ภาคที่ 5 บทที่ 25.1 การขู่ขวัญ (ต้น)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 25.1 การขู่ขวัญ (ต้น)

นายท่านสิบสองนั้นมีเกียรติและชื่อเสียงที่ไม่ธรรมดาในตระกูลหรง

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจากตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรที่ผู้คนต่างก็เคารพนับถือ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่สายเลือดกลับสามารถทำให้เขาเหงื่อตกได้ แม้ว่าเขาจะมีข้อได้เปรียบอยู่แต่ก็ไม่สามารถโค่นล้มศัตรูได้ ทุกการเคลื่อนที่ของอวิ๋นเป้านั้นเป็นเหมือนฝ่ามือตบเข้าที่หน้าเขาเลยก็ว่าได้

หรงจือซิ่งโมโหมากยิ่งขึ้นไปอีก

เขาสามารถควบคุมพิษในแขนขวาได้แล้วและกำลังรีดมันออกมาอย่างใจเย็น พลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขากำลังเดือดพล่านขณะที่ใช้สายเลือดอสรพิษทมิฬอย่างสุดกำลัง

นายท่านสิบสองแห่งตระกูลหรงกำลังจะโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี !

ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันพูดขึ้น “การต่อสู้นี้ชักจะนานเกินไป ถึงเวลาหยุดได้แล้ว”

ในบริเวณนั้นพลันเงียบสงบลงทันที

นอกจากหรงจือซิ่งผู้ใช้พลังต้นกำเนิดภายในกายไปปริมาณมากเพื่อควบคุมรอบตัวแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้ได้สร้างบางอย่างขึ้น

หรงจือซิ่งสามารถสัมผัสได้ว่าแรงกดดันที่เขาสร้างขึ้นนั้นลดลงและมีอีกคลื่นพลังหนึ่งที่กำลังคืบคลานเข้าหาตน

ใครกัน ใครจะมีความแข็งแกร่งได้ทัดเทียมกับเขาอีก ?

หรงจือซิ่งตกตะลึง !

ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้น อวิ๋นเป้าก็พลันกระโจนเข้าหาหรงจือซิ่งในพริบตา

“รนหาที่ตาย !” หรงจือซิ่งกางเล็บ นิ้วมือของเขาฉีกแยกอากาศออกขณะที่เรืองแสงสีดำมืด

การที่ต้องรับมือกับกรงเล็บนั่น ทำให้อวิ๋นเป้ารู้สึกราวกับว่ากฎระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์นั้นย้อนกลับตาลปัตร

ขณะที่กรงเล็บนั้นกำลังจะสัมผัสกับอวิ๋นเป้า มือหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นทันควัน

มันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป ผู้ที่ป้องกันการโจมตีของกรงเล็บจากหรงจือซิ่งคือซูเฉินนั่นเอง ขณะที่รับกรงเล็บนั้นอย่างใจเย็น ซูเฉินยังได้กล่าวอีกว่า “อวิ๋นเป้า หยุด”

อวิ๋นเป้าถอยทัพอย่างไม่สบอารมณ์

หรงจือซิ่งมองเห็นโอกาสนี้และกำหมัดแน่น “ไป !”

ศรอสรพิษทมิฬโผล่มาอีกครั้งและปะทะเข้ากับซูเฉิน ทำให้หรงจือซิ่งดีใจอย่างออกนอกหน้า “มาดูกันว่าคราวนี้เจ้าจะตายไหม !”

ศรอสรพิษทมิฬมีพิษร้ายแรง แม้กระทั่งอวิ๋นเป้าที่มีร่างกำยำยิ่งกว่าใครยังอาจรับมันไม่ไหว การโจมตีของหรงจือซิ่งนั้นชั่วร้ายยิ่งนัก ถ้าหากใครเป็นศัตรูคนนั้นจะต้องตายแน่ ด้วยเขาไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น

แต่เมื่อศรอสรพิษทมิฬพุ่งไปถึงร่างของซูเฉิน สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้กลับไม่เกิดขึ้นเลยสักนิด ซูเฉินกลับเพียงหันกลับมาอย่างหน้าตาเฉย กระทั่งยิ้มให้เขาด้วยเล็กน้อยซ้ำไป

เขายิ้มจริง ๆ!

ยิ้มให้เขา !

ยิ้ม !

หรงจือซิ่งตะลึงงัน

เกิดอะไรขึ้น ?

เป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?

เขาไม่เข้าใจ และไม่มีเวลาให้เข้าใจด้วย !

ซูเฉินคว้ามือของเขามาและพูด “ไม่แย่ อีกสักทีไหม ?”

หรงจือซิ่งมองซูเฉินอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ซูเฉินแสดงออกอย่างจริงใจ

เมื่อเห็นหรงจือซิ่งตัวแข็งทื่อเช่นนั้น ซูเฉินก็พลันหน้าบึ้ง “ถ้าเจ้าไม่ทำข้า ก็ถึงตาข้าแล้ว เจ้าโจมตีข้าไปทีหนึ่ง ข้าก็จะโจมตีเจ้าทีหนึ่ง สมเหตุสมผลดีแล้ว จับตาดูดี ๆ เอาล่ะนะ”

ขณะที่พูด เขาพลันยื่นมือไปยังหรงจือซิ่ง

ฝ่ามือของซูเฉินเปล่งแสงเปลวไฟสีดำ

กรงเล็บเพลิงเงา !

การโจมตีนั้นแผ่ออกไปด้วยสสารต้นกำเนิดเงา ทำให้หรงจือซิ่งพยายามป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อแขนของทั้งสองปะทะกัน หรงจือซิ่งกลับต้องเป็นฝ่ายกรีดร้องขณะที่เปลวไฟสีดำแล่นไปตามมือของเขา …ช่างน่าประหลาดใจที่หรงจือซิ่งไม่สามารถดับไฟนั้นได้ !

เปลวเพลิงนั้นมีแต่จะลุกโชนยิ่งขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วแขนและลามไปทั้งร่างของเขา

“เป็นไปได้อย่างไร ?!” อวิ๋นเป้าจ้องมองหรงจือซิ่งด้วยความตกใจ

“เพลิงเงาคือการผสมกันระหว่างสสารต้นกำเนิดเพลิงและสสารต้นกำเนิดความมืด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยสสารต้นกำเนิดความมืด มันจึงเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของเปลวไฟนี้ทำให้ไฟโหมกระหน่ำยังไงล่ะ” ซูเฉินอธิบาย

ใช่ ! ต้นกำเนิดพลังของอสรพิษทมิฬคือสสารต้นกำเนิดความมืด และด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านสสารต้นกำเนิดความมืดของซูเฉิน เขาจึงรู้ได้ในทันที

เหตุผลที่การโจมตีของหรงจือซิ่งไม่เป็นผลก็เพราะซูเฉินได้ใช้งานเครื่องมือนำพลังและดูดเอาสสารต้นกำเนิดไปจนหมด มันจึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้และยังเพิ่มสสารต้นกำเนิดความมืดมาเสริมเพลิงให้กับถุงมือเพลิงเงาของซูเฉินอีกด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อซูเฉินก็ได้ใช้ทักษะต้นกำเนิดประเภทความมืด ทำให้หรงจือซิ่งไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย

นี่คือข้อแตกต่างระหว่างการควบคุมและการครอบคลุม แม้ว่าสายเลือดตระกูลหรงจะให้ความสามารถพวกเขาในการควบคุมสสารต้นกำเนิดความมืด แต่ความเข้าใจและครอบคลุมพลังนั้นยังด้อยกว่าซูเฉินอีกมากโข

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าซูเฉินนั้นไร้เทียมทานต่อตระกูลหรง ถุงมือเพลิงเงาสามารถทำได้แค่เพียงดูดซับพลังงานเท่านั้น นอกจากนั้นหรงจ่อซิ่งยังอยู่ในระดับด่านสู่พิสดารและไม่มีข้อได้เปรียบต่อซูเฉิน ทำให้ชายหนุ่มสามารถนำพลังต้นกำเนิดมาเป็นของตนได้ ทว่าถ้าซูเฉินไปพบกับคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า การจะใช้พุงมือเพลิงเงาเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์

และด้วยเหตุผลเดียวกัน เพลิงเงานั้นก็ไม่ได้ไร้เทียมทานเช่นกัน ตราบใดที่พลังต้นกำเนิดประเภทความมืดหายไปในจังหวะที่ดีพอ เพลิงเงาก็จะไม่มีเชื้อเพลิงและหายไป

หรงจือซิ่งค่อนข้างจะทึนทึกและนึกไม่ถึงเรื่องนี้

เขาคำรามด้วยความเจ็บปลุกพลังในร่างกายขึ้นตามสัญชาตญาณจนถึงขีดสุด แต่ผลที่ตามมามีเพียงแค่เพลิงเงาที่ส่องสว่างและลุกโชนขึ้นห่อหุ้มตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไม่คิดจะช่วยเขาเลยหรือ ?” อวิ๋นเป้ารู้สึกเสียวสันหลังวาบขณะที่มองหรงจือซิ่งดิ้นพล่านไปทั่วในกองเพลิง

ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารนั้นครอบครองกำลังวังชาที่ทรงพลังและไม่ตายกันง่าย ๆ และเพราะเช่นนี้เองที่ทำให้การทรมานจากการโดนเผาทั้งเป็นนั้นเจ็บปวดสำหรับพวกเขายิ่งกว่าอะไร

ภาพหรงจือซิ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำและกำลังกรีดร้องนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ซูเฉินจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น “เขาจะฆ่าพี่น้องข้า ข้าจะปล่อยเขาไปทำไมกัน ?”

อวิ๋นเป้าถอนหายใจพร้อมกับยิ้ม “โชคร้ายหน่อยนะ ข้าไม่สามารถทำเลียนแบบเจ้าและท้าทายผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าได้ ทว่าข้าเองก็ยังอยากเป็นคนจัดการคู่ต่อสู้ของข้าเองอยู่นะ”

“สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ก็น่าทึ่งมากแล้ว” ซูเฉินพูดขณะที่ตบหลังของอวิ๋นเป้าเบา ๆ “ยังไงเขาก็เป็นถึงผู้มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร จะเอาชนะศัตรูที่อยู่ในขั้นเหนือกว่าได้มันจะง่ายได้ยังไง ไม่ต้องห่วงหรอก อีกหน่อยเจ้าจะสามารถทำได้แน่”