ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 85 รังแกผู้คน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 85 รังแกผู้คน Ink Stone_Fantasy

 

“ฝ่าหยาง ชนะยกหน้าให้ได้อีกล่ะ!”

“พี่ฝ่าหยาง ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”

ทางฝ่ายสกุลเซี่ย แต่ละคนล้วนมีความมั่นใจพลุ่งพล่าน แม้เซี่ยเฉิงหย่วนที่ฝึกเพลงมหาวิถีสำเร็จจะยอดเยี่ยมมาก แต่ก็แค่กล่าวได้ว่าใกล้เคียงกับเซี่ยฝ่าหยางเท่านั้น เซี่ยฝ่าหยางฝึกฝนและเชี่ยวชาญเส้นทางสองสายควบคู่กัน เดิมทีทางสายค่ายกลก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือ ‘ทางสายภาพจิต’ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ หากต้านทานทางด้านปณิธานวิญญาณ เอาไว้ไม่ได้ก็อาจถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย

โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถต้านทานได้ พลังรบก็จะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก!

“วางใจเถิด”

หลังจากเซี่ยฝ่าหยางยืดกายขึ้นแล้ว ก็เดินออกจากที่นั่งของตนยิ้มๆ แล้วมุ่งหน้าขึ้นไปยังเวทีการต่อสู้ทรงกลมกลางโถงตำหนัก

‘ชางอิ่ง’ แห่งสกุลชางเป็นชายชราผู้เยียบเย็นคนหนึ่ง เขาถ่อมตนเป็นอันมาก “โชคชะตาของข้าก็ย่ำแย่เกินไปแล้ว จึงต้องมาเผชิญกับผู้ที่มีปณิธานวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดถึงสองคน!”

ผู้ที่มีปณิธานวิญญาณค่อนข้างอ่อนแอ ก็ไม่ได้แปลว่าพลังจะอ่อนแอเสมอไป

แต่ผู้ที่ปณิธานวิญญาณสามารถจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งหรือสองได้ พลังก็ต้องน่าหวาดหวั่นอย่างแน่นอน! หากมิใช่กระบวนท่าที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นบางอย่างซึ่งทำให้ทางด้านวิญญาณก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน

“เซี่ยฝ่าหยางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทางสกุลเซี่ย เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่า…อิงซานเสวี่ยอิงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทางสกุลฝาน เฮ้อ ข้าต้องมาพบกับพวกเขาทั้งสองคน ไยจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ได้หนอ” ชางอิ่งรู้สึกจนใจ

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายขึ้นอย่างสงบ

“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน กลุ่มนี้เจ้าต้องเอาชนะให้ได้ พวกเราจะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว” จ้าวขุยเฉินถ่ายเสียงพูด

“พี่หิมะเหิน ข้าแพ้แล้ว ขึ้นอยู่กับท่านแล้วนะ” ฝานซานหยวนก็ถ่ายเสียงพูด

แต่ละคนมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องและสารที่ส่งมาให้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้ทรงกลมอย่างสงบ  บนเวทีการต่อสู้มีชางอิ่ง เซี่ยฝ่าหยางและตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ ทั้งสามคนล้วนเตรียมพร้อม

บรรดาแขกเหรื่อรอบด้านก็พากันมองดู พวกเขาต่างก็เงียบเสียงลง มีเพียงการถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น

มหาเคารพเฟิงเฉินผู้ดำเนินสงครามสามตระกูลใหญ่ประกาศเสียงดังกังวานว่า “เริ่มได้”

พูดยังไม่ทันขาดคำ

“วิ้ง”

ค่ายกลที่พลิกหมุนราวกับดอกบัวสีเขียวแผ่คลุมลงมาครองพื้นที่แทบทั้งเวทีการต่อสู้ทันที!

ค่ายกลปกคลุมลงมาในพริบตาเดียว มิอาจหลบหลีกได้ กระบวนท่าออกมาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น! กระบวนท่าที่ออกมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ที่คล้ายคลึงกันยังมีเช่นโลกเขตลวงด้วย ที่สามารถปกคลุมลงมาได้ภายในชั่วอึดใจเดียว! อย่างเคล็ดคำสาปต่างๆ…ก็ล้วนแต่ต่างก็ออกกระบวนท่ารวดเร็วอย่างยิ่งภายในชั่วอึดใจเดียว

แม้ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงจะมิอาจหลบหลีกได้เช่นกัน แต่ดีร้ายอย่างไรก็ต้องสำแดงห้าภาพออกมาก่อน แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

“ทำลายเดี๋ยวนี้”

ชางอิ่งซึ่งอยู่กลางดอกบัวสีเขียวโบราณร้องคำราม ด้านหลังของร่างกายมีภาพงูสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นรางๆ

แต่ในเวลานี้เอง

ฟิ้ว

ปณิธานวิญญาณของเขาราวกับถูก ‘โลก’ อันกว้างขวางปกคลุมในชั่วพริบตา นั่นก็คือโลกดวงจิตอันกว้างใหญ่ไพศาล

“ติ๊งๆๆ ต่อง…” ขณะเดียวกับที่ปณิธานวิญญาณถูกปกคลุม ชางอิ่งก็ยังได้ยินเสียงกระดิ่งแว่วๆ ทำให้เขายิ่งลุ่มหลงไปในพริบตาอย่างไร้เรี่ยวแรงตอบโต้

ชางอิ่งผู้น่าสงสาร

ต้องเผชิญกับกระบวนท่าด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยางพร้อมกัน เพียงแค่คนเดียวก็พอจะทำให้เขาจมดิ่งไปได้แล้ว ซ้ำร้ายทั้งสองคนยังลงมือพร้อมกันอีก กระบวนท่าวิญญาณนี้ล้วนสามารถสำแดงออกมาได้ในพริบตาเดียว…เมื่อเผชิญกับกระบวนท่าเช่นนี้ก็มีผลออกมาได้เพียงสองอย่างเท่านั้น คือต้านทานได้และต้านทานมิได้!

“ฟิ้ว” ดอกบัวสีเขียวโบราณหมุนคว้างอีกครั้ง และผลักไสชางอิ่งออกไปนอกขอบเขตเวทีการต่อสู้ทรงกลม เซี่ยฝ่าหยางแค่ใช้หางตาเหลือบมองชางอิ่งผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เคยใส่ใจมาก่อน

เขามองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้า

ยามนี้ใต้ฝ่าเท้าของเซี่ยฝ่าหยางมีสมบัติลับดอกบัวสีเขียวขนาดราวหนึ่งจ้างอยู่ดอกหนึ่ง บริเวณหว่างคิ้วยังมีลูกแก้วสีแดงอยู่ลูกหนึ่ง สมบัติลับทั้งสองนั้น อย่างหนึ่งคือสมบัติลับค่ายกล  อย่างหนึ่งคือสมบัติลับภาพจิต เซี่ยฝ่าหยางสำแดงออกมาอย่างสุดกำลัง

“ติ๊งๆๆ ต่อง…” กระดิ่งสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหว่างเอวของตงป๋อเสวี่ยอิง กระดิ่งเปล่งเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา เสียงสะกดและโลกเขตลวงก็พยายามฉุดดึงสติรับรู้ของศัตรู

เพียงแต่พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือทางด้านวิญญาณซึ่งบรรลุขีดสุดของขั้นอลวน

ต่อให้เผชิญหน้ากับกระบวนท่าชั้นที่สิบเอ็ด พวกเขาก็สามารถพอจะครองสติเอาไว้ได้! ส่วนแค่กระบวนท่าวิญญาณชั้นที่สิบ  สำหรับพวกเขาสองคนก็แค่ส่งผลกระทบต่อพลังจิตเพียงสองสามส่วนเท่านั้น ยังสามารถสำแดงพลังรบที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้อยู่ดี

“ทางสายค่ายกลหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น บนข้อมือขวาของเขามีลูกแก้วห้าภาพเปล่งแสงรำไรออกมา มือขวาของเขากดลงเล็กน้อย มิติอันไร้รูปร่างก็กดดันรอบด้าน ค่ายกลดอกบัวสีเขียวนั้นก็มิอาจรุกคืบเข้ามาได้อีกแม้แต่น้อย

“ผลสำเร็จด้านค่ายกลของเจ้ายังคงไม่พออยู่ดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าน้อยๆ

เมื่อยื่นมือออกไป

รัศมีอันเรืองรองห้าสายก็รายล้อมปลายนิ้วเอาไว้ มือขวาขยายออก กลายเป็นมือใหญ่หลายร้อยจ้างตะปบออกไปทันที ทุกบริเวณที่ผ่านไป ค่ายกลดอกบัวทั้งหมดก็ถูกเชือดเฉือนจนแหลกละเอียด! ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ นั้นสร้างมิติเอกเทศของตนขึ้นมาเอง ต่อให้เป็นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็หนีไม่พ้น ค่ายกลบางส่วนของดอกบัวสีเขียวนี้อยู่ภายใน ‘มิติผนึกห้าภาพ’ บางส่วนอยู่นอก ‘มิติผนึกห้าภาพ’ ภายนอกและภายในมิอาจเชื่อมต่อกันได้ ค่ายกลจึงย่อมพังทลายลงเป็นธรรมดา

หากค่ายกลแข็งแกร่งพอ มิติผนึกห้าภาพก็ย่อมทำลายมิได้

เห็นได้ชัดว่าแม้เซี่ยฝ่าหยางจะนับว่าเก่งกาจทางด้านค่ายกล แต่ก็ยังห่างชั้นกับอานุภาพของ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อยู่ไกลโข

“ไม่ดีแล้ว” สีหน้าของเซี่ยฝ่าหยางเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่

“ฟิ้ว”

แม้จะร้อนใจและสิ้นหวัง เซี่ยฝ่าหยางก็อับจนหนทางอยู่ดี เขาพยายามสำแดงค่ายกลอย่างสุดชีวิต แต่ฝ่ามือมหึมาก็ตะปบเข้ามาและกดดันทุกสิ่ง แล้วตรงเข้ามาคว้าเขาเอาไว้ได้

“ออกไป”

โบกมือคราหนึ่ง

มือใหญ่ก็ปกคลุมเซี่ยฝ่าหยางเอาไว้ จากนั้นก็โยนเขาออกไปนอกขอบเขตเวทีการต่อสู้

ขณะที่มือใหญ่สลายไปนั้น เซี่ยฝ่าหยางก็อยู่นอกเวทีการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว

“แพ้แล้ว” เซี่ยฝ่าหยางยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับออกมาแล้ว

เขาสามารถสำแดงกระบวนท่าวิญญาณไปถึงระดับชั้นที่สิบได้ ก็ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว ทางสายค่ายกลก็ประสบผลสำเร็จอย่างล้ำลึก ในบรรดาขั้นอลวนสกุลเซี่ย เขาก็เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นในประวัติศาสตร์สกุลเซี่ย เขาก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง บุคคลระดับสูงของสกุลเซี่ยเห็นดีเห็นงามในตัวเขาเป็นอย่างมาก!

แต่ก็ยังคงแพ้อยู่ดี

“อะไรกัน อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ชนะแล้วหรือ”

“นั่นคือสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมหรือ”

แขกเหรื่อทั้งหลายในที่นั้นต่างก็อ้าปากค้าง เจ้าหนุ่มจากรัฐเมฆทักษิณาคนหนึ่ง เดิมทีสำหรับผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว ก็ดูแคลนคนจากภายนอก ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานที่สุดของสกุลเซี่ยในยุคนี้กลับพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของเจ้าหนุ่มจากรัฐเมฆทักษิณาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ

“ข้ายังคิดว่าภายใต้การโจมตีของภาพจิต พลังจิตของเขาก็ได้รับผลกระทบมหาศาล มิอาจสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าเขาก็เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจทางด้านเขตลวงโลกเทียมเช่นกัน ทรัพยากรทางด้านวิญญาณก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ภายใต้การรบกวนต่างๆ ก็ยังคงสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาอยู่ดี”

เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นเป็นการผสมผสานของกระบวนท่าระดับชั้นที่สิบห้าชนิดและสำแดงออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่าเป็นภาระใหญ่หลวงต่อพลังจิต

ทว่าวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งพอ! จึงสามารถทนรับได้

นอกจากนี้ หลังจากคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ขึ้นมาเองแล้ว การสั่งสมทางสายอากาศของเขาก็แน่นหนาจนเกิดความรู้สึกว่ารับรู้ออีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุเป็นเทพจักรวาลได้แล้ว เขาถึงขั้นไม่กล้าฝึกฝนอีกต่อไปชั่วคราว! เมื่อสั่งสมมาอย่างหนาแน่นเช่นนี้ ทำให้เขาสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาโดยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย พลังจิตที่ต้องการก็น้อยลงเป็นอย่างมาก

……

“ข้าแพ้อย่างไม่น่าอนาถ” เซี่ยฝ่าหยางกลับคืนสู่ความสงบ การประลองในกลุ่มนี้ เขาไม่ได้เห็นชางอิ่งอยู่ในสายตาเลย ตั้งแต่แรกเขาก็ให้ความสำคัญกับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้มากที่สุด

เนื่องจากเขารู้จักกระบวนท่า ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อันโด่งดังของอิงซานเสวี่ยอิง

ดังนั้นเขาจึงคิดจะอาศัย ‘ทางสายภาพจิต’ เพื่อส่งผลกระทบต่อพลังจิตของอีกฝ่าย! เพื่อให้อีกฝ่ายสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมามิได้

“เป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานที่ร้ายกาจทางสายวิญญาณจริงๆ” เซี่ยฝ่าหยางลอบส่ายหน้า “ข้าสู้เขามิได้”

เขาเดินตรงไปยังที่นั่งของตนทันที

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินลงจากเวทีการต่อสู้เช่นเดียวกัน

“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน ทำได้ดี” จ้าวขุยเฉินดีใจใหญ่

“เป็นคนของรัฐเมฆทักษิณาที่เก่งกาจนัก” บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นก็ลอบจดจำไว้

ระดับชั้นที่สิบวิญญาณกระบวนท่า ในบรรดาขั้นอลวนก็แทบจะไร้ศัตรูอยู่แล้ว

แถมยังมี ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อีก ก็ไร้ศัตรูแล้วจริงๆ!

ในที่นั้นนอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ร้ายกาจเช่นนี้

“ร้ายกาจ” อ๋องส้าหลงเห็นแล้วก็ตกตะลึง

“พี่หิมะเหิน ช่างเก่งกาจจริงๆ ทำเอาเซี่ยฝ่าหยางหมดอารมณ์ไปเลยทีเดียว” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพุดยิ้มๆ

“ข้ายอมแพ้ทั้งกายและใจ” ฝานอีเชียนร่างผอมซูบถึงกับเอ่ยปากออกมา

“ไม่มีอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ แล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิลงบนที่นั่งของตน

ไม่มีอะไรเลยจริงๆ

บัดนี้สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ หากสำแดงเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ออกมา ต่อให้เขายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้เซี่ยฝ่าหยางสำแดงกระบวนท่าออกมาก็มิอาจทำร้ายเขาได้แม้แต่ปลายขน! และถึงขั้นมิอาจกระทบถูกเขาได้เสียด้วยซ้ำ วิธีการที่มิอาจทำลายกรงสกุลฝานของโลกกำเนิดได้ ก็มิอาจทำร้ายเขาได้ เขาสามารถจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย

หากกล่าวว่ากระบวนท่าสองชนิดของเขา ในบรรดาขั้นอลวนยุคปัจจุบันนี้ก็ถือว่าไร้ศัตรูแล้ว

แต่หลังจากรับรู้ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ อีก แล้วลงมือกับพวกเซี่ยฝ่าหยาง ก็ช่างรู้สึกเหมือนกลั่นแกล้งชนรุ่นหลังอย่างไรอย่างนั้น ความแตกต่างของพลังก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก

‘สงครามสามตระกูลใหญ่’ นี้เป็นการแบ่งกลุ่มย่อยประลองกัน

หากคนเดียวสามารถประจันหน้ากับทั้งกลุ่มใหญ่ได้…ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถกวาดล้างพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย! แต่ทว่าก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปตามกฎของสงครามสามตระกูลใหญ่ ขอเพียงทำภารกิจสำเร็จ หนึ่งหมื่นมหาคุณูปการก็จะอยู่ในมือแล้ว!

 ………………………..