บทที่ 25.2 การขู่ขวัญ (ปลาย)
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เสียงร้องของหรงจือซิ่งก็เริ่มแผ่วเบาลง เปลวไฟสีดำได้กลืนกินร่างและพลังทั้งหมดของเขาจนเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน และไม่ว่าร่างกายของหรงจือซิ่งจะแข็งแกร่งหรือทักษะที่มีจะพิเศษแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถจะรอดพ้นไปจากการโดนเผาไหม้เป็นเถ้าธุลีไปได้ !!!
ซูเฉินมองหันมองซ้ายขวา “มีใครอีกไหมที่อยากจะพยายามหยุดพวกเรา ?”
ทุกคนก้าวถอยหลังกันอย่างพร้อมเพรียง
ซูเฉินฆ่าผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารไปแล้วคนหนึ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทุกคนที่มองอยู่ต่างก็ขนลุกขนพอง ดังนั้นแล้วใครจะกล้าเข้าไปขวางทางเขากันล่ะ ?
เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครจะก้าวออกมาแล้ว ซูเฉินจึงเริ่มออกเดินทางต่อ
อวิ๋นเป้า กังเหยียน และ 12 ผู้รับใช้ดาบ เดินตามหลังเขาไปอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ผู้ชมเหตุการณ์มองพวกเขาเดินจากไป พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันกระหึ่มด้วยความหวาดผวา
“พวกเขาฆ่านายท่านสิบสอง พวกเราจะปล่อยมันไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตระกูลหรงไม่ไว้ชีวิตเราแน่ !”
“ถ้าเจ้าเก่งพอก็ทำสิ !”
“นั่นสิ ถ้านายท่านสิบสองยังตายภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว พวกเราก็มีแต่จะตายเร็วยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ ?!”
“แต่พวกเราจะนิ่งเฉยกันไม่ได้นะ !”
“ถ้าเราทำ เราตาย และถ้าเราไม่ทำ เราก็ตายอยู่ดี !”
“ให้ตายเถอะ ข้าจะยอมเสี่ยงแล้วกัน !”
ไม่มีใครรู้ว่าเสียงนั้นเป็นของใคร
แต่ไม่มีใครตอบเสียงนั้นกลับไปเลย ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าจะมีสักคนที่พร้อมเสี่ยงโดยไม่มีใครคิดอยากจะไปเอง จึงไม่มีเสียงตอบรับเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ซูเฉินกำลังก้าวไปข้างหน้า ฝูงคนก็พลันแหวกออกราวกับเป็นกำแพงกันถนนและจ้องมองซูเฉินอยู่อย่างเงียบเชียบ
พวกที่มีความกล้าหาญกว่าคนอื่นเมื่อเห็นว่าพวกซูเฉินแยกจากกันจึงคิดขึ้นได้ว่าพวกเขาสามารถซุ่มโจมตีจากด้านหลังได้ ในหัวของเขาคิดว่า ตราบใดที่ตนสามารถโจมตีและสร้างความเสียหายให้กับคนหนึ่งในนั้นได้ เขาก็จะมีข้อแก้ตัวให้กับตระกูลหรง เขาจึงเลือกเป้าหมายที่ดูอ่อนแอที่สุด 12 ผู้รับใช้ดาบนั่นเอง
ฟึ่บ !
ลำแสงเย็นยะเยือกพุ่งตรงมายังหนึ่งในผู้รับใช้ดาบ
ทันทีที่แสงเยือกเย็นนั้นก่อตัวขึ้น ผู้รับใช้ดาบก็หันมาและฟาดฟันดาบของเขา
การฟันนั้นเฉียบคมและผ่าแยกแสงนั้นออกเป็นสองส่วน ก่อนพลังจากการโจมตีนั้นจะมุ่งหน้าต่อไปยังผู้ซุ่มโจมตี
ผู้ซุ่มโจมตีคนนั้นหยิบเอากระจกทองแดงออกมาและวางมันไว้ข้างหน้าของเขา
ทว่าพลังต้นกำเนิดจากดาบนั้นกลับโค้งงอและเคลื่อนที่ผ่านกระจกทองแดงไปยังผู้ซุ่มโจมตีทันที ทำให้ศอกของเขาแยกออกจากร่างกายในพริบตา
ผู้ซุ่มโจมตีคนนั้นโอดครวญด้วยความเจ็บปวดและพยายามจะบินหนีไป แต่น้ำแข็งได้เริ่มก่อตัวขึ้นบนร่างของเขาก่อนที่จะไปไหนได้ไกลและห่อหุ้มตัวของเขาไว้
เมื่อถูกจองจำอยู่ภายใต้น้ำแข็งแล้ว เขาก็เริ่มร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้าราวกับก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่แตกละเอียดขณะที่ลงมายังพื้นดิน …ไม่มีกระทั่งเลือดสักหยดเลยด้วยซ้ำ !
ทุกคนต่างก็ตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น
ผู้ที่ลอบโจมตีคนนั้นเองก็อยู่ในขั้นด่านทะลวงลมปราณเช่นกัน แต่กลับยังถูกฆ่าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว… นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?!
คนเหล่านี้นั้นทรงพลังเหลือล้น เรื่องที่พวกเขาล้วนอยู่ในขั้นด่านทะลวงลมปราณเป็นขั้นต่ำก็น่าตกใจมากอยู่แล้ว แต่ความที่พวกเขาสามารถกำจัดทุกคนในระดับเดียวกันได้ราวกับเชือดไก่หรือสุนัขนั้นเหนือความคาดหมายไปมาก นอกจากนี้พวกเขายังท้าทายผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรและฆ่าเขาได้ในคราวเดียวอีกด้วย !
และในกลุ่มนั้นมีคนเช่นนี้มากกว่า 10 คน !
เป็นอย่างไรกันแน่ ?
ทุกคนล้วนหวาดกลัวกันทั้งสิ้นจนตัวสั่นเทา
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในผู้รับใช้ดาบกลับกล่าวออกมาเมื่อเขาเห็นปราณดาบนั่น “การใช้พลังน้ำแข็งของเจ้ายังช้าเกินไป หากเจ้าต้องเผชิญกับคนที่ตอบสนองได้เร็วกว่า พวกเขาอาจป้องกันมันได้”
“อืม” ผู้รับใช้ดาบคนนั้นพูดขึ้น “ลักษณ์กลืนเหมันต์ของข้ายังเชี่ยวชาญไม่เท่าลักษณ์วานรเพลิงของข้าหรอก”
ยังเชี่ยวชาญไม่เท่าลักษณ์วานรเพลิงของเขางั้นหรือ ?
ทุกคนต่างก็รู้สึกสับสนมึนงง
แล้วอะไรคือลักษณ์กลืนเหมันต์ล่ะ ?
ไม่มีใครเข้าใจ
ลักษณ์กลืนเหมันต์นี้สืบทอดมาจากสายเลือดสกุณาเหมันต์ของจีหานเยี่ยน ซึ่งซูเฉินเป็นคนนำมายังหอลักษณ์และตั้งชื่อมันว่ากลืนเหมันต์ ผู้รับใช้ดาบคนนี้ได้รับลักษณ์นี้ไปและย้อมทุกการฟาดฟันดาบของเขาด้วยพลังต้นกำเนิดประเภทน้ำแข็ง และด้วยความที่เขาไม่ได้โดดเด่นหรือเอาแต่ใจอย่างจีหานเยี่ยน พลังน้ำแข็งที่เขาสามารถปล่อยออกมาได้นั้นจึงยังไม่คงที่นัก
ผู้ซุ่มโจมตีไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องนี้ การวิ่งหนีของเขามีแต่จะทำให้ต้องตายเร็วขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าซูเฉินและพรรคพวกนั้นเก่งดั่งพระเจ้า แต่เพราะกลยุทธ์ต่าง ๆ นานาที่ซูเฉินคิดค้นขึ้นมาเองนั้น ไม่มีใครในโลกภายนอกนี้เคยเห็นมันมาก่อนและไม่รู้วิธีรับมือกับพวกมันด้วยเช่นกัน
หรงจือซิ่งต้องทรมานเพราะเหตุนี้ รวมถึงผู้ซุ่มโจมตีคนนี้ด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องเสียชีวิตของตนไปไวนัก
นั่นคือผลของศึกนี้ แม้ว่าการทรงพลังกว่าจะรู้สึกดี แต่การตั้งเป้าไปยังจุดอ่อนของคู่ต่อสู้นั้นมีประสิทธิภาพกว่ามาก
เมื่อผู้ซุ่มโจมตีตายแล้ว ทุกคนต่างก็ไม่มีความคิดที่จะขวางทางไว้อีกต่อไป
ก่อนที่สมาชิกคนอื่น ๆ ขอตระกูลหรงจะมาที่นี่ จะต้องไม่มีใครเข้ามาห้ามการเดินทางต่อไปของพวกเขาอย่างแน่นอน
ซูเฉินและพวกจึงมาถึงยังถนนสีชาดอย่างรวดเร็ว
สองข้างถนนนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้คนนับไม่ถ้วน
ถนนสีชาดเป็นเส้นแบ่งสำคัญว่าเจ้าอยู่ในอาณาเขตของใคร
และตอนนี้ซูเฉินก็กำลังจะก้าวข้ามมันไป
หากซูเฉินข้ามเส้นแบ่งนี้ไปแล้ว ตระกูลหรงก็จะต้องเลิกไล่ล่าตัวซูเฉินเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาได้เตรียมพร้อมจะเปิดสงครามแล้ว
ทว่าซูเฉินไม่ได้ก้าวข้ามเส้นนั้นทันทีที่ไปถึง เขาเลือกจะหันกลับมาและมองไปข้างหลังแทน
“ข้าจะข้ามแล้วนะ” เขาเอ่ยขึ้น “มีใครจะห้ามข้าไหม ?”
ไร้การตอบรับ
ซูเฉินเผยยิ้มจาง ๆ “ถ้าไม่มีใครห้ามข้าแล้ว งั้นไว้เจอกันใหม่นะ”
เขากลับหลังหันและเตรียมก้ามข้ามเส้นแบ่งนั้นไป
ในตอนนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พลันพุ่งลงจากท้องฟ้าตรงมายังชายหนุ่ม
“อย่าอวดดีไปหน่อยเลย !”
ภาพมือขนาดมโหฬารพลันร่วงลงมายังซูเฉินโดยครอบคลุมทั้งตัวเขาและพรรคพวกเอาไว้ด้านในทันควัน !!!