เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับเรื่อง ถ้ามีแฟน อยากจะทำอะไร มันคือช่วงวัยละอ่อนมากๆ มากซะยิ่งกว่าตอนนี้ ในการที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกที่จะชอบใครสักคน 

 

 

ตอนนั้นคำว่าแฟนน่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นป้ายชื่อเลย มันเป็นเพียงแค่ชื่อที่มีความหมายในตัวเอง เหมือนกับแม่หรือพ่อ 

 

 

แต่พอฉันได้มาชอบรุ่นพี่อีกง ฉันก็ได้รู้ว่าความรู้สึกที่เรียกว่ารัก มันไม่ได้เหมือนแสงที่วาบเข้าตาแล้วหายไป และก็ไม่ได้บีบคั้นหัวใจอย่างที่เคยคิดเอาไว้ และพอฉันได้คบกับรุ่นพี่ ฉันก็ได้รู้อีกว่า คนที่เรียกว่าแฟนนั้น ไม่ใช่จู่ๆ จะปรากฎกายขึ้นมาอยู่ข้างกายฉันในสักวันใดวันหนึ่ง 

 

 

จะว่าไงดีนะ ไม่ว่าจะคิดยังไง ฉันก็ยังคงนึกถึงสำนวนที่เหมาะสมไม่ออกอยู่ดี เพราะสำหรับฉันแล้ว รุ่นพี่อีกงนั้นเปรียบเหมือนบุคคลที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยชื่อที่เรียกว่า แฟน  

 

 

เพราะแบบนั้น ความหวังอันน่าอายที่เขียนเอาไว้ในไดอารีด้วยหัวข้อในอดีตที่ว่า ‘ถ้ามีแฟน อยากจะทำอะไร’ จึงไม่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้เลยสักนิด 

 

 

ฉันใช้ปากกาลูกลื่นขีดฆ่าเส้นสีแดงลงบนหัวข้อในไดอารี พร้อมทั้งเขียนเติมลงไปบนนั้นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่อยากทำกับรุ่นพี่อีกง 

 

 

บนโต๊ะหนังสือมีกรอบรูปซึ่งใส่รูปถ่ายที่ถ่ายด้วยกันกับทุกคนในวันจบการศึกษาของรุ่นพี่อีกงเอาไว้ ฉันเอาปลายนิ้วถูลงบนรอยยิ้มที่หลุดออกมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับจ้องมองรูปนั้นอยู่นาน ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเล่นภาพวิดีโอข้างในนั้นซ้ำๆ 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่ก็ปรากฏออกมา เสียงของรุ่นพี่ดังอยู่ภายในห้องของฉันราวกับเสียงดนตรี ฉันเท้าคางบนโต๊ะ ขณะที่นั่งเหม่อมองดูวิดีโอนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งใบหน้าที่ได้เห็น และเสียงที่ได้ยิน เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ แต่ทำไมฉันถึงได้คิดถึงมันขนาดนี้กันนะ 

 

 

 

 

 

‘บางครั้งฉันก็คิดว่าเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในการต่อสู้ที่ยาวนานอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยค่ะ’ 

 

 

‘การต่อสู้งั้นเหรอ’ 

 

 

‘ค่ะ การต่อสู้ของความคิดถึงที่ไม่มีวันหยุดลง’ 

 

 

 

 

 

พอคิดถึงบทสนทนาที่เคยพูดกับรุ่นพี่ขึ้นมา มันก็ยิ่งทำให้ฉันคิดถึงรุ่นพี่หนักเข้าไปอีก ความรู้สึกขมขื่นเล็กๆ ที่มุมหนึ่งของหัวใจ ทั้งคิดถึง ทั้งอยากสัมผัส ทั้งอยากจะอยู่ใกล้ๆ ให้มากกว่านี้ ความรู้สึกเหล่านี้ ทำไมยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกันนะ ฉันคงจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความรู้สึกที่เรียกว่ารักได้ทั้งหมดสินะ 

 

 

แต่ว่าฉันก็ยังไม่อยากจะโตเป็นผู้ใหญ่หรอก ไม่สิ ต่อให้เวลาผ่านไป ฉันก็ยังคงหวังว่าฉันจะยังเป็นเด็กที่ดูเก้ๆ กังๆ แบบนี้ เหมือนกับที่คนเขาบอกกันว่า ความรักในวัยสิบเจ็ดของฉันยังคงหยุดอยู่ที่เดิม ฉันได้แต่หวังว่าเวลาจะไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจของฉัน 

 

 

ตลอดช่วงเวลาปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิอันแสนสั้น ฉันเริ่มค่อยๆ ลงมือทำตามรายการ ‘สิ่งที่อยากทำกับรุ่นพี่อีกง’ ซึ่งฉันเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ พอเลิกเรียนจากอคาเดมี่ พวกเราก็ไปเดินเล่นท่ามกลางแสงดาวด้วยกันจนค่ำมืด และทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะถ่ายรูปด้วยกันเยอะๆ พอถึงวันเสาร์อาทิตย์ พวกเราก็ไปสวนสัตว์ ไปดูหนัง เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฉันก็รู้สึกว่าเวลาในวันหนึ่งนั้นมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน  

 

 

สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ หูของฉันที่อดทนอย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลานี้ หรือจะเป็นเพราะว่ามันเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นของฉันหรือเปล่านะ 

 

 

ปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานเช่นนั้นผ่านไปในพริบตาเดียว จนมาถึงวันนี้ วันหยุดวันสุดท้ายก่อนเปิดเทอม หลังจากไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกับรุ่นพี่ตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีพวกเราก็กลับมาถึงแถวบ้านในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว 

 

 

ฉันถูฝ่ามือของตัวเองลงบนมือของรุ่นพี่ที่จับเอาไว้แน่นอยู่ข้างในกระเป๋าเสื้อ พลางหายใจออกมาด้วยความดีใจ ให้ตายสิ ในเวลาอย่างนี้ ถ้าเวลาหยุดเดินไปตลอดกาลเลยก็ดีน่ะสิ 

 

 

“วันนี้เป็นไง” 

 

 

“สนุกมากเลยค่ะ” 

 

 

“พี่ก็ด้วย” 

 

 

แม้ว่าใบหน้าจะถูกซ่อนอยู่ภายในผ้าพันคอที่พันอยู่หลายชั้น แต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ก็ยังคงชัดเจนเหมือนกับรอยยิ้มนั้นในคืนกลางฤดูร้อน ทั้งเสียงหัวเราะใสๆ ของรุ่นพี่ ทั้งเสียงอันอ่อนโยน สักวันหนึ่งมันก็คงจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปนิดๆ สินะ แต่บางทีในความทรงจำของฉันก็จะยังคงหลงเหลือเสียงหัวเราะและน้ำเสียงของรุ่นพี่ในวัยสิบเก้าอยู่ 

 

 

เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป ฉันคงรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่จะไม่ได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปของรุ่นพี่ แต่ก็ยังโชคดีที่จะยังคงมีความทรงจำนี้เหลืออยู่ เพราะในสักวันหนึ่งฉันจะยังคงจดจำรุ่นพี่ในวัยสิบเก้าปีได้ในขณะที่ทุกคนลืมเลือนไป 

 

 

“รุ่นพี่คะ” 

 

 

“หือ” 

 

 

“ฉันมีเรื่องสงสัยน่ะค่ะ” 

 

 

รุ่นพี่คงจะสังเกตเห็นท่าทางลังเลนิดหน่อยก่อนที่จะเอ่ยออกมา ดวงตาของรุ่นพี่จึงมองมาที่ฉันด้วยความหนักแน่น 

 

 

“อะไรเหรอ” 

 

 

“…รุ่นพี่ชอบฉันตรงไหนเหรอคะ” 

 

 

คำถามที่รวบรวมความกล้าถามออกไป ทำให้ดวงตาของรุ่นพี่หรี่ลงเล็กน้อย ฉันหัวเราะอย่างประหลาด พลางแกล้งมองลงต่ำ ก่อนจะรีบพูดต่อ 

 

 

“ก็แค่ พอลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันก็ไม่ได้สวยอะไร แล้วก็ไม่ได้พิเศษเลิศเลออะไรด้วย ไม่น่าจะมีตรงไหนที่รุ่นพี่จะชอบได้เลยนี่คะ…” 

 

 

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ดึงริมฝีปากฉันที่พูดไม่ทันจบประโยคให้ยืดออก พลางหัวเราะสั้นๆ 

 

 

“ถ้างั้น แล้วเธอล่ะ” 

 

 

“…คะ” 

 

 

“แล้วเธอชอบพี่ที่ตรงไหน เพราะพี่หล่อ แล้วก็พิเศษงั้นเหรอ” 

 

 

“เปล่านะคะ ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นสักหน่อย…” 

 

 

คำถามของรุ่นพี่ที่ย้อนกลับมาอย่างไม่คาดคิดทำให้ฉันรู้สึกประหม่า จนต้องรีบส่ายหัวอย่างลุกลี้ลุกลน อันที่จริงเพราะฉันมัวแต่สงสัยถึงเรื่องนั้น ว่าทำไมรุ่นพี่ถึงชอบฉัน ฉันเลยไม่เคยคิดอย่างจริงจังมาก่อนเรื่องเหตุผลที่ฉันชอบรุ่นพี่ 

 

 

รุ่นพี่จ้องมองใบหน้าของฉันที่แข็งทื่อขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วยิ้ม ขณะที่เคลื่อนสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ท้องฟ้าที่ฉันมองตามรุ่นพี่ขึ้นไปนั้นมืดมิดจนเป็นสีน้ำเงินเข้มเข้ากับสีส้มแดงของแสงตะวันที่กำลังตกดิน และทั้งสองสีก็กำลังย้อมเข้าหากัน 

 

 

“ก็แค่เธอเข้ามาอยู่ในใจของพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้น่ะสิ” 

 

 

“…” 

 

 

“เหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติน่ะ” 

 

 

คำกระซิบเบาๆ ของรุ่นพี่เหมือนมาจากสักท่อนหนึ่งของเนื้อเพลงสักเพลง มันหมายความว่ารู้สึกชอบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เหมือนกับหิมะที่ละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หรือเหมือนกับท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มแดงเมื่อดวงตะวันตกดินอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ 

 

 

ฉันครุ่นคิดถึงคำพูดที่ฟังดูคลุมเครือของรุ่นพี่ก่อนจะอุทานออกมาว่า อ๋อ! พร้อมกับพยักหน้า 

 

 

หลังจากที่ฉันได้รู้จักกับรุ่นพี่มาจนถึงตอนนี้ รุ่นพี่เป็นทั้งเสาหลักที่นำพาฉัน และเป็นเหมือนกับชีวิตของฉันด้วย ดังนั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ฉันจะได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่  

 

 

แม้ว่าเสาหลักที่เรียกว่ารุ่นพี่จะหายไปจากโลกแห่งบัลเลต์ของฉัน แต่เขาก็ได้กลายเป็นเสาหลักที่ชี้นำไปยังเส้นทางอื่นให้แก่ฉัน และก็ยังคงหยุดอยู่เคียงข้างฉันราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ 

 

 

ฉันกำขวดยาที่กลิ้งไปมาอยู่ในกระเป๋าเอาไว้แน่น พลางค่อยๆ เอนหัวพิงไหล่ของรุ่นพี่ อย่างน้อยฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดนึง  

 

 

ต่อให้หูของฉันไม่ได้ยิน ถึงสุดท้ายฉันจะไม่สามารถเดินไปจนถึงที่ปลายสุดของเส้นทางนี้ แม้ว่าตัวฉันในอนาคตจะกลายเป็นอีกคนที่ต่างไปจากตอนนี้ แต่ฉันเชื่อว่ารุ่นพี่ก็คงจะกลายมาเป็นเสาหลักอื่นที่คอยอยู่เคียงข้างฉัน 

 

 

เหมือนเป็นเรื่องปกติที่หิมะจะละลายลงเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง เรื่องปกติที่ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีส้มเมื่อตะวันตกดิน เรื่องปกติที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเป็นเช่นนั้นเสมอ 

 

 

“ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่” 

 

 

ฉันพึมพำออกมาเบาๆ จนเกือบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ริมฝีปากของรุ่นพี่ประกบลงมาที่ริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากที่เย็นเฉียบจากลมเย็นๆ กำลังแนบชิดกัน จนเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา 

 

 

เมื่อริมฝีปากของรุ่นพี่ค่อยๆ ผละออกไป ฉันก็หลับตาลงนิ่งๆ ฝ่ามืออันแข็งแรงของรุ่นพี่กุมแก้มของฉันเอาไว้ ลมหายใจของรุ่นพี่ที่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายจมูก สัมผัสอุ่นๆ ที่รดลงบนริมฝีปาก ทั้งหมดนั่นถูกขีดเขียนลงไปในหัวของฉันราวกับรูปแกะสลัก 

 

 

ไออุ่นของรุ่นพี่ที่ค่อยๆ ห่างออกไปพร้อมกับทิ้งความเสียดายเอาไว้ข้างหลัง ทำให้ฉันกัดริมฝีปากแน่นเพราะกลัวว่ามันจะลอยหายไป พลางจ้องมองไปที่รุ่นพี่ ก่อนจะยิ้มออกมากว้างๆ ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ดวงตาของรุ่นพี่โค้งมนลงและแฝงไปด้วยประกายที่ทำให้แสบตา 

 

 

“ขอบคุณนะคะที่มาปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ที่คอยนำทางให้ฉัน และก็คอยอยู่เคียงข้างฉัน” 

 

 

เพราะอย่างนั้นฉันจะไม่ลืมเลยค่ะ เสียงของรุ่นพี่ที่มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฉัน ที่คอยนำทางชีวิตของฉัน และคอยอยู่เคียงข้างฉัน รวมไปถึงบัลเลต์และดนตรีที่รุ่นพี่ได้มอบให้ฉันเป็นของขวัญด้วย 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

เทอมใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ฉันได้กลายมาเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สอง ถึงแม้ห้องเรียนจะเปลี่ยนไป แต่เพื่อนๆ ในชั้นเรียนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉันยังคงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สองแล้ว แต่เพื่อนๆ ที่ยังคงอยู่เคียงข้างฉันด้วยรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังคงเดิมนั้นทำให้จิตใจของฉันสงบลง 

 

 

ผลงานที่ฉันและรุ่นพี่จะได้แสดงร่วมกันในงานแสดงของอคาเดมี่ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม คือ Swan Lake[1] แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดกันว่าเรื่องนี้จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่เดิมทีนั้นมันเป็นบทละครแนวโศกนาฎกรรม  

 

 

ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นผลงานที่เหมาะสมกับคำว่าครั้งสุดท้ายเป็นที่สุด การเต้นรำครั้งสุดท้ายร่วมกันกับรุ่นพี่ และก็ยังเป็นเวทีสุดท้ายของฉัน 

 

 

ฉันที่ตกอยู่ภายใต้ความวิตกกังวลครั้งแล้วครั้งเล่าไม่สิ้นสุดตลอดช่วงเวลาปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิอันแสนสั้น ในที่สุดก็ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยไม่มีทางเลือก ว่างานแสดงของอคาเดมี่ในครั้งนี้จะเป็นการเต้นบัลเลต์ครั้งสุดท้ายของฉัน  

 

 

ฉันไม่อยากจะทำการแสดงบนเวทีต่อไปในสภาพอันน่าสมเพช ด้วยหูที่รอคอยความหวังอันริบหรี่ พร้อมกับความค้างคาใจว่าสักวันจะไม่ได้ยินเสียง กับร่างกายที่จะไม่สามารถเต้นได้อย่างปกติอีก 

 

 

ฉันคิดว่าตลอดที่ผ่านมา ขณะที่ฉันสูญเสียสิ่งต่างๆ ไปมากมาย ฉันก็ได้เรียนรู้วิธีที่จะยอมแพ้ ฉันคิดว่าร่างกายของฉันได้เรียนรู้ความเคยชินที่จะไม่คาดหวัง แต่แม้ว่าหัวใจของฉันที่คุ้นชินกับเรื่องแบบนั้นก็ยังไม่สามารถยอมแพ้กับเรื่องของความฝันได้โดยง่าย 

 

 

แต่ว่าฉันก็ยังยอมที่จะปล่อยเชือกเส้นนี้ไป ฉันอยากจะจดจำเวทีที่จะได้แสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่อีกงเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายเอาไว้อย่างสวยงาม 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เริ่มต้นคลาสเรียนปกติในเดือนมีนาคม ฉันกับรุ่นพี่ก็เริ่มต้นเตรียมตัวสำหรับการแสดง ฉันยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่านี่คือเรื่องจริง ความจริงที่ว่าเวลาทั้งหมดนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เต้นจนเหงื่อไหลโชกไปกับดนตรีของหงส์ที่ฉันคงจะฟังจนหูแทบฉีกในฐานะนักเต้น 

 

 

“วัน ทู ทรี โฟร์!” 

 

 

ฉันยกขาขึ้นตามจังหวะที่แผ่วเบาแต่มีพลังของอาจารย์ ต่อจากนั้นมืออันแข็งแกร่งของรุ่นพี่ก็แนบลงบนเอวของฉัน  

 

 

สายตาที่โฉบผ่านไปเบาๆ และรอยยิ้มอ่อนๆ คอยแต่ทำให้หัวใจของฉันยุ่งเหยิงไปหมด และนั่นก็ทำให้ฉันไม่สามารถโฟกัสได้เลยสักนิด หลังจากที่ฉันทำท่าทางขัดๆ เขินๆ ออกมาสักพัก เสียงถอนหายใจของอาจารย์ที่ค่อยๆ หนักขึ้นก็ตามออกมา 

 

 

“ฮวีกยอม รู้สึกไม่ค่อยดีเหรอ” 

 

 

“…ขอโทษนะคะ” 

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก งั้นเราก็พักกันสักหน่อยแล้วกันนะ” 

 

 

หลังจากยิ้มเล็กๆ พลางตบไหล่ฉันเบาๆ ทันทีที่อาจารย์ออกจากสตูดิโอไป รุ่นพี่ก็มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง ฉันเผลอกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอพร้อมกับยิ้มร่า แต่รุ่นพี่กลับลูบหัวของฉันช้าๆ ด้วยใบหน้าเป็นกังวล 

 

 

“ไม่สบายตรงไหนเหรอ” 

 

 

“เปล่าค่ะ ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” 

 

 

“แต่ทำไมดูไม่สมกับเป็นเธอเลยละ ดูไม่มีสมาธิเลยนะ” 

 

 

“ดูเหมือนฉันจะตื่นเต้นเวลาที่คิดว่าตัวเองจะได้แสดงปาเดอเดอกับรุ่นพี่น่ะสิคะ” 

 

 

พอฉันแกล้งทำเป็นโต้ตอบอย่างหยอกล้อ รุ่นพี่ก็หัวเราะเบาๆ แล้วทำปากจู๋ พลางเอานิ้วจิ้มลงบนหน้าผากของฉัน 

 

 

“อย่าใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไปกับพาร์ทเนอร์สิ” 

 

 

“ฉันก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่มันไม่ค่อยจะได้เนี่ยสิคะ” 

 

 

“ดูสิดู ยิ่งพูดยิ่งเอาใหญ่” 

 

 

รุ่นพี่ดึงแก้มฉัน รอยยิ้มตรงหน้านั้นกำลังเปล่งประกายเป็นแสงสีขาว พอได้มองดูแสงนั้นแล้ว จะว่าไงดีนะ แบบว่าจิตใจของฉันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่นี้ดูเหมือนจะสงบลงไปเลย เพื่อรุ่นพี่แล้ว ฉันไม่สามารถที่จะอ่อนแออยู่แบบนี้ได้ เพราะนี้คือเวทีคลาสสิกครั้งสุดท้ายของรุ่นพี่เหมือนกัน 

 

 

ฉันแอบกำมือไว้พร้อมกับตั้งใจอย่างแน่วแน่ ใช่แล้ว ต้องเชื่อสิ ต้องเชื่อว่าหูของฉันจะสามารถทนได้จนกว่าเวทีนี้จะจบลง ไม่สิ ลืมปัญหาเรื่องหูไปเลยดีกว่า ฉันพูดซ้ำๆ ย้ำอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะหันไปส่งยิ้มอันสดใสให้กับรุ่นพี่อีกครั้ง 

 

 

“เรามาลองกันอีกครั้งเถอะนะคะ” 

 

 

“โอเค” 

 

 

รุ่นพี่พยักหน้าด้วยความยินดี พร้อมกับลากฉันมาตรงกลางสตูดิโอ สายตาของรุ่นพี่ที่มองมาทำให้ตรงที่ที่ถูกมองร้อนเหมือนโดนไฟแผดเผา ส่วนมือของรุ่นพี่ที่ประสานนิ้วลงมาก็ให้ความรู้สึกจั๊กจี้เหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

ฉันตั้งท่าช้าๆ ตามการให้จังหวะของรุ่นพี่ที่เริ่มต้นขึ้น เหงื่อเริ่มผุดออกมาจากหน้าผากของฉัน ในปลายเดือนมีนาคมที่ใบไม้เริ่มผลิบาน เวทีสุดท้ายของพวกเราก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละนิด 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] Swan Lake สวอนเลกเป็นบัลเลต์ โอปุสที่ 20 โดยปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี ที่แต่งขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1875-1876 โดยมีเค้าโครงมาจากนิทานของรัสเซีย และจากตำนานพื้นเมืองของเยอรมัน เล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงชื่อ “โอเดตต์” ที่ถูกสาปให้กลายร่างเป็นหงส์ในเวลากลางวัน และเป็นมนุษย์ในเวลากลางคืน โอเดตต์มีความรักกับเจ้าชายชื่อ “ซิกฟรีด” แต่มีอุปสรรคทำให้ไม่สามารถอภิเษกสมรสกันได้