หลังจากกลับมาเกาหลีแล้ว ฉันก็ได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของคุณป้าที่ออกมาจากโรงพยาบาลเรียบร้อย และฉันก็สามารถหลับลงได้อีกครั้งโดยที่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไร  

 

 

โชคดีที่คุณป้าไม่ได้ถามอะไรฉัน และฉันก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึง ฉันไม่จำเป็นจะต้องมานั่งคิดถึงความทรงจำที่เหมือนกับกำลังหลงทางอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นข้างหน้าอีกครั้งยังไงละ 

 

 

ที่โรงพยาบาลซึ่งฉันแอบคุณป้าไปกับอาจารย์ประจำชั้นบอกว่า หูของฉันและความสามารถในการได้ยินคงจะไม่กลับมาดีขึ้นอีก  

 

 

แม้ฉันจะไปโรงพยาบาลด้วยความหวังว่าจะได้ยินคำตอบว่า อย่างน้อยที่สุด อาการก็คงจะไม่แย่ลงไปมากกว่านี้ แต่คุณหมอก็ทำเพียงแต่ส่ายหัวช้าๆ ให้กับความหวังล้มๆ แล้งๆ ของฉัน 

 

 

แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่โรคมันไม่ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ประสาทหูไม่ดีอย่างกะทันหันอันเกิดจากไวรัสนั้น มีเคสที่อย่างเร็วก็ภายในเดือนสองเดือนถึงจะสูญเสียการได้ยินไปทั้งหมด แล้วเมื่อเทียบกับหูของฉันที่ทนมาได้ตั้งครึ่งปีนั้น ดูๆ ไปก็เป็นเรื่องที่น่าพอใจทีเดียว 

 

 

ตอนนี้สิ่งที่ฉันสามารถทำได้ก็คือ เข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้ลุกลามมากกว่าเดิม และทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวเฉียบพลัน 

 

 

ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะสามารถทนกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไร แต่มันก็ยังดีกว่าที่ทุกอย่างจะพังทลายลงไปซะตรงนี้ ดังนั้น… ควรจะเรียกว่าเป็นการได้รับการผ่อนผันหรือเปล่านะ แต่ก็แน่นอนว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นโมฆะไปได้อยู่ดี 

 

 

มีผู้คนมากมายมาแสดงความยินดีกับเซจินและอีเซที่เข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศของโลซานน์ได้ อีกทั้งพวกเขาก็ได้เริ่มเตรียมตัวสำหรับการเริ่มต้นครั้งใหม่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ  

 

 

อ๋อ ส่วนซูฮยอนที่ทุกคนต่างกังวล โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาการกีฬา เขาจึงสามารถต่อสู้จนกลับมาฝึกซ้อมได้ตามปกติ 

 

 

“ฮวีกยอม! ทางนี้ ทางนี้!” 

 

 

และแล้ววันนี้ก็เป็นวันจบการศึกษาของรุ่นพี่อีกง เซจินวิ่งมาจากอีกทางหนึ่ง พร้อมกับโบกไม้โบกมือมาทางฉันที่เพิ่งจะเดินเข้าไปข้างในหอประชุมพอดี ฉันจึงรีบวิ่งไปหาเซจิน  

 

 

อีเซกับซูฮยอนที่อยู่ด้วยก็ยกมือโบกเบาๆ เป็นการทักทายเช่นกัน ใบหน้าของซูฮยอนที่ไม่ได้เห็นมานานดูผอมลงมาก แต่สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากเช่นกัน 

 

 

เพราะเป็นพิธีจบการศึกษาของทั้งแผนกมัธยมต้นและมัธยมปลาย ทำให้ภายในหอประชุมแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แม้กระทั่งครอบครัวของผู้ที่สำเร็จการศึกษาก็ยังมาร่วมงานด้วย 

 

 

นี่คงจะเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะที่รุ่นพี่จะใส่ชุดนักเรียนมาโรงเรียนน่ะ รู้สึกเสียดายจังที่ต่อไปนี้จะไม่ได้เห็นรุ่นพี่ในโรงเรียนนี้อีกแล้ว 

 

 

“ตัวแทนนักเรียนที่จบการศึกษาวันนี้คือรุ่นพี่อีกงสินะ” 

 

 

“อือ เห็นว่าอีกสักพักก็จะกล่าวสุนทรพจน์แล้วละ” 

 

 

“อยากเห็นจัง” 

 

 

เซจินกระซิบเบาๆ สีหน้าของเธอดูร่าเริงมากๆ หลังจากที่อาจารย์ใหญ่กล่าวแสดงความยินดีเป็นที่เรียบร้อยก็มีพิธีมอบรางวัลต่อ เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างๆ ของรุ่นพี่อีกงเดินขึ้นไปบนเวที ฉันและพวกเพื่อนๆ ต่างก็ปรบมือกันเสียงดังเพื่อแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ 

 

 

รุ่นพี่อีกงรับรางวัลก่อน แล้วจึงหันหลังกลับมาทักทายทุกคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสื้อนักเรียนที่กลัดกระดุมเอาไว้อย่างเรียบร้อยและเน็กไทถูกผูกเอาไว้แน่น แต่ดูเหมือนรุ่นพี่จะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย 

 

 

รุ่นพี่ที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้บนเวทีสำหรับการกล่าวสุนทรพจน์ในลำดับต่อไปนั้น ดูเหมือนรุ่นพี่จะกระวานกระวายใจอะไรบางอย่าง บางทีอาจจะกำลังนึกถึงช่วงเวลาหกปีที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้ก็ได้ 

 

 

นั่นพลอยทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับรุ่นพี่อย่างที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ความทรงจำทั้งหมดนั้นผ่านเข้ามาในหัวราวกับรูปภาพสีจางๆ 

 

 

ตั้งแต่วินาทีที่ได้คุยกับรุ่นพี่เป็นครั้งแรก ฤดูร้อนอันร้อนแรงของพวกเรา รอยจูบอันแสนหวานที่ทำให้วาบหวิว ไปจนถึงช่วงเวลาที่ทำให้ใจเต้นรัว พอหวนนึกถึงความทรงจำต่างๆ ที่สะสมมา ฉันก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“ต่อไปเป็นการกล่าวสุนทรพจน์จากตัวแทนนักเรียนที่จบการศึกษา ลีอีกง” 

 

 

รุ่นพี่ที่ได้มอบความทรงจำอันแสนล้ำค่าและสวยงามเป็นของขวัญให้แก่ฉัน เขายิ้มอย่างสง่างามพร้อมกับก้าวขึ้นมายืนบนโพเดี่ยม  

 

 

ระหว่างที่เสียงปรบมือดังจนเหมือนจะลอดออกไปนอกหอประชุม จู่ๆ สายตาของรุ่นพี่ที่ค่อยๆ กวาดมองไปข้างหน้าก็มาหยุดลงที่ฉัน นั่นเลยทำให้ฉันที่สะดุ้งด้วยความตกใจ เม้มปากเอาไว้แน่น พลางจ้องรุ่นพี่อย่างไม่วางตา 

 

 

อ๊ะ รุ่นพี่กำลังอมยิ้มอยู่ หัวใจมันเต้นตึกตักจนเหมือนจะระเบิดออกมา ฉันจึงต้องเอามือขึ้นมาทาบไว้บนหน้าอก จนเมื่อได้ยินเสียงของรุ่นพี่ที่ดังขึ้นมาเนิบๆ ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาก็เริ่มสงบลง 

 

 

ต่อให้ใกล้แค่ไหนหรือคุ้นเคยเพียงใด รุ่นพี่ก็ยังเป็นคนๆ นั้นที่ทำให้ฉันใจเต้นรัวได้ราวกับเสกเวทมนตร์อยู่ดี เป็นเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิที่จะต้องมาถึงอย่างแน่นอนหลังหมดฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

เหล่านักเรียนทั้งหมดที่ออกมายังสนามกีฬาหลังจากจบพิธีการต่างก็มุ่งหน้าออกมาถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ ของตัวเอง  

 

 

รุ่นพี่อีกงเองก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายเช่นกัน ฉันไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวรุ่นพี่ได้เลย จึงได้แต่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย จนอีเซที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องหันมาชำเลืองมอง แล้วลูบหัวฉัน 

 

 

“เรียกให้ไหม” 

 

 

“…ไม่ต้องหรอก” 

 

 

ก็แค่รอเอง ฉันตอบ พลางนั่งลงตรงม้านั่ง อีเซสองจิตสองใจอยู่สักพักก่อนจะนั่งลงตรงปลายของม้านั่งโดยเว้นระยะห่างจากฉันเล็กน้อย  

 

 

ท่ามกลางบรรยากาศจอแจที่ดังไปทั่วทั้งลานโรงเรียน ฉันและอีเซต่างก็นั่งมองดูรุ่นพี่อีกงอย่างใจเย็นโดยไม่พูดอะไรกันอยู่สักพัก 

 

 

ท่าทางของรุ่นพี่ที่แม้จะทำหน้าลำบากใจ แต่ก็ยังถ่ายรูปร่วมกับเด็กๆ ที่ห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมดด้วยความใจดีนั้น ดูห่างไกลออกไปเรื่อยๆ อย่างกับว่ากลับไปยังช่วงเวลาในสมัยก่อน ตอนที่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากคุยกับรุ่นพี่ 

 

 

แต่แล้วอยู่ๆ รุ่นพี่ก็กวาดตามองไปรอบๆ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะหันมาตรงที่ที่ฉันอยู่ อ้า แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น  

 

 

ด้วยความตกใจ ฉันจึงลดมือที่กำลังเท้าคางอยู่ลง แล้วยืดหลังตรง ส่วนรุ่นพี่ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับโบกมือ 

 

 

“คิมฮวีกยอม!” 

 

 

เสียงตะโกนดังลั่นของรุ่นพี่ทำให้สายตาทั้งหมดในสนามกีฬาจ้องมองมาที่ฉัน ฉันที่ทำตัวไม่ถูกได้แต่ยืนขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ พร้อมกับกลอกตาไปมา  

 

 

จู่ๆ รุ่นพี่ก็วิ่งมาหาฉัน หลังจากที่ทักทายอีเซที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้ว รุ่นพี่ก็ขยี้หัวของฉันด้วยฝ่ามือใหญ่ 

 

 

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ” 

 

 

“…ก็รอรุ่นพี่น่ะสิคะ” 

 

 

“รอทำไม ทำไมไม่เรียกเล่า” 

 

 

รุ่นพี่ทำหน้าสงสัย ก่อนจะผละมือที่กำลังขยี้ผมฉันอยู่ออก แล้วจับไหล่ของฉันเบาๆ ในตอนนั้นเองที่เซจินกับซูฮยอนกลับมาพอดี พวกเราจึงยืนรวมกันโดยใช้สนามโรงเรียนเป็นพื้นหลังเพื่อถ่ายรูป 

 

 

“อ้า อีเซหน้าหายน่ะ เขยิบเข้ามาอีกหน่อยสิ” 

 

 

“ซูฮยอนด้วยก้มลงมาอีกหน่อย” 

 

 

“พร้อมยัง จะถ่ายละนะ!” 

 

 

พอรุ่นพี่ที่ถือโทรศัพท์มือถือแล้วยืดแขนออกไป นับ หนึ่ง สอง สาม ฉันยิ้มกว้างพร้อมกับหันไปมองที่กล้อง 

 

 

ภายในกรอบสี่เหลี่ยมนั้นมีใบหน้าของพวกเราทั้งห้าคนกระจุกรวมกันอยู่ พอเห็นท่าทางของแต่ละคนที่ทำหน้าสนุกสนานพร้อมกับมองมาที่กล้องแล้ว มันก็ทำให้เผลอหลุดขำออกมา 

 

 

“เฮ้อ คราวนี้ถึงเวลาต้องบอกลาแล้วจริงๆ สินะ” 

 

 

ดวงตาของรุ่นพี่ที่กวาดสายตามองไปรอบๆ โรงเรียนอย่างเสียดายดูเหงาอย่างประหลาด ฉันไม่พูดอะไรพลางเขย่งปลายเท้าขึ้นไปลูบหัวรุ่นพี่ ตาของรุ่นพี่เบิกโตด้วยความตกใจกับท่าทีแบบนั้นของฉัน 

 

 

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ รุ่นพี่” 

 

 

“…” 

 

 

“แล้วก็ยินดีด้วยค่ะ” 

 

 

สำหรับชีวิตในโรงเรียนมัธยมปลายที่ส่องประกายของรุ่นพี่และอนาคตที่ส่องสว่างระยิบระยับยิ่งกว่า ฉันออกเสียงทุกพยางค์อย่างหนักแน่นเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ครบถ้วน เพราะอย่างนั้นหรือเปล่านะ รอยยิ้มของรุ่นพี่ถึงได้ดูสว่างไสวกว่าครั้งไหนๆ มันทั้งงดงามและเจิดจ้าจนแสบตา 

 

 

“ยินดีด้วยนะครับ!” 

 

 

“ยินดีด้วยนะคะ รุ่นพี่!” 

 

 

เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเสียงกล่าวทักทายของเพื่อนๆ แต่ละคนฟังดูร่าเริงที่สุด รุ่นพี่มองไปที่คนพวกนั้นด้วยแววตาที่เหมือนมีนัยยะแอบแฝง ก่อนที่จะหัวเราะอย่างขบขัน แล้วอ้าแขนกว้างทั้งสองข้างเพื่อโอบกอดทุกคนเอาไว้แน่น 

 

 

“เจ้าพวกนี้นี่!” 

 

 

“โอ๊ย รุ่นพี่! มันอึดอัดนะคะ!” 

 

 

ฉันที่ถูกกอดไปด้วยเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา ต่อจากนั้นทุกคนก็พลอยหัวเราะเสียงดังตามมาติดๆ อ้า ทำไมวินาทีนี้มันช่างมีความสุขเหลือเกินนะ 

 

 

“ขอบใจนะ” 

 

 

รุ่นพี่คลายแขนที่กอดพวกเราเอาไว้ แล้วหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ ก่อนจะบอกกับพวกเราด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีน้ำหนักพอดิบพอดี 

 

 

คำว่า ‘ขอบใจ’ ของรุ่นพี่ จะมีความรู้สึกแบบไหนแฝงอยู่กันนะ 

 

 

บางทีรุ่นพี่อาจจะบอกลา ความทรงจำในวัยสิบเก้าที่จะไม่ย้อนกลับมาอีกด้วยคำขอบคุณก็ได้ เมื่อถอดเสื้อเกราะที่เรียกว่านักเรียนและออกจากหลุมหลบภัยที่เรียกว่าโรงเรียน แล้วกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องฝ่าฝันโลกไปด้วยพลังของตัวเอง มันจะรู้สึกยังไงกันนะ 

 

 

“วันข้างหน้าก็ฝากด้วยละ” 

 

 

อ๊ะ แต่เหมือนฉันจะเข้าใจคำนี้นะ แม้ว่าจะค่อยๆ อายุมากขึ้น แล้วกลายเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงมีเพื่อนที่ชื่อว่า ‘พวกเรา’ ที่จะคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน และสู้ไปด้วยกันต่อ 

 

 

“โอ๊ย หิวจังเลย พวกเราจะกินไรกันดี พี่เลี้ยงเอง” 

 

 

“ว้าว สมแล้วที่เป็นรุ่นพี่!” 

 

 

“พวกเรา กินพิซซ่ากันเถอะ พิซซ่า!” 

 

 

แสงแดดที่อบอุ่นขึ้นมากกำลังสาดส่องลงมาบนหัวของพวกเราที่เดินผ่ากลางสนามกีฬาไปพร้อมกับอาการตื่นเต้นแบบสุดๆ ฉันหยุดชะงักอยู่กับที่ในทันที พร้อมกับยกกล้องโทรศัพท์ไปทางด้านหลังของรุ่นพี่และคนอื่นๆ 

 

 

ในหน้าจอที่ได้เริ่มต้นการบันทึกภาพวิดีโอ ปรากฏเป็นภาพท่าทางการเดินที่วุ่นวายของรุ่นพี่กับทุกคน เสียงหัวเราะดังเจี๊ยวจ๊าว เสียงที่เต็มไปด้วยความสุขเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 

 

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนฉันไม่สามารถได้ยินเสียงของความทรงจำนี้ได้อีกต่อไป แต่บางทีฉันคงจะไม่สามารถลืมเลือนความสุขในวันนี้ไปได้ 

 

 

“กยอมกยอม ทำไรน่ะ รีบมาเร็วเข้า” 

 

 

รุ่นพี่หันหน้ากลับมายิ้มให้กับฉัน พลางโบกมือ ฉันยิ้มกว้างโดยไม่พูดอะไร แล้วเก็บมือถือใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะวิ่งไปหารุ่นพี่  

 

 

ที่จุดสิ้นสุดของอากาศในฤดูหนาวกำลังถูกเติมเต็มไปด้วยกลิ่นไอแดดของฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

 

 

 

* * *