พอเสร็จคลาสทั่วไป ฉันก็ออกมาตรงทางเดินพร้อมกับเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู จากนั้นก็นั่งเหม่อที่เก้าอี้ข้างหน้าตู้ขายของอัตโนมัติ มองดูแสงตะวันตกดินที่ลอดมาทางหน้าต่าง  

 

 

โถงทางเดินในตึกอคาเดมี่เต็มไปด้วยเหล่าเด็กๆ ที่เหงื่อโซมกายซึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ เสียงของทุกคนที่คงจะดังเจี๊ยวจ๊าวตรงทางเดิน แต่มันกลับกลายเป็นเพียงเสียงก้องๆ ในโทนเดียวสำหรับฉัน 

 

 

แค่วันนี้ก็ปาเข้าไปสามรอบแล้ว จำนวนครั้งที่จู่ๆ เสียงก็หายไปค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ถึงฉันจะรู้ว่า ยังไงซะ เมื่อเวลาผ่านไปเสียงก็จะกลับมาอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่หูของฉันไม่ได้ยินอะไรแบบนี้ ความกลัวก็จะพลุ่งพล่านขึ้นมา ด้วยความกลัวว่าจะต้องเจอกับการบอกลาที่ไม่ทันได้เตรียมตัว กลัวว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงเวทีสุดท้ายร่วมกับรุ่นพี่ 

 

 

ฉันเอาแต่มองเหม่อออกไปข้างนอกหน้าต่าง และความกังวลใจที่วกกลับมาหาฉันอีกครั้งก็ทำให้ฉันรีบลุกพรวดขึ้น ก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว พร้อมกับควานหายาภายในกระเป๋าที่เก็บอยู่ในล็อกเกอร์ พอกลืนมันเข้าไป หัวใจที่กระสับกระส่ายและเต้นรัวก็สงบลงเล็กน้อย 

 

 

เป็นเพราะกินยาอย่างสม่ำเสมอ อาการมึนหัวเลยลดน้อยลงกว่าแต่ก่อน แต่พอต้องมาเจอกับช่วงเวลาที่จู่ๆ ก็ไม่ได้ยินอะไรแบบนี้ ความกังวลและความหวาดกลัวก็จู่โจมเข้ามา 

 

 

ฉันปิดประตูล็อกเกอร์ เอนตัวพิงล็อกเกอร์ก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น ไอเย็นจากเหล็กส่งผ่านมาที่ผิวอันเปลือยเปล่า เมื่อฉันหลับตาทั้งสองข้างลง ข้างในที่เต้นด้วยความตื่นกลัวก็ค่อยๆ กลับเข้าสู่ความเงียบสงบ แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ สินะ พอนึกถึงคำถามมากมายที่ถาโถมเข้ามาเป็นสิบๆ ภายในวันเดียว ก็รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะทะลักออกมา 

 

 

“…ยัยบ้า” 

 

 

ฉันลองพึมพำออกเสียง แต่มันกลับได้ยินไม่ชัดเจน หลังจากที่เอามือทั้งสองข้างมากุมใบหน้า แล้วนั่งชันเข่าขึ้น ฉันก็ซบหน้าลงที่ขา 

 

 

ฉันนั่งอยู่แบบนั้นตรงมุมห้องแต่งตัวสักพัก จนเมื่อออกมาข้างนอก ทั้งโถงทางเดินก็กลับมาเงียบสงบเรียบร้อยแล้ว 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงย่างก้าวบนทางเดินที่ไม่มีใคร ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่ว่าวินาทีที่ฉันสบตากับรุ่นพี่อีกงที่ยืนอยู่ข้างหน้าสตูดิโอ ฉันก็ทำได้แต่หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ 

 

 

ฮวีกยอม 

 

 

อ๊ะ ฉันมองเห็นริมฝีปากของรุ่นพี่ที่เรียกชื่อของฉันออกมา พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่ว่าที่แตกต่างออกไป คือฉันแทบไม่ได้ยินเสียงของรุ่นพี่เลยสักนิด ฉันที่รู้สึกลุกลี้ลุกลน ได้แต่รวบรวมพลังฮึดขึ้นมาพลางขมวดคิ้วเพื่อที่จะตั้งใจฟังเสียง 

 

 

“…มาเร…” 

 

 

ในไม่ช้า เสียงของรุ่นพี่ที่ได้ยินเบามากๆ ก็หายไปท่ามกลางเสียงแทรกซ้อนที่ดังอึกทึกขึ้นมา ราวกับวิทยุที่จูนไม่ตรงคลื่น ฉันหลบตารุ่นพี่ พลางเริ่มขยับหัวไปมา 

 

 

ทำยังไงดี ฉันต้องทำยังไง ความกระวนกระวายใจเริ่มทำให้ทั่วทั้งตัวสั่นขึ้นมา แต่ว่าวินาทีที่ฉันกำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนก เสียงที่ดังกังวานก็แทรกเข้ามาในหูของฉันราวกับเรื่องโกหก 

 

 

“กยอมกยอม” 

 

 

“…” 

 

 

“เป็นอะไรไป” 

 

 

ฉันค่อยๆ เงยหน้ามองไปทางรุ่นพี่ และตอนนั้นเองที่เสียงถอนหายใจแห่งความโล่งใจดังออกมา เสียงกลับมาแล้ว ฉันได้ยินเสียงดนตรีที่ดังออกมาจากภายในห้องสตูดิโออย่างชัดเจน ทั้งเสียงหายใจของรุ่นพี่ด้วย มือของรุ่นพี่จับลงตรงไหล่ของฉัน และฉันก็ได้ยินเสียงของสัมผัสนั้นอย่างชัดเจน 

 

 

“…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ไม่มีอะไรจริงๆ นะคะ” 

 

 

ใบหน้าเคร่งขรึมของรุ่นพี่จ้องมองมาที่ฉันซึ่งกำลังแกว่งมือด้วยท่าทีประหลาด ฉันส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่มันคงจะส่งไปไม่ถึงรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะเครียดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

 

 

รุ่นพี่หันหน้าไปมองทางฝั่งสตูดิโอสักพัก ก่อนจะหันกลับมามองฉัน พร้อมกับปิดปากเงียบ แล้วจู่ๆ เขาก็เอื้อมมาจับมือฉันไว้ 

 

 

“ตามมา” 

 

 

น้ำเสียงสงบเงียบและเยือกเย็นของรุ่นพี่กดร่างกายของฉันให้หนักอึ้งเหมือนกำลังใส่เสื้อหลายๆ ชั้นที่เปียกน้ำ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ประตูเหล็กอันหนักอึ้งของประตูฉุกเฉินตรงปลายทางเดินถูกปิดลงอย่างแรงพร้อมกับเสียงดังปัง นั่นเลยทำให้ฉันตกใจจนต้องหันกลับไปมองรุ่นพี่ รุ่นพี่ที่ยืนหันหลังจับด้ามจับประตูอยู่ค่อยๆ หันกลับมาสบตากับฉัน 

 

 

“คิมฮวีกยอม” 

 

 

“คะ” 

 

 

ฉันตอบออกไปพร้อมกับห่อตัว ขณะที่สังเกตท่าทีของรุ่นพี่ไปด้วยก็กระสับกระส่ายจนทำตัวไม่ถูก ดูท่ารุ่นพี่จะโกรธจัดเลยละ รุ่นพี่ยื่นหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโหเข้ามาใกล้ฉัน พร้อมกับจับและล็อกใบหน้าของฉันที่คอยแต่จะหลบเลี่ยงด้วยมือทั้งสองข้าง พลางถามด้วยน้ำเสียงในโทนต่ำ 

 

 

“เธอมีอะไรปิดบังพี่อยู่ใช่ไหม” 

 

 

“…มะ ไม่มีหรอกค่ะ จะไปมีได้ยังไงละคะ” 

 

 

“พี่จะไม่โกรธเพราะงั้นบอกพี่มาตามตรง ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” 

 

 

“ไม่มีหรอกค่ะ เรื่องแบบนั้น…” 

 

 

ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจนจบประโยค ฉันก็กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ยังไงจะให้รุ่นพี่รู้เรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด อย่างน้อยก็จนกว่าการแสดงนี้จะจบลงด้วยดี ฉันไม่อยากเห็นท่าทางลำบากใจของรุ่นพี่ตอนที่ได้รู้ถึงอาการของฉัน 

 

 

แต่พอได้มาเผชิญหน้ากับรุ่นพี่แบบนี้แล้ว แทนที่จะเป็นความแน่วแน่ที่แข็งแกร่ง มันกลับกลายเป็นหัวใจที่พังทลายลงไปอย่างไม่สิ้นสุดแทน มันทั้งหวาดกลัว เจ็บปวด และเหนื่อยล้า ฉันคิดเพียงแค่ว่าหลังจากเปิดเผยทุกอย่างแล้ว อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้จะยังรอคอยฉันอยู่ ถึงมันจะดูเห็นแก่ตัวก็เถอะ 

 

 

“เป็นเรื่องที่บอกพี่ไม่ได้งั้นเหรอ” 

 

 

ตาของรุ่นพี่หรี่เล็กลง ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยนั้น และได้แต่ส่ายหน้า พลางกำหมัดไว้แน่น 

 

 

“ก็บอกว่าไม่มีอะไรยังไงละคะ” 

 

 

ใช่แล้ว ถ้าในตอนนี้มันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่ฉันพูด มันจะดีแค่ไหนเชียวนะ บางทีในขณะที่ฉันกำลังทำท่าทีไม่สะทกสะท้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ แต่ภายในใจฉันคงจะกำลังปฏิเสธว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ 

 

 

ทั้งที่การเต้นเป็นอย่างเดียวที่ฉันทำได้แท้ๆ นอกเหนือไปจากนั้น ฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ถ้าเกิดฉันสูญเสียทุกอย่างไป ถ้าเกิดฉันไม่เหลืออะไร รุ่นพี่จะยังคงอยู่เคียงข้างฉันไหมนะ รุ่นพี่จะทิ้งฉันไปเหมือนกับพ่อหรือแม่หรือเปล่านะ 

 

 

“คิดว่าพี่ไม่รู้จักเธอเหรอ แค่ดูก็รู้ว่าเธอกำลังโกหกอยู่ชัดๆ” 

 

 

“…” 

 

 

“อยากจะให้พี่แกล้งทำเป็นไม่รู้งั้นสินะ” 

 

 

แล้วจู่ๆ น้ำเสียงของรุ่นพี่ก็กลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง ฉันมองเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ใต้หน้าผากที่ยับยู่ยี่ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่มองจ้องมาที่ฉัน ริมฝีปากที่ถูกปิดเอาไว้แน่น รุ่นพี่จะรู้ไหมนะ ว่าแม้แต่ท่าทางที่ดูเด็ดขาดแบบนี้ของรุ่นพี่ก็เป็นเหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิอันแสนจะอบอุ่นสำหรับฉัน 

 

 

“…ไว้จบการแสดงแล้ว” 

 

 

ฉันที่จ้องหน้ารุ่นพี่นิ่งๆ ค่อยขยับปากพูด 

 

 

“ไว้จบจากการแสดงแล้ว ตอนนั้นฉันจะบอกนะคะ” 

 

 

เพราะอย่างนั้นตอนนี้เจ้าชายซิกฟรีดช่วยแกล้งทำเป็นไม่รู้ ว่าถูกหงส์ดำตัวนี้หลอกด้วยเถอะนะ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากวันนั้น ความรู้สึกอึดอัดใจทำให้ฉันเอาแต่หลบหน้ารุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะโดนอาจารย์ล้อแบบติดตลกว่า คู่รักทะเลาะกันเหรอเนี่ย ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ และส่ายหัวกลับไปแทน 

 

 

ไม่รู้ว่ารุ่นพี่โกรธหรือตัดสินใจว่าจะไม่สนใจแล้วกันแน่ เขาถึงไม่ได้ถามอะไรฉันอีกเลย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะดูห่างเหินกันหรอกนะ รุ่นพี่ยังมารอฉันกลับจากโรงเรียนที่หน้าบ้านทุกวัน แล้วก็ไปที่อคาเดมี่ด้วยกัน ก่อนจะกลับบ้านด้วยกัน 

 

 

แต่สำหรับฉันที่รู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ อาการจะกำเริบขึ้นมาอีกเมื่อไหร่นั้น ยิ่งได้ใช้เวลาร่วมกันกับรุ่นพี่มากเท่าไหร่ ก็มีแต่จะทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น  

 

 

อุตส่าห์พยายามซ่อนเอาไว้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ารุ่นพี่จะสังเกตเห็นความรู้สึกนั้นของฉันได้ ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวว่ารุ่นพี่จะเข้าใจผิด แต่ฉันก็ยังไม่กล้าที่จะบอกความจริงอยู่ดี ฉันกำลังอยู่ในสภาพจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 

 

 

จะต้องอธิบายว่าอะไรดีนะ หมู่นี้ฉันเอาแต่รู้สึกว่าอยากจะจมลงไปอยู่ในโถปลาทองซะเหลือเกิน อารมณ์แบบว่า อยากจะไปนั่งหายใจอย่างสงบนิ่ง คดตัวอยู่ในโถกระจกเล็กๆ ที่ไม่มีทั้งคลื่นลมและนักล่าตามธรรมชาติ  

 

 

ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกลัวอะไร สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยเชื่อว่า โลกเล็กๆ ข้างในนี้ที่ถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงกระจกคือโลกทั้งหมด มันจะดีขนาดไหนกันนะ 

 

 

ในตอนนั้นเองที่ด้านนอกหน้าต่างมีฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมาอีกครั้งหลัง ฉันเท้าค้างและเหม่อมองไปที่หยดน้ำซึ่งไหลลงมาตามหน้าต่าง ราวกับว่าในห้องเรียนแห่งนี้คือโถปลาขนาดยักษ์ 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงเนิบๆ ของอาจารย์ที่ดังแว่วมาจากที่ที่ห่างไปประมาณหนึ่ง หรือจะเป็นเสียงฝนที่กระทบกับหน้าต่างดังลั่น จู่ๆ เสียงพวกนั้นก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ฉันมัวแต่ดื่มด่ำอยู่กับความรู้สึกที่ค่อยๆ ถลำลึกเข้าไปอย่างไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งมีใครบางคนมาตบไหล่ของฉัน 

 

 

“มั่วแต่คิดอะไรอยู่น่ะ” 

 

 

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่กำลังฟังเสียงฝนอยู่น่ะ”  

 

 

“ฝนตกหนักเลย เธอมีร่มหรือเปล่า” 

 

 

ดูเหมือนว่าจะเลิกเรียนแล้วสินะ ฉันส่ายหัวเบาๆ หลังจากที่หันไปมองดูรอบๆ ห้องที่วุ่นวายอย่างเชื่องช้า ผู้คนต่างกำลังวุ่นอยู่กับกระเป๋าของตัวเอง จะว่าไปแล้ว ฝนตกหนักขนาดนี้จะกลับบ้านยังไงดีล่ะ ถ้าหากมีเซจินหรืออีเซอยู่ด้วยก็คงจะไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแท้ๆ 

 

 

ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบนี้ ฉันยิ้มออกมาเล็กๆ รู้สึกโหวงๆ เมื่อเห็นที่นั่งของทั้งสองคนว่างอยู่ 

 

 

หมู่นี้เซจินกับอีเซกำลังยุ่งเรื่องการเตรียมตัวไปต่างประเทศ จึงมักจะเลิกเรียนก่อนเวลาอยู่บ่อยๆ เหตุผลเป็นเพราะได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากมีชื่ออยู่ในรอบชิงชนะเลิศที่โลซานน์ ตอนนี้ทั้งสองคนได้กลายเป็นคนที่อยู่คนละโลกกับฉันไปจริงๆ ซะแล้ว ซึ่งพอคิดดูแล้ว เพื่อนๆ ของฉันก็เป็นพวกคนที่อยู่คนละชั้นกับฉันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

 

 

พอฉันนั่งเหม่อไม่พูดอะไร เพื่อนร่วมชั้นที่เข้ามาคุยกับฉันก่อนจึงบอกว่า ไปก่อนนะ แล้วก็เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไป  

 

 

ฉันที่ถูกทิ้งให้อยู่ภายในห้องเรียนที่ว่างเปล่าเพียงคนเดียวอย่างเหงาหงอยจึงค่อยๆ เริ่มหยิบนู่นหยิบนี่เข้ากระเป๋าด้วยท่าทีอืดอาด แล้วในตอนนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูหลังห้องออก ก่อนจะเดินเข้ามาข้างในห้องเรียน 

 

 

“อ้าว ซูฮยอน” 

 

 

คนที่กำลังเดินมาตรงหน้าฉันที่ยืนสะพายกระเป๋าอยู่อย่างเก้ๆ กังๆ ก็คือซูฮยอนนั่นเอง ซูฮยอนมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเฉยเมยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ก่อนจะโบกร่มที่กำลังถืออยู่ตรงหน้าฉัน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 

 

 

“ไปด้วยกันไหม”