ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 84 สกุลเซี่ยชนะแล้ว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 84 สกุลเซี่ยชนะแล้ว Ink Stone_Fantasy

 

ตงป๋อเสวี่ยอิง ได้สติกลับคืนมา แล้วมองเห็น ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ ของสกุลเซี่ยและ ‘แม่ทัพเซวียน’ แห่งสกุลชางที่ได้สติกลับคืนมาเช่นเดียวกัน

“ผู้ใดเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ใดเป็นอันดับสองน่ะ”

พวกเขาต่างก็ยืดกายขึ้น มีความสงสัยอยู่บ้าง

เนื่องจากเมื่อครู่นี้ พวกเขาล้วนพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อต้านทานกระบวนท่าวิญญาณ จนไม่มีกระจิดกระใจสำรวจภายนอกเลยและไม่ทราบอันดับด้วย

“พี่หิมะเหิน ท่านเป็นอันดับสอง” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพูด “น่าเสียดายจริงๆ อีกนิดเดียวก็จะเป็นอันดับหนึ่งแล้ว! พวกเจ้าทั้งสามคนล้วนยืนยันได้เป็นเวลานานมาก สุดท้ายจึงค่อยทยอยล้มลง ความแตกต่างระหว่างกันมีน้อยมาก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย

อันดับสองหรือ

ในฐานะผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทางด้านเขตลวงโลกเทียม และเนื่องจากบำเพ็ญศาสตร์ร่างแยกทำลายกรงสกุลฝาน  วิญญาณดูดซับกลิ่นอายอันเร้นลับจากโลกภายนอกมาหล่อเลี้ยง ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงคิดว่าตนน่าจะเป็นอันดับหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงอันดับสองเท่านั้น! อีกทั้งความแตกต่างของสามอันดับแรกนั้นน้อยมาก แสดงให้เห็นว่าความสามารถทางด้านนี้นั้นใกล้เคียงกันมาก

“ข้าเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างฉิวเฉียดหรือนี่” เซี่ยฝ่าหยางได้รับสารที่ส่งมาจากภายในตระกูล เขาอดมองไปทางคนด้านข้างทั้งสองคนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามิได้ เขาลอบตกตะลึง “ทางสายภาพจิตของข้าบรรลุถึงขั้นอลวนระดับยอดสุดก่อนแล้ว ก็เพราะเชี่ยวชาญทางสายค่ายกล! เพื่อค้นคว้าค่ายกล เขาได้ดูดกลืน‘แก่นแท้อลวน’ มูลค่าถึงสองร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลลงไปโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ข้าคิดเอาเองว่าในบรรดาขั้นอลวน คงไม่มีผู้ใดที่กระบวนท่าสกัดวิญญาณแข็งแกร่งกว่าข้า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะใกล้เคียงกันกับข้า”

เซี่ยฝ่าหยางจึงจะเป็นผู้ที่ได้รับความสำคัญมากที่สุดในสกุลเซี่ย

ทางสายภาพจิตและทางสายค่ายกล…

ทางสองสายนี้จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็ยากมาก! ค่ายกลยิ่งสิ้นเปลืองพลังจิตมากขึ้นไปอีก ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่งเท่าใด การค้นคว้าค่ายกลก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเท่านั้น เซี่ยฝ่าหยางจึงไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ถึงขั้นขอหยิบยืมแก้วผลึกจักรวาลจากภายในเผ่า ‘แก่นแท้อลวน’ ที่กลืนกินลงไปนั้นมีราคาสูงเสียจนเกินจริง

“ข้าได้อันดับสามหรือ” แม่ทัพเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคร่ำหวอดอยู่กับเคล็ดวิชาที่ ‘ปรมาจารย์หยวน’ มอบให้ แล้วฝึกให้เข้าที่ก่อนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ในที่สุด! จึงมีคุณสมบัติพอจะได้เป็นศิษย์ของ ‘ปรมาจารย์หยวน’ วิญญาณของข้าครบสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังด้อยกว่าทั้งสองคนนี้อยู่บ้าง ก็ถูกต้องแล้ว ในสายตาของปรมาจารย์หยวน หลังจากฝึกจนเข้าที่แล้ว ก็ยังมีผลสำเร็จอย่างพอถูไถเท่านั้น”

เขากลับไม่รู้

ตงป๋อเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยางนั้น คนหนึ่งเขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขีดสุดของขั้นอลวน ส่วนอีกคนหนึ่งบรรลุถึงขีดสุดของขั้นอลวนทางสายภาพจิต วิญญาณของคนหนึ่งดูดซับกลิ่นอายเร้นลับภายนอกโลกกำเนิด คนหนึ่งดูดซับแก่นแท้อลวนไปเป็นจำนวนมาก! ตัวเขา แม่ทัพเซวียนไม่เคยตั้งใจบำเพ็ญกระบวนท่าจำพวกวิญญาณมาก่อน ก็สามารถบรรลุก้าวนี้ได้ นับว่าน่าเหลือเชื่อมากทีเดียว

……

ผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทั้งสาม ต่างคนต่างมีความคิดในใจ

ส่วน ‘มหาเคารพเฟิงเฉิน’ ที่เป็นผู้ดำเนินการต่อสู้ระหว่างทั้งสามเผ่ากลับพูดยิ้มๆ เสียงดังกังวานว่า “การประลองรอบแรกนี้ยุติลงแล้ว อันดับแรกก็คือเซี่ยฝ่าหยางแห่งสกุลเซี่ย อันดับสองได้แก่อิงซานเสวี่ยอิงแห่งสกุลฝาน อันดับสามได้แก่ชางเซวียนแห่งสกุลชาง บัดนี้สกุลเซี่ยได้หม้อขาหยั่งทองสามใบ สกุลฝานได้หม้อขาหยั่งทองไปสองใบ ส่วนสกุลชางได้หม้อขาหยั่งทองไปหนึ่งใบ…ฮ่าฮ่า ต่อไปก็จะเป็นการประลองรอบที่สองแล้ว”

“การประลองรอบที่สอง เป็นการประลองความสามารถโดยรวมในการอบรมศิษย์ของทั้งสามตระกูล ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนของสามตระกูลใหญ่แบ่งออกเป็นห้ากลุ่มด้วยกัน แต่ละกลุ่มมีสกุลเซี่ย สกุลฝานและสกุลชางอยู่กลุ่มละคน…ผู้ชนะในการห้ำหั่นของแต่ละกลุ่มในท้ายที่สุดจะได้รับหม้อขาหยั่งทองใบหนึ่ง ทั้งหมดห้ากลุ่ม ก็มีหม้อขาหยั่งทองทั้งหมดห้าใบ”

“โปรดรอก่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวจะเริ่มการประลองรอบที่สองแล้ว”

มหาเคารพเฟิงเฉินพูดจบ

ก็ปรึกษากับมหาเคารพทั้งสองของสกุลฝานและสกุลชางทันที

พวกเขานำรายนามที่จัดเรียงอันดับเอาไว้ออกมาคนละฉบับ ต่างฝ่ายต่างไม่ทราบรายนามของอีกคนหนึ่ง รายนามทั้งสามชุดสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว! รายนามของแต่ละคนนั้น อันดับแรกคือกลุ่มที่หนึ่ง อันดับสองคือกลุ่มที่สอง…ไล่เรียงกันไปตามลำดับ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ที่นั่งแล้ว

“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน รอบแรกทำได้ดีพอแล้ว” จ้าวขุยเฉินกล่าว “บัดนี้พวกเราต่ำกว่าสกุลเซี่ยอยู่เล็กน้อย ยังมีรอบที่สองและรอบที่สามอีก ครั้งนี้พวกเรามีความหวังที่จะชนะเป็นอย่างมาก ทุกท่าน…ต้องพยายามทำอย่างสุดกำลังล่ะ”

“ขอรับ” แต่ละคนในที่นั้นต่างก็รับคำ

*******

ไม่นานนัก รายนามก็ถูกเปิดเผยออกมา

“การประลองรอบที่สองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้” มหาเคารพเฟิงเฉินประกาศเสียงดังกังวานอยู่ด้านบน เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วโถงตำหนักอันกว้างใหญ่ไพศาล “กลุ่มแรกก็คือเซี่ยอูหัว ส้าหลงและชางชิงเหลย กฎของการประมือกันก็คือ หากถูกโยนออกนอกเวทีการต่อสู้ก็แพ้ หรือจักรพรรดิเซี่ยลงมือช่วยเหลือก็นับว่าพ่ายแพ้เช่นกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้น

ลำดับการออกศึกของสกุลฝานก็คือ อ๋องส้าหลง ฝานซานหยวน อิงซานเสวี่ยอิง ฝานอีเชียนและฝานโม่จู๋

“เซี่ยอูหัวหรือ”

“ยุ่งยากเสียแล้ว”

“การต่อสู้ครั้งนี้ โอกาสชนะของเซี่ยอูหัวมากกว่ามากทีเดียว” บรรดาแขกเหรื่อของแต่ละฝ่ายสนทนากัน เซี่ยอูหัวมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงภายนอก ส่วนอ๋องส้าหลงถึงอย่างไรก็เป็นชาวเผ่าทุ่งน้ำแข็งอันไกลลิบ เป็นรัฐภายนอก ส่วนชางชิงเหลยกลับมิได้โดดเด่นอะไรนักในสกุลชาง

ณ ใจกลางโถงตำหนัก

บัดนี้เวทีการต่อสู้ทรงกลมสีขาวเงินยวงทรงกลมขนาดมหึมาแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เซี่ยอูหัว ส้าหลงและชางชิงเหลยซึ่งอยู่บนเวทีการต่อสู้ต่างก็เพ่งความสนใจไปที่คู่ต่อสู้ ในหมู่พวกเขาทั้งสามคน มีผู้ชนะเพียงคนเดียวเท่านั้น!

“เริ่มต้นเถิด” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดยังไม่ทันขาดคำ ขั้นอลวนทั้งสามคนก็ต่อกรกันเสียแล้ว พวกเขาไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย และไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาใดด้วย เพราะถึงอย่างไรในที่นั้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอยู่ถึงสามท่านด้วยกัน! ภายใต้การจับตามองของจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชาง แต่ไหนแต่ไรการต่อสู้ของทั้งสามตระกูลก็ไม่เคยมีการสู้จนถึงตายเกิดขึ้นมาก่อน! เพราะถึงอย่างไรระดับก็มิได้แตกต่างกันมากจนเกินไปนัก หรือสุดท้ายแล้ว พวกจักรพรรดิเซี่ยก็สามารถช่วยเอาไว้ได้ในนาทีสุดท้ายอยู่ดี

ตู้มมมม…

ในฐานะที่ชางชิงเหลยเป็นยักษ์ ผิวหนังร่างกายจึงมีสีเขียวเข้ม เหนือผิวมีสายฟ้าหมุนเวียนอยู่ ในมือถือค้อนอันใหญ่เอาไว้สองอัน ดูเหิมเกริมผิดธรรมดา

ส่วน ‘อ๋องส้าหลง’ ซึ่งเดิมทีเหิมเกริมนั้น มาบัดนี้กลับปลดปล่อยระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาแล้วเริ่มห้ำหั่นประชิดตัว อ๋องส้าหลงนั้นบำเพ็ญทางสองสายควบคู่กัน พลังก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เป็น ‘ฝานอีเชียน’ ก็ยังต้องสำแดงเคล็ดต้องห้ามออกมา บวกกับที่บริเวณเล็กเกินไป อ๋องส้าหลงมิอาจหลบหลีกได้จึงรบแพ้ไป ยามนี้เวทีการต่อสู้กลางโถงตำหนักกลับดูเหมือนมิติไม่ค่อยเกินจริงสักเท่าไหร่นัก แต่อันที่จริงแล้วลานเล็กๆ ก็ใหญ่กว่าพันเท่าแล้ว เพียงพอให้เผ่นโผนโจนทะยานได้แล้ว

“เจ้าหนุ่มจากเผ่าทุ่งน้ำแข็งนี่ช่างแข็งแกร่งนัก”

“วิถีระลอกคลื่นและวิถีเข่นฆ่าหรือ บำเพ็ญทั้งสองสายควบคู่กันหรือ ส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างนั้นหรือ เซี่ยอูหัวยุ่งยากแล้ว!”

“ผลจะเป็นเช่นไรก็ยังยากจะพูดได้”

เซี่ยอูหัวใช้เพียงกระบี่เดียวเท่านั้น

ทุกสิ่งของเขาล้วนอยู่บนกระบี่ ภักดีต่อกระบี่

ห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งอยู่ชั่วขณะ

ชางชิงเหลยนั้นเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในทั้งสามคนอย่างเห็นได้ชัด แต่เนื่องจากร่างกายแข็งแกร่งพอตัว  บวกกับที่อ๋องส้าหลงอยากจะอาศัยเขามากระทบเซี่ยอูหัว! ดังนั้นถึงช่วงท้าย จึงถูกเซี่ยอูหัวกวัดแกว่งกระบี่จนลอยออกไปนอกขอบเขตของเวทีการต่อสู้

การห้ำหั่นของอ๋องส้าหลงและเซี่ยอูหัวก็ดุเดือดกว่ามากทีเดียว

“ฟิ้วๆๆ”

ประกายกระบี่อันสะดุดตาราวกับนทีจากฟากฟ้าแทรกเข้าไปในร่างของอ๋องส้าหลงเป็นจำนวนมาก

ผิวกายของเซี่ยอูหัวก็มีบาดแผลอันน่าประหลาดสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นมา

“ฟิ้ว”

ในที่สุด จักรพรรดิเซี่ยลงมือเคลื่อนย้ายอ๋องส้าหลงออกไปจากเวทีการต่อสู้ เพราะถึงอย่างไรร่างกายของอ๋องส้าหลงก็เเสียหายมากเกินไป พลังชีวิตก็เหลือเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เซี่ยอูหัวยังมีอยู่มากถึงห้าส่วนด้วยกัน!

“แพ้อีกแล้ว” อ๋องส้าหลงกลับมาประจำที่นั่งแล้วบ่นเบาๆ

ตอนนั้นเขาถูกสกุลฝานเลือก ในใจมีความหยิ่งผยองเป็นอันมาก

เพราะถึงอย่างไรขั้นอลวนผู้องอาจจากรัฐต่างๆ ภายนอกที่ถูกสกุลฝานคัดเลือกมานั้น อ๋องส้าหลงก็มีความรู้สึกชนิดหนึ่งว่า…สกุลฝานก็ต้องขอให้เขาช่วย เขาจึงมีความรู้สึกว่าเขายอดเยี่ยมกว่าคนสำคัญของสกุลฝานเสียอีก แต่นี่คือการต่อสู้ระหว่างสามตระกูล รอบที่หนึ่งเขาก็ยังห่างจากสามอันดับแรกไปไกลลิบ  รอบที่สองเขาก็แพ้อีก

“สกุลเซี่ยชนะกลุ่มแรกไปแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน กลุ่มที่สองเริ่มต้นแล้ว ซานหยวน ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ” จ้าวขุยเฉินมองไปทางฝานซานหยวน

ฝานซานหยวนพยักหน้าน้อยๆ แล้วยืดกายขึ้น

……

การแบ่งกลุ่มห้ำหั่นกันนี้

กลุ่มที่สองได้แก่ฝานซานหยวน เซี่ยเฉิงหย่วนและชางอี่หย่ง

“อะไรกัน”

ท่าทีของการต่อสู้ทำเอาแขกเหรื่อมากมายตะลึงลานไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจเป็นอันมาก

แม้เขาจะรู้ว่าการที่ปณิธานของวิญญาณแข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายความว่าพลังจะแข็งแกร่งไปด้วย! ‘ชางอี่หย่ง’ แห่งสกุลชางนั้น เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดก่อนแม่ทัพเซวียนจะเผยคมออกมา พลังรบในครั้งนี้ก็ร้ายกาจมาก แต่เมื่อเผชิญกับ ‘เคล็ดวิเศษไร้ภาพ’ ของฝานซานหยวนก็ออกจะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่า ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ แห่งสกุลเซี่ยซึ่งไม่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจำนวนนี้ แค่คนวัยหนุ่มที่หัวเราะคิกคักคนหนึ่งกลับสำแดงพลังอันน่าหวาดหวั่นเป็นอันมากออกมาได้

เขาเริ่มร้องเพลง

“ฮืม ฮู ฮาาา…”

อักขระแต่ละตัวถูกพ่นออกมาจากปาก ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกลับแผ่คลุมไปพันธนาการชางอี่หย่งและฝานซานหยวนเอาไว้

ท้ายที่สุด ชางอี่หย่งและฝานซานหยวนก็ถูกพันธนาการต่างๆ นานา มิอาจต้านทานได้ จนถูกส่งออกจากเวทีการต่อสู้ไป

“เพลงมหาวิถีที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นรึ สามารถฝึกสำเร็จได้ด้วยหรือนี่”

“เขาฝึกเพลงมหาวิถีสำเร็จแล้วหรือ”

น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว

เซี่ยอูหัวและเซี่ยฝ่าหยางได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานของสกุลเซี่ยในยุคนี้ แต่คนถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างเซี่ยเฉิงหย่วน แม้จะนับได้ว่าเป็นศิษย์คนสำคัญ แต่เมื่อเทียบกับทั้งสองคนนั้นแล้วก็ออกจะด้อยกว่าอยู่บ้าง

แต่เพลงมหาวิถีก็เป็นเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นซึ่งฝึกฝนได้ยากยิ่งนักเช่นเดียวกับเคล็ดผนึกห้าภาพ แต่เมื่อฝึกสำเร็จแล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก! เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเฉิงหย่วนถ่อมตนเป็นอย่างมาก ในสงครามสามตระกูลกลับเผยพลังที่แท้จริงออกมา

“ห้ายอดฝีมือของสกุลเซี่ย หากพูดถึงพลังแล้ว เกรงว่าเซี่ยเฉิงหย่วนผู้นี้คงจะใกล้เคียงกับเซี่ยฝ่าหยางแล้ว” แต่ละคนพากันชมเชย

เคล็ดวิชาหนึ่ง กวาดล้างคนระดับเดียวกัน

อย่างเคล็ดผนึกห้าภาพเมื่อสำแดงออกไปกดดันซึ่งหน้า ศิษย์คนสำคัญของสกุลฝานก็ยังต้องหวาดหวั่นใจ  จะมีก็แต่ฝานอีเชียนเท่านั้นที่มีความมั่นใจพอจะไปต่อสู้ได้

เพลงมหาวิถีก็เป็นเช่นนี้ เมื่อออกไปกระบวนท่าหนึ่ง หากต้านทานได้ก็ดีไป ต้านทานไม่ได้ก็เท่ากับพ่ายแพ้!

“เพลงมหาวิถีในตำนานหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ “หากข้าฝึกฝนสำเร็จแค่เคล็ดผนึกห้าภาพ เกรงว่าในสงครามสามตระกูลก็คงจะไม่มีโอกาสเลยจริงๆ”

ลำพังแค่เคล็ดผนึกห้าภาพ หากละโมบโลภมาก สกุลฝาน ก็อาจจะเปลี่ยนตัวได้ทันที

แต่กระบวนท่าเขตลวงโลกเทียมระดับชั้นที่สิบผนวกกับเคล็ดผนึกห้าภาพ! ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถเอาชนะทุกคนในที่นั้นได้แล้ว! เพราะต่อให้เป็น ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ ผู้นี้ ในรอบที่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้จัดอยู่ในสามอันดับแรก หากจะต้านทานการสำแดง ‘กระดิ่งจิตมาร’ ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ต่อให้ต้านทานเอาไว้ได้ก็เกรงว่าจะครองสติไว้ได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิง ซึ่งปะทุพลังรบออกมาก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

“รบกวนแล้วๆ”

“สกุลเซี่ยชนะอีกแล้ว”

“เซี่ยอูหัวและเซี่ยเฉิงหย่วน รอบที่สองก็มีทั้งหมดแค่ห้ากลุ่มเท่านั้น สองกลุ่มแรกนี้ สกุลเซี่ยเอาชนะได้สองกลุ่มรวดเลยหรือ รอบแรกสกุลเซี่ยก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ…หรือว่าสกุลฝานเราจะพ่ายแพ้ในศึกสามตระกูลครั้งนี้อีก”

บรรดาบุคคลระดับสูงของสกุลฝานต่างก็ตกตะลึงอยู่บ้าง

อันที่จริงผู้ที่เยี่ยมยอดในสกุลเซี่ยก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ! ผู้ที่เก่งกล้าไร้เทียมทานสองคนก็แล้วไปเถิด ยังมีเซี่ยเฉิงหย่วนซึ่งที่ผ่านมาถ่อมตนมาโดยตลอดโผล่ออกมาอีกต่างหาก!

“กลุ่มที่สาม” มหาเคารพเฟิงเฉินกลับยิ้มน้อยๆ อารมณ์ดียิ่งนัก “เซี่ยฝ่าหยาง อิงซานเสวี่ยอิงและชางอิ่ง”

“เซี่ยฝ่าหยาง!”

“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลเซี่ยในรุ่นนี้กระมัง รอบที่แล้วปณิธานวิญญาณก็เป็นที่หนึ่ง ว่ากันว่าทางสายภาพจิตก็บรรลุขีดสุดขั้นอลวนแล้ว ทั้งยังเชียวชาญทางสายค่ายกลอีกด้วย เกรงว่าสกุลเซี่ยคงจะชนะอีกยกแล้ว ได้เปรียบมากขึ้นทุกทีๆ นอกจากนี้ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานของสกุลเซี่ยมีตั้งหลายคน รอบที่สามก็ต้องได้เปรียบอย่างยิ่งเป็นแน่”

“สงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้ อีกสองตระกูลที่เหลือคงไม่มีโอกาสพลิกกระดานเสียแล้ว”

“ถูกต้อง ได้เปรียบเกินไปแล้ว”

ขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิง เซี่ยฝ่าหยางและชางอิ่ง ทั้งสามคนต่างผุดลุกขึ้น

 ………………………