ตอนที่ 85 รังแกผู้คน Ink Stone_Fantasy
“ฝ่าหยาง ชนะยกหน้าให้ได้อีกล่ะ!”
“พี่ฝ่าหยาง ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
ทางฝ่ายสกุลเซี่ย แต่ละคนล้วนมีความมั่นใจพลุ่งพล่าน แม้เซี่ยเฉิงหย่วนที่ฝึกเพลงมหาวิถีสำเร็จจะยอดเยี่ยมมาก แต่ก็แค่กล่าวได้ว่าใกล้เคียงกับเซี่ยฝ่าหยางเท่านั้น เซี่ยฝ่าหยางฝึกฝนและเชี่ยวชาญเส้นทางสองสายควบคู่กัน เดิมทีทางสายค่ายกลก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือ ‘ทางสายภาพจิต’ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ หากต้านทานทางด้านปณิธานวิญญาณ เอาไว้ไม่ได้ก็อาจถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถต้านทานได้ พลังรบก็จะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก!
“วางใจเถิด”
หลังจากเซี่ยฝ่าหยางยืดกายขึ้นแล้ว ก็เดินออกจากที่นั่งของตนยิ้มๆ แล้วมุ่งหน้าขึ้นไปยังเวทีการต่อสู้ทรงกลมกลางโถงตำหนัก
‘ชางอิ่ง’ แห่งสกุลชางเป็นชายชราผู้เยียบเย็นคนหนึ่ง เขาถ่อมตนเป็นอันมาก “โชคชะตาของข้าก็ย่ำแย่เกินไปแล้ว จึงต้องมาเผชิญกับผู้ที่มีปณิธานวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดถึงสองคน!”
ผู้ที่มีปณิธานวิญญาณค่อนข้างอ่อนแอ ก็ไม่ได้แปลว่าพลังจะอ่อนแอเสมอไป
แต่ผู้ที่ปณิธานวิญญาณสามารถจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งหรือสองได้ พลังก็ต้องน่าหวาดหวั่นอย่างแน่นอน! หากมิใช่กระบวนท่าที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นบางอย่างซึ่งทำให้ทางด้านวิญญาณก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน
“เซี่ยฝ่าหยางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทางสกุลเซี่ย เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่า…อิงซานเสวี่ยอิงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทางสกุลฝาน เฮ้อ ข้าต้องมาพบกับพวกเขาทั้งสองคน ไยจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ได้หนอ” ชางอิ่งรู้สึกจนใจ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายขึ้นอย่างสงบ
“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน กลุ่มนี้เจ้าต้องเอาชนะให้ได้ พวกเราจะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว” จ้าวขุยเฉินถ่ายเสียงพูด
“พี่หิมะเหิน ข้าแพ้แล้ว ขึ้นอยู่กับท่านแล้วนะ” ฝานซานหยวนก็ถ่ายเสียงพูด
แต่ละคนมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องและสารที่ส่งมาให้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้ทรงกลมอย่างสงบ บนเวทีการต่อสู้มีชางอิ่ง เซี่ยฝ่าหยางและตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ ทั้งสามคนล้วนเตรียมพร้อม
บรรดาแขกเหรื่อรอบด้านก็พากันมองดู พวกเขาต่างก็เงียบเสียงลง มีเพียงการถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น
มหาเคารพเฟิงเฉินผู้ดำเนินสงครามสามตระกูลใหญ่ประกาศเสียงดังกังวานว่า “เริ่มได้”
พูดยังไม่ทันขาดคำ
“วิ้ง”
ค่ายกลที่พลิกหมุนราวกับดอกบัวสีเขียวแผ่คลุมลงมาครองพื้นที่แทบทั้งเวทีการต่อสู้ทันที!
ค่ายกลปกคลุมลงมาในพริบตาเดียว มิอาจหลบหลีกได้ กระบวนท่าออกมาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น! กระบวนท่าที่ออกมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ที่คล้ายคลึงกันยังมีเช่นโลกเขตลวงด้วย ที่สามารถปกคลุมลงมาได้ภายในชั่วอึดใจเดียว! อย่างเคล็ดคำสาปต่างๆ…ก็ล้วนแต่ต่างก็ออกกระบวนท่ารวดเร็วอย่างยิ่งภายในชั่วอึดใจเดียว
แม้ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงจะมิอาจหลบหลีกได้เช่นกัน แต่ดีร้ายอย่างไรก็ต้องสำแดงห้าภาพออกมาก่อน แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ทำลายเดี๋ยวนี้”
ชางอิ่งซึ่งอยู่กลางดอกบัวสีเขียวโบราณร้องคำราม ด้านหลังของร่างกายมีภาพงูสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นรางๆ
แต่ในเวลานี้เอง
ฟิ้ว
ปณิธานวิญญาณของเขาราวกับถูก ‘โลก’ อันกว้างขวางปกคลุมในชั่วพริบตา นั่นก็คือโลกดวงจิตอันกว้างใหญ่ไพศาล
“ติ๊งๆๆ ต่อง…” ขณะเดียวกับที่ปณิธานวิญญาณถูกปกคลุม ชางอิ่งก็ยังได้ยินเสียงกระดิ่งแว่วๆ ทำให้เขายิ่งลุ่มหลงไปในพริบตาอย่างไร้เรี่ยวแรงตอบโต้
ชางอิ่งผู้น่าสงสาร
ต้องเผชิญกับกระบวนท่าด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยางพร้อมกัน เพียงแค่คนเดียวก็พอจะทำให้เขาจมดิ่งไปได้แล้ว ซ้ำร้ายทั้งสองคนยังลงมือพร้อมกันอีก กระบวนท่าวิญญาณนี้ล้วนสามารถสำแดงออกมาได้ในพริบตาเดียว…เมื่อเผชิญกับกระบวนท่าเช่นนี้ก็มีผลออกมาได้เพียงสองอย่างเท่านั้น คือต้านทานได้และต้านทานมิได้!
“ฟิ้ว” ดอกบัวสีเขียวโบราณหมุนคว้างอีกครั้ง และผลักไสชางอิ่งออกไปนอกขอบเขตเวทีการต่อสู้ทรงกลม เซี่ยฝ่าหยางแค่ใช้หางตาเหลือบมองชางอิ่งผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เคยใส่ใจมาก่อน
เขามองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้า
ยามนี้ใต้ฝ่าเท้าของเซี่ยฝ่าหยางมีสมบัติลับดอกบัวสีเขียวขนาดราวหนึ่งจ้างอยู่ดอกหนึ่ง บริเวณหว่างคิ้วยังมีลูกแก้วสีแดงอยู่ลูกหนึ่ง สมบัติลับทั้งสองนั้น อย่างหนึ่งคือสมบัติลับค่ายกล อย่างหนึ่งคือสมบัติลับภาพจิต เซี่ยฝ่าหยางสำแดงออกมาอย่างสุดกำลัง
“ติ๊งๆๆ ต่อง…” กระดิ่งสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหว่างเอวของตงป๋อเสวี่ยอิง กระดิ่งเปล่งเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา เสียงสะกดและโลกเขตลวงก็พยายามฉุดดึงสติรับรู้ของศัตรู
เพียงแต่พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือทางด้านวิญญาณซึ่งบรรลุขีดสุดของขั้นอลวน
ต่อให้เผชิญหน้ากับกระบวนท่าชั้นที่สิบเอ็ด พวกเขาก็สามารถพอจะครองสติเอาไว้ได้! ส่วนแค่กระบวนท่าวิญญาณชั้นที่สิบ สำหรับพวกเขาสองคนก็แค่ส่งผลกระทบต่อพลังจิตเพียงสองสามส่วนเท่านั้น ยังสามารถสำแดงพลังรบที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้อยู่ดี
“ทางสายค่ายกลหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น บนข้อมือขวาของเขามีลูกแก้วห้าภาพเปล่งแสงรำไรออกมา มือขวาของเขากดลงเล็กน้อย มิติอันไร้รูปร่างก็กดดันรอบด้าน ค่ายกลดอกบัวสีเขียวนั้นก็มิอาจรุกคืบเข้ามาได้อีกแม้แต่น้อย
“ผลสำเร็จด้านค่ายกลของเจ้ายังคงไม่พออยู่ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าน้อยๆ
เมื่อยื่นมือออกไป
รัศมีอันเรืองรองห้าสายก็รายล้อมปลายนิ้วเอาไว้ มือขวาขยายออก กลายเป็นมือใหญ่หลายร้อยจ้างตะปบออกไปทันที ทุกบริเวณที่ผ่านไป ค่ายกลดอกบัวทั้งหมดก็ถูกเชือดเฉือนจนแหลกละเอียด! ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ นั้นสร้างมิติเอกเทศของตนขึ้นมาเอง ต่อให้เป็นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็หนีไม่พ้น ค่ายกลบางส่วนของดอกบัวสีเขียวนี้อยู่ภายใน ‘มิติผนึกห้าภาพ’ บางส่วนอยู่นอก ‘มิติผนึกห้าภาพ’ ภายนอกและภายในมิอาจเชื่อมต่อกันได้ ค่ายกลจึงย่อมพังทลายลงเป็นธรรมดา
หากค่ายกลแข็งแกร่งพอ มิติผนึกห้าภาพก็ย่อมทำลายมิได้
เห็นได้ชัดว่าแม้เซี่ยฝ่าหยางจะนับว่าเก่งกาจทางด้านค่ายกล แต่ก็ยังห่างชั้นกับอานุภาพของ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อยู่ไกลโข
“ไม่ดีแล้ว” สีหน้าของเซี่ยฝ่าหยางเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่
“ฟิ้ว”
แม้จะร้อนใจและสิ้นหวัง เซี่ยฝ่าหยางก็อับจนหนทางอยู่ดี เขาพยายามสำแดงค่ายกลอย่างสุดชีวิต แต่ฝ่ามือมหึมาก็ตะปบเข้ามาและกดดันทุกสิ่ง แล้วตรงเข้ามาคว้าเขาเอาไว้ได้
“ออกไป”
โบกมือคราหนึ่ง
มือใหญ่ก็ปกคลุมเซี่ยฝ่าหยางเอาไว้ จากนั้นก็โยนเขาออกไปนอกขอบเขตเวทีการต่อสู้
ขณะที่มือใหญ่สลายไปนั้น เซี่ยฝ่าหยางก็อยู่นอกเวทีการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว
“แพ้แล้ว” เซี่ยฝ่าหยางยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับออกมาแล้ว
เขาสามารถสำแดงกระบวนท่าวิญญาณไปถึงระดับชั้นที่สิบได้ ก็ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว ทางสายค่ายกลก็ประสบผลสำเร็จอย่างล้ำลึก ในบรรดาขั้นอลวนสกุลเซี่ย เขาก็เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นในประวัติศาสตร์สกุลเซี่ย เขาก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง บุคคลระดับสูงของสกุลเซี่ยเห็นดีเห็นงามในตัวเขาเป็นอย่างมาก!
แต่ก็ยังคงแพ้อยู่ดี
“อะไรกัน อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ชนะแล้วหรือ”
“นั่นคือสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมหรือ”
แขกเหรื่อทั้งหลายในที่นั้นต่างก็อ้าปากค้าง เจ้าหนุ่มจากรัฐเมฆทักษิณาคนหนึ่ง เดิมทีสำหรับผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว ก็ดูแคลนคนจากภายนอก ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานที่สุดของสกุลเซี่ยในยุคนี้กลับพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของเจ้าหนุ่มจากรัฐเมฆทักษิณาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“ข้ายังคิดว่าภายใต้การโจมตีของภาพจิต พลังจิตของเขาก็ได้รับผลกระทบมหาศาล มิอาจสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าเขาก็เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจทางด้านเขตลวงโลกเทียมเช่นกัน ทรัพยากรทางด้านวิญญาณก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ภายใต้การรบกวนต่างๆ ก็ยังคงสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาอยู่ดี”
เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นเป็นการผสมผสานของกระบวนท่าระดับชั้นที่สิบห้าชนิดและสำแดงออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่าเป็นภาระใหญ่หลวงต่อพลังจิต
ทว่าวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งพอ! จึงสามารถทนรับได้
นอกจากนี้ หลังจากคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ขึ้นมาเองแล้ว การสั่งสมทางสายอากาศของเขาก็แน่นหนาจนเกิดความรู้สึกว่ารับรู้ออีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุเป็นเทพจักรวาลได้แล้ว เขาถึงขั้นไม่กล้าฝึกฝนอีกต่อไปชั่วคราว! เมื่อสั่งสมมาอย่างหนาแน่นเช่นนี้ ทำให้เขาสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาโดยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย พลังจิตที่ต้องการก็น้อยลงเป็นอย่างมาก
……
“ข้าแพ้อย่างไม่น่าอนาถ” เซี่ยฝ่าหยางกลับคืนสู่ความสงบ การประลองในกลุ่มนี้ เขาไม่ได้เห็นชางอิ่งอยู่ในสายตาเลย ตั้งแต่แรกเขาก็ให้ความสำคัญกับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้มากที่สุด
เนื่องจากเขารู้จักกระบวนท่า ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อันโด่งดังของอิงซานเสวี่ยอิง
ดังนั้นเขาจึงคิดจะอาศัย ‘ทางสายภาพจิต’ เพื่อส่งผลกระทบต่อพลังจิตของอีกฝ่าย! เพื่อให้อีกฝ่ายสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมามิได้
“เป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานที่ร้ายกาจทางสายวิญญาณจริงๆ” เซี่ยฝ่าหยางลอบส่ายหน้า “ข้าสู้เขามิได้”
เขาเดินตรงไปยังที่นั่งของตนทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินลงจากเวทีการต่อสู้เช่นเดียวกัน
“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน ทำได้ดี” จ้าวขุยเฉินดีใจใหญ่
“เป็นคนของรัฐเมฆทักษิณาที่เก่งกาจนัก” บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นก็ลอบจดจำไว้
ระดับชั้นที่สิบวิญญาณกระบวนท่า ในบรรดาขั้นอลวนก็แทบจะไร้ศัตรูอยู่แล้ว
แถมยังมี ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อีก ก็ไร้ศัตรูแล้วจริงๆ!
ในที่นั้นนอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ร้ายกาจเช่นนี้
“ร้ายกาจ” อ๋องส้าหลงเห็นแล้วก็ตกตะลึง
“พี่หิมะเหิน ช่างเก่งกาจจริงๆ ทำเอาเซี่ยฝ่าหยางหมดอารมณ์ไปเลยทีเดียว” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพุดยิ้มๆ
“ข้ายอมแพ้ทั้งกายและใจ” ฝานอีเชียนร่างผอมซูบถึงกับเอ่ยปากออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ แล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิลงบนที่นั่งของตน
ไม่มีอะไรเลยจริงๆ
บัดนี้สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ หากสำแดงเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ออกมา ต่อให้เขายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้เซี่ยฝ่าหยางสำแดงกระบวนท่าออกมาก็มิอาจทำร้ายเขาได้แม้แต่ปลายขน! และถึงขั้นมิอาจกระทบถูกเขาได้เสียด้วยซ้ำ วิธีการที่มิอาจทำลายกรงสกุลฝานของโลกกำเนิดได้ ก็มิอาจทำร้ายเขาได้ เขาสามารถจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย
หากกล่าวว่ากระบวนท่าสองชนิดของเขา ในบรรดาขั้นอลวนยุคปัจจุบันนี้ก็ถือว่าไร้ศัตรูแล้ว
แต่หลังจากรับรู้ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ อีก แล้วลงมือกับพวกเซี่ยฝ่าหยาง ก็ช่างรู้สึกเหมือนกลั่นแกล้งชนรุ่นหลังอย่างไรอย่างนั้น ความแตกต่างของพลังก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก
‘สงครามสามตระกูลใหญ่’ นี้เป็นการแบ่งกลุ่มย่อยประลองกัน
หากคนเดียวสามารถประจันหน้ากับทั้งกลุ่มใหญ่ได้…ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถกวาดล้างพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย! แต่ทว่าก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปตามกฎของสงครามสามตระกูลใหญ่ ขอเพียงทำภารกิจสำเร็จ หนึ่งหมื่นมหาคุณูปการก็จะอยู่ในมือแล้ว!
………………………..