาวางไว้ที่ขอบหน้าต่าง หนึ่ง สอง สาม… ฉันนับจำนวนพลางมองเหม่อ แล้วจู่ๆ ความหวั่นวิตกก็พลุ่งพล่านขึ้นมา 

 

 

“อ้า…” 

 

 

ฉันรีบเอาหลังมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาทันที ก่อนจะรีบเก็บยาทั้งหมดกลับเข้าไปในขวดยาอีกครั้ง เจ้ายาเม็ดเล็กๆ นี้จะรั้งเสียงของฉันเอาไว้ได้ไหมนะ จะคอยดูแลไม่ให้มันหนีไปอีกได้หรือเปล่า 

 

 

อารมณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นความกังวลหรือความไม่ไว้วางใจกันแน่ได้คืบคลานผ่านหลังของฉันแล้วซึมเข้าไปภายในหัว ฉันจะนั่งอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันนะ 

 

 

“คิมฮวีกยอม!” 

 

 

พอดีกับที่เสียงของเซจินซึ่งกำลังเรียกชื่อของฉันดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูที่พัก ฉันจึงดึงสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับมาได้ ใบหน้าที่มีผิวหยาบกร้านกำลังสะท้อนอยู่บนกระจกบานใหญ่ซึ่งติดอยู่บนผนัง หลังจากปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ดูปกติ ฉันก็เปิดประตูออกไป เซจินสวมหมวกใบใหญ่พร้อมกับผ้าพันคอที่พันอย่างมิดชิดกำลังยืนยิ้มให้ฉันอย่างสดใสอยู่ตรงทางเดิน 

 

 

“อะไรเหรอ จะตื่นเช้าไปไหนเนี่ย” 

 

 

เลือดฝาดอ่อนๆ ที่อยู่บนผิวใสทำให้ใบหน้าของเซจินดูอย่างกับลูกพีช ฉันแสร้งทำเป็นส่งยิ้มที่กว้างยิ่งกว่าเดิมให้กับเซจิน พลางถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างขบขัน แล้วต่อจากนั้น เซจินก็ทำปากเป็นเป็ด แล้วพูดออกมาด้วยเสียงบี้ๆ 

 

 

“ก็แน่สิ นี่มันวันอิสระที่มีแค่วันเดียวเท่านั้นนะ” 

 

 

“จะไปเดินเที่ยวงั้นเหรอ” 

 

 

“อือ เธอเองก็รีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า” 

 

 

“เอ๊ะ” 

 

 

เซจินผลักหลังของฉันที่แสดงท่าทีมึนงงกลับเข้าไปในห้อง แล้วหยิบเสื้อโค้ทสักตัวมายื่นให้ฉัน พร้อมกับเร่งว่า เร็วเข้า เร็วเข้า 

 

 

“อุตส่าห์มาถึงโลซานน์แท้ๆ อย่างน้อยก็ต้องไปดูทะเลสาบเจนีวาให้ได้สิ ไม่ใช่หรือไง” 

 

 

“…เธอก็ไปกับอีเซสิ” 

 

 

“ไม่ได้ รีบพันผ้าพันคอด้วย แล้วก็ถุงมืออีก!” 

 

 

แม้ว่าฉันจะแสดงท่าทีเฉยเมย แต่เซจินกลับไม่สนใจ แถมยังพันผ้าพันคอหนาๆ ไว้ที่คอฉันแน่น  

 

 

กว่าจะรู้ตัวอีกทีฉันก็ถูกติดแม้กระทั่งกระดุมเสื้อโค้ท พร้อมกับใบหน้าที่ถูกผ้าพันคอบังไปกว่าครึ่งหน้า กว่าที่ฉันจะงัดคางตัวเองออกมาได้ เซจินก็เอาหมวกไหมพรมที่มีที่ปิดหูซึ่งสวมอยู่บนหัวของตัวเองมาสวมลงบนหัวของฉัน 

 

 

อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาจากมือของเซจินที่แตะผ่านๆ ช่างอบอุ่นจริงๆ หลังจากเผลอหัวเราะออกมา ในที่สุดฉันก็เดินตามเซจินออกไปจากที่พัก  

 

 

หิมะที่ตกมาหลายวันได้หยุดลงแล้ว และตามถนนหนทางก็มีแสงแดดอันสดใสสาดส่องลงมาจนเป็นประกาย ในตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นภาพทิวทัศน์ซึ่งเหมือนกับหลุดออกมาจากรูปภาพเก่าๆ 

 

 

พวกเราที่นั่งรถเมล์มาจนถึงแถวทะเลสาบเจนีวา ดื่มด่ำไปกับแสงแดดที่ไม่ได้พบมานาน พร้อมกับเดินเล่นอยู่สักพัก ริมทะเลสาบที่ไม่ค่อยมีผู้คน แต่มีเหล่าหงส์และเป็ดหลายตัวกำลังส่งเสียง ก๊าบๆ อากาศที่สดใส ทำให้มองเห็นยอดเขาสีขาวๆ ของเทือกเขาแอลป์อยู่ไกลๆ นั่นเลยยิ่งทำให้หัวใจรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งกว่าเดิม  

 

 

ฉันเอนตัวพิงกับราวที่ตั้งอยู่ตรงปลายสุดของถนน แล้วกางแขนทั้งสองข้างออกกว้างๆ  

 

 

“อ้า รู้สึกดีจัง” 

 

 

“ดีใชไหมล่ะที่ออกมา” 

 

 

“อือ สุดๆ เลยละ” 

 

 

ฉันหันไปชูนิ้วโป้งให้กับเซจินที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างแล้วหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นแปลกใหม่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแทรกซึมเข้าไปจนถึงข้างในส่วนลึกของจิตใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น 

 

 

“ฮวีกยอม อยู่นี่แป๊บนึงนะ ฉันจะไปซื้ออะไรมาให้ดื่ม” 

 

 

“อือ โอเค” 

 

 

ฉันตอบกลับไปสั้นๆ ขณะที่ยังคงหลับตาอยู่ พลางหายใจเข้าไปลึกๆ อีกครั้ง ฉันยืนอยู่สักพักและเพลิดเพลินกับสายลมเย็นๆ ที่มาทำให้จมูกรู้สึกจั๊กจี้ ก่อนที่จู่ๆ ฉันจะสัมผัสได้ว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลัง ฉันจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วหันหลังไปดู 

 

 

“ซื้ออะไรมา…” 

 

 

อ๊ะ วินาทีนั้นฉันรีบเอามือทั้งสองข้างมาปิดปากที่อ้าค้างอย่างหมดท่า ใบหน้าที่ดูเหมือนจะผอมลงไปนิดหน่อย เส้นผมที่ปลิวไปมาเพราะลมแรง รูปตาที่โค้งมน และรอยยิ้มเล็กๆ กับฟันขาวที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดนั่นมาอยู่ตรงหน้าของฉัน ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยสักนิด 

 

 

“…รุ่นพี่” 

 

 

ฉันพูดลอยๆ ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมึนงง พร้อมกับจ้องไปที่รุ่นพี่อีกงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าฉันอย่างไม่วางตา แล้วต่อจากนั้นเสียงที่เหมือนกับความฝันก็ลอยออกมาในทันที 

 

 

“อือ ฮวีกยอม” 

 

 

“…” 

 

 

“นี่พี่เอง” 

 

 

ฉันรีบใช้หลังมือถูเปลือกตาตัวเอง แต่ถึงจะกะพริบตาถี่ๆ อยู่หลายรอบ รุ่นพี่ก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าฉันเช่นเดิม 

 

 

ฉันมองไล่ตั้งแต่เสื้อโค้ทสีกรมท่าที่กลัดกระดุมเรียบร้อย ผ้าพันคอสีขาวที่ปลิวสะบัดไปตามลม ไปจนถึงรองเท้ากีฬาสีดำที่คุ้นตา ส่วนรุ่นพี่ก็ก้มหน้าลงพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาสั้นๆ ก่อนจะก้าวช้าๆ มาหาฉัน 

 

 

“ยัยติ๊งต๊อง” 

 

 

“…” 

 

 

“ก็บอกว่าพี่จริงๆ ไงเล่า” 

 

 

รุ่นพี่ดีดเบาๆ ลงบนหน้าผากของฉันที่ยังคงมองหน้ารุ่นพี่ด้วยสีหน้าเอ๋อๆ ก่อนจะจับใบหน้าของฉันด้วยฝ่ามือที่ทั้งหนาและใหญ่ทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างนั้นของรุ่นพี่ที่ฉันคิดถึงเหลือเกิน แล้วก็ประกบปากลงบนริมฝีปากของฉันเสียงดัง จุ๊บ 

 

 

“…รุ่นพี่จริงๆ จริงๆ สินะคะ” 

 

 

“อือ พี่จริงๆ” 

 

 

รุ่นพี่ตอบคำถามของฉันที่พูดจาราวกับคนบ้าด้วยรอยยิ้มกว้าง ต่อจากนั้นเขาก็อ้าแขนทั้งสองข้างออก แล้วโอบคอของฉันไว้แน่น หัวใจที่มีทั้งความดีใจและความสับสนวุ่นวายปะปนกันยุ่งไปหมด ทำให้ฉันลังเลและทำตัวไม่ถูก และได้แต่กอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้อย่างระมัดระวัง 

 

 

แม้ว่าจะมาอยู่ในอ้อมกอดรุ่นพี่แบบนี้แล้ว ฉันก็ยังเชื่อไม่ลงเลยสักนิด รุ่นพี่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงนะ ไม่สิ แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย ฉันจมอยู่ในห้วงความคิดเหล่านั้นคนเดียวสักพัก จนกระทั่งรู้สึกตัวว่ากลิ่นตัวของรุ่นพี่ที่แสนคุ้นเคยกำลังลอยมาแตะที่ปลายจมูก 

 

 

อ้า กลิ่นสบายๆ ที่ทำให้รู้สึกคลายกังวลนี้ ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันถูหน้าไปมาตรงหน้าอกของรุ่นพี่ แล้วกอดเอวของรุ่นพี่แน่นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นนี้ที่เข้ากับกลิ่นของฤดูหนาวแห้งๆ สัมผัสเข้าที่ผิวของฉันพร้อมกับเสียงกรอบแกรบ 

 

 

“…คิดถึงจังเลยค่ะ” 

 

 

“…พี่ด้วย พี่ก็คิดถึงเธอมากเลยละ” 

 

 

แต่ละครั้งที่หัวใจเต้นรัว มันทำให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ฉันกัดริมฝีปากล่างไว้เบาๆ และพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้  

 

 

รุ่นพี่ตบลงที่หลังฉันเบาๆ ก่อนจะกระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงแผ่วเบาว่าคิดถึง คิดถึงจนแทบบ้าตาย 

 

 

เสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยนั่นราวกับมนต์สะกด เหมือนกับจะบอกฉันว่า ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะไม่เป็นไร และนั่นทำให้หัวใจที่เจ็บจี๊ดอยู่สั่นไหวราวกับคลื่นทะเล  

 

 

สุดท้ายน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ก็ไหลออกมา ฉันจึงยิ่งซบหน้าลงที่หน้าออกของรุ่นพี่ ทุกอย่างที่รุ่นพี่ทำมันเหมือนกับเป็นเวทมนตร์จริงๆ เลยละ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ฉันจับมือของรุ่นพี่ทั้งที่ยังคงรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนกับความฝันเอาไว้ แล้วเดินเล่นไปตามริมทะเลสาบ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าพวกเรามาเที่ยวกันแค่สองคนทำให้ฉันไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย และพลอยทำให้ตื่นเต้นไปด้วย เมื่อฉันเดินอย่างกระฉับกระเฉง รุ่นพี่ก็แอบหัวเราะเงียบๆ แล้วจับมือฉันแน่นยิ่งขึ้น 

 

 

“พี่เกือบจะมาไม่ได้แล้วละ แต่พอเห็นเธอดีใจขนาดนี้ พี่ก็คิดว่าดีจริงๆ ที่ได้มา คุ้มจริงๆ ที่ไม่ได้ใช้เงินรางวัล แล้วก็คอยเก็บออมมาตลอดน่ะ” 

 

 

“ฉันไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่ารุ่นพี่จะมาน่ะค่ะ” 

 

 

“เธอก็เลยเซอร์ไพรส์จริงๆ ใช่ไหมล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่แอบติดต่อกับเซจินมาตั้งแต่หลายวันก่อน แล้วก็แอบวางแผนกันเพื่อทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นฉันไปจนถึงรอบสุดท้าย แต่ก็ยังดีที่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแบบวันนี้ พอได้เห็นรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอยู่ ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี 

 

 

“แล้วร่างกายเป็นยังไงบ้าง” 

 

 

คงเป็นเพราะได้รู้เรื่องของฉันจากเซจินแล้ว เสียงของรุ่นพี่ที่ถามกลับมาเบาๆ นั้นจึงดูระวังเป็นพิเศษ ฉันแกล้งทำเป็นยิ้มออกมาอย่างสดใส พร้อมกับตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่เป็นไรค่ะ ใบหน้าที่กำลังถอนหายใจเบาๆ อย่างคลายกังวลของรุ่นพี่ในตอนนั้นแทงใจดำของฉัน 

 

 

ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะต้องปิดบังอะไรกับรุ่นพี่ ความเจ็บแปลบภายในใจทำให้ฉันแอบเอามือกดลงไปเบาๆ เพื่อทำให้จิตใจสงบลง 

 

 

สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องเปิดเผยความจริงให้ทั้งรุ่นพี่ ทั้งคุณป้า และก็เพื่อนๆ ได้รับรู้ แต่สำหรับตอนนี้ฉันไม่อยากจะคิดถึงอะไรทั้งนั้น 

 

 

จนกว่าที่หูของฉันจะไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่สิ อย่างน้อยก็จนกว่าจะจบการแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ครั้งสุดท้าย ฉันได้แต่หวังเพียงว่าทุกอย่างจะผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

 

 

“โอกาสน่ะ มีอีกทุกเมื่อ ฉะนั้นไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะ” 

 

 

รุ่นพี่กระซิบเบาๆ จนแทบจะฟังไม่ได้ยิน พลางใช้นิ้วโป้งนวดลงบนหลังมือของฉัน การกระทำเพียงเล็กน้อยของรุ่นพี่ที่ต้องการจะให้กำลังใจฉัน ทำให้ส่วนที่อยู่ลึกข้างในจิตใจมันยิ่งเจ็บแปลบขึ้นมา 

 

 

“แหม ไม่เศร้าหรอกค่ะ แค่ได้เข้ามาจนถึงรอบรองชนะเลิศ ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันแล้วค่ะ” 

 

 

ฉันพยายามตอบกลับไปอย่างสดใส รุ่นพี่จึงยิ้มร่า แล้วกุมมือของฉันเอาไว้ สัมผัสเย็นๆ ของแหวนที่แนบกับผิวแน่นยิ่งขึ้นนั่นทำให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเย็นลง 

 

 

ฉันแอบหันหน้าไปมองทะเลสาบเจนีวาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาราวกับเป็นทะเล และภูเขาหิมะที่ทอดยาวอยู่บนเส้นขอบฟ้าราวกับภาพวาด มันทำให้หัวใจที่สั่นไหวอย่างรุนแรงค่อยๆ สงบลง 

 

 

“คือว่า รุ่นพี่คะ” 

 

 

สายตาของฉันยังคงจ้องมองไปที่ทะเลสาบ ก่อนจะเผยอริมฝีปากที่เคยปิดไว้แน่นออก พร้อมกับเรียกชื่อรุ่นพี่เบาๆ 

 

 

“ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะค่ะ” 

 

 

“อะไรเหรอ” 

 

 

“ถ้ากลับไปที่เกาหลีแล้ว…” 

 

 

ฉันหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วเลียริมฝีปากที่แห้งผากด้วยปลายลิ้นขมๆ เมื่อกลับไปถึงเกาหลี ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่หายไปในพริบตาราวกับไอหมอก มันจะดีขนาดไหนกันนะ  

 

 

แต่ว่าฉันในตอนนี้รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถวิ่งหนีหรือเบือนหน้าหนีจากความเป็นจริงแบบที่เคยทำอยู่ตลอดได้ 

 

 

“…ถ้ากลับไปที่เกาหลีแล้ว พวกเราไปเดตกันให้เยอะๆ เลยนะคะ” 

 

 

“เดตเหรอ มีที่ที่อยากจะไปงั้นเหรอ” 

 

 

รุ่นพี่ถามอย่างสงสัย พอมาคิดดูแล้ว จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีเลยสักครั้งที่ฉันจะเป็นฝ่ายออกปากอย่างกระตือรือร้น ว่าอยากจะทำอะไรหรืออยากจะไปที่ไหน 

 

 

“ก็แค่ไปทุกที่ที่สามารถไปได้ แล้วก็ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ก็พอค่ะ” 

 

 

ฉันหันหน้าไปทางรุ่นพี่พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง รุ่นพี่ทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิดของฉัน แล้วจึงยิ้มอย่างสดใส พร้อมกับพยักหน้า 

 

 

“รุ่นพี่” 

 

 

“หือ” 

 

 

“…รักนะคะ” 

 

 

ใช่แล้ว ฉันจะพูดให้เยอะๆ ในขณะที่ยังได้ยินเสียงของตัวเองอยู่ เพื่อที่จะได้เก็บเอาไว้ในความทรงจำ ถึงภาพของรุ่นพี่ที่ยิ้มอย่างสวยงามเช่นนี้เมื่อได้ยินเสียงของฉัน 

 

 

“พี่ก็รักเธอนะ” 

 

 

เพื่อที่จะได้ไม่ลืมไปชั่วชีวิต แม้ว่าจะไม่สามารถได้ยินเสียงนี้ของรุ่นพี่อีกแล้ว