เล่มที่ 24 เล่มที่ 24 ตอนที่ 707 ผู้ใดจะข้ามสะพาน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าจนเดินทางมาถึงภูเขาไป่โถวอย่างรวดเร็ว

คราวนี้ สิ่งที่ทุกคนกังวลไม่ได้เกิดขึ้น เยี่ยโยวเหยาไม่เพียงมาถึงก่อน ทว่าเขายังรออยู่บนภูเขาไป่โถวนานแล้ว

เมืองนี้มีอากาศหนาวเย็นและมีลมพัดแรง ทว่าเมื่อพวกเขาไปถึงภูเขาไป่โถว ท้องฟ้ากลับเต็มไปด้วยแสงแดด และทันได้เห็นดวงอาทิตย์ตกพอดี

ทะเลเมฆก่อตัวอยู่บนภูเขาอันกว้างใหญ่ แสงสีแดงเพลิงสาดส่องลงมา ตกกระทบบนทะเลเมฆที่กำลังเคลื่อนไหว

ราวกับแสงสีทั้งห้าล่องลอยอยู่ท่ามกลางภูเขาอันกว้างใหญ่

เยี่ยโยวเหยานั่งอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีสันที่กำลังเคลื่อนตัว เมฆหมอกลอยอยู่เบื้องหน้าเขา ร่างของเขาปรากฏขึ้นและหายไปในหมู่เมฆหมอกหลากสีสันนั้น

ด้านหน้ามีโต๊ะน้ำชาวางอยู่ บนโต๊ะมีอุปกรณ์ชงชาที่เขาใช้เป็นประจำ เขากำลังเพลิดเพลินกับการจิบชาอย่างผ่อนคลายด้วยท่วงท่าสง่างาม

วันนี้ เยี่ยโยวเหยาเปลี่ยนจากชุดสีดำเข้มที่สวมใส่เป็นประจำ เป็นชุดสีขาวหิมะ

ชุดสีขาวหิมะพลิ้วไหวในอากาศอย่างต่อเนื่อง ภาพนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตาและไม่ใช่ความจริง

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ หากไม่ใช่ผู้ที่มีสถานะสูงส่ง ก็เป็นแม่ทัพ โดยปกติแล้ว พวกเขาไม่มีเวลามายังสถานที่เช่นภูเขาไป่โถว

อีกทั้ง นอกจากมู่หรงฉีแล้ว ไม่มีผู้ใดเคยเห็นเยี่ยโยวเหยา

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาไป่โถว และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเยี่ยโยวเหยา พวกเขาไม่คิดว่าในแผ่นดินนี้ยังมีทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้

ทุกคนต่างมองด้วยความตกตะลึง

แม้แต่ซูจิ่นซีก็มองบุรุษที่อยู่ท่ามกลางแสงสีทั้งห้า ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในระยะไกลโดยไม่ละสายตา

ทว่าระหว่างพวกเขามีหน้าผาสูงหนึ่งหมื่นจั้งขวางกั้นอยู่ ซูจิ่นซีและผู้อื่นอยู่ฝั่งหนึ่งของหน้าผา ส่วนเยี่ยโยวเหยาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

ระยะห่างค่อนข้างไกล

ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาจึงกลับมาได้สติ

แม่ทัพนายหนึ่งชี้ไปทางเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ไกลออกไป และพูดเสียงดังว่า “ได้ยินมาว่าแคว้นจงหนิงเป็นแคว้นที่มีอารยธรรม ทว่าวันนี้ได้เห็นโยวอ๋องแล้ว กลับไม่เป็นอย่างที่พูด ท่านให้พวกข้าตามหาไปทั่ว โยวอ๋อง ท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่? วันนี้ท่านต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา! ”

“ใช่ โยวอ๋อง! ท่านไม่เห็นแคว้นหนานหลีเราอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ใช่หรือไม่? ”

โดยไม่คาดคิด เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ไกลออกไปอีกด้านหนึ่งของหน้าผา กำลังจิบชาและเพลิดเพลินกับความงดงามของภูเขา

บรรยากาศปรากฏความกดดันเล็กน้อย!

ในที่สุด มู่หรงอ้าวเทียนก็ยืนขึ้นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

“โยวอ๋อง แม่ทัพบางคนของข้าอาจเสียมารยาทไปบ้าง ทว่าพูดตามตรง อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันที่เราทั้งสองแคว้นนัดหมายกันเพื่อหารือเรื่องสำคัญทางการทหาร ทั้งโยวอ๋องยังเป็นผู้เสนอเรื่องนี้ด้วยองค์เอง ดังนั้น ท่านควรให้ความสำคัญกับธรรมเนียมปฏิบัติบ้าง

หากโยวอ๋องไม่อธิบายเรื่องนี้แก่พวกเรา เกรงว่าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป อาจทำให้โยวอ๋องเสื่อมเสียเกียรติได้”

นี่เป็นการข่มขู่เยี่ยโยวเหยาหรือ?

แม้จะอยู่ห่างกันพอสมควร จนไม่เห็นการแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกได้ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

เขาวางจอกน้ำชาในมือลง แม้จะวางอย่างแผ่วเบา ทว่าเสียงจอกชากระทบโต๊ะกลับดังก้องกังวานไปทั่วภูเขาและป่าไม้

นอกจากมู่หรงฉีและซูจิ่นซีแล้ว ทุกคนที่เหลือต่างพากันตกตะลึง

ทันใดนั้น แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาก็กวาดมองมา “โยวอ๋องเช่นข้านัดหมายกับฉางอันกงจู่ ข้านัดพบพวกเจ้าเมื่อใดกัน? ”

ความหมายคือ พวกเขารนหาที่เอง

มู่หรงอ้าวเทียนเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงจนเครากระตุก ภายใต้แววตาเย็นยะเยือกของเยี่ยโยวเหยา เขาพูดสิ่งใดไม่ออกแม้แต่น้อย

มู่หรงฉีก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

“โยวอ๋อง เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ในเมื่อวันนี้ทั้งสองฝ่ายเดินทางมาเพื่อหารือเรื่องสำคัญทางการทหาร เช่นนั้นก็เริ่มเถิด! ก่อนที่จะมืดไปกว่านี้ เส้นทางลงเขาทั้งเปียกและลื่น อาจทำให้น้องหญิงเดินทางลำบาก! ”

มู่หรงฉีนับเป็นผู้ที่ฉลาด เขาใช้ซูจิ่นซีเป็นข้ออ้าง ต่อให้เยี่ยโยวเหยาไม่เห็นผู้ใดในสายตา ทว่ายังต้องเห็นแก่ซูจิ่นซีบ้าง

ทันทีที่มู่หรงฉีพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย “ตกลง! ”

อย่างไรก็ตาม พวกเขาประสบปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากระยะห่างระหว่างหน้าผาทั้งสองฝั่งนั้นค่อนข้างไกล จะให้ทั้งสองฝ่ายยืนคนละฝั่ง และตะโกนคุยกันเช่นนั้นหรือ?

เมื่อครู่ เพียงพูดไม่กี่คำก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว หากการเจรจาดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งหรือสองชั่วยาม ทุกคนจะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?

ทว่ามู่หรงอ้าวเทียนและเหล่าแม่ทัพไม่ต้องการทำให้เยี่ยโยวเหยาขุ่นเคือง จึงไม่พูดสิ่งใด

ฉีอ๋องและฉางอันกงจู่ต่างเป็นผู้ที่มีพลังภายในแข็งแกร่งและมีวรยุทธ์สูงส่ง คำพูดของพวกเขาอาศัยพลังอันแข็งแกร่งจากจุดตันเถียน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เหนื่อย

ในบรรดาผู้คนเหล่านั้นยังมีผู้ที่พลังภายในไม่แข็งแกร่ง ท่านเจ้าเมืองหม่านเยวี่ยจึงยื่นข้อเสนอ

เขาเดินไปข้างหน้าอย่างสุภาพ และพูดเสียงดังว่า “โยวอ๋อง ท่านคงเห็นแล้วว่าหน้าผาอยู่ห่างกันมาก ไม่สะดวกต่อการเจรจา พวกเราควร… เปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นที่สะดวกกว่านี้ดีหรือไม่? ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ไม่สะดวกหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเช่นนั้น? หากกงจู่ไม่สะดวก ก็ข้ามสะพานมาทางนี้ได้”

ทุกคนอดมองไปทางสะพานที่เยี่ยโยวเหยากล่าวถึงไม่ได้

มันเป็นสะพานเหล็กที่เชื่อมต่อกับปลายทั้งสองด้านของหน้าผา มีโซ่เหล็กเพียงเส้นเดียว ทั้งยังไม่มีแผ่นไม้หรือราวเหล็กที่สามารถจับตรงกลางได้

ใต้โซ่เหล็กคือหุบเหวนรก หากเกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงไป ร่างกายคงแหลกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี

หากใช้วิชาตัวเบาผ่านไป ระยะห่างระหว่างปลายหน้าผาทั้งสองก็ไกลเกินไป ไม่มีผู้ใดสามารถข้ามไปได้

เห็นได้ชัดว่าโยวอ๋องกำลังยั่วยุพวกเขา!

ในบรรดาพวกเขา มีเพียงมู่หรงฉีและซูจิ่นซีเท่านั้นที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ดังนั้นทุกคนจึงมองไปที่มู่หรงฉีและซูจิ่นซี

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองต่างนิ่งเงียบและไม่พูดสิ่งใด

ทันใดนั้น มู่หรงอ้าวเทียนก็โพล่งขึ้นมาว่า

“ข้าขอไปก่อน! ” เขาเดินไปที่โซ่เหล็กเชื่อมสะพานด้วยท่าทางขึงขัง

ทุกคนต่างตื่นตระหนกจนแทบกลั้นหายใจ และมองไปยังมู่หรงอ้าวเทียนที่เดินบนโซ่เหล็กโดยไม่ละสายตา

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว มู่หรงอ้าวเทียนก็ใบหน้าซีดเผือด หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ

เมื่อยืนอยู่บนโซ่เหล็ก ขาของเขาพลันอ่อนแรง ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้

ซูจิ่นซีเหาะไปช่วยมู่หรงอ้าวเทียนกลับมา

ทันทีที่ลงมาถึงพื้น มู่หรงอ้าวเทียนก็ตาเหลือกและเป็นลมล้มพับไป

นอกจากมู่หรงฉีและซูจิ่นซีแล้ว มีเพียงมู่หรงอ้าวเทียนเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ขั้นสูง ทว่าตอนนี้ แม้แต่มู่หรงอ้าวเทียนก็ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ นับประสาอันใดกับคนที่เหลือ

พวกเขาต่างพากันถอยหลังไปหนึ่งก้าว

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิด มู่หรงฉีเองก็ถอยหลังก้าวหนึ่งพร้อมกับทุกคน

เขาพูดกับซูจิ่นซีว่า “น้องหญิง เรื่องในวันนี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว พลังของพี่มีขีดจำกัด สะพานนี้เกินกำลังของพี่”

ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าสิ่งที่มู่หรงฉีพูดนั้นจริงหรือไม่ ทว่าเขาพูดต่อหน้าผู้คนมากมาย นางจึงไม่ได้โต้แย้งเขา

มุมปากเผยรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

ต่อไป มีเพียงนางผู้เดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้

จากคำพูดของเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่ หากไม่มีผู้ใดสามารถข้ามสะพานนี้ไปได้ หมายความว่าแคว้นหนานหลีไม่มีผู้ใดที่มีความสามารถอีกแล้ว เกียรติของชาวแคว้นหนานหลีคงสูญสิ้นเป็นแน่

ความหวังของทุกคนตกอยู่ที่ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซียืนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน นางค่อยๆ เดินไปยังสะพานโซ่เหล็กทีละก้าว

เวลานี้ พวกเขารู้สึกตกประหม่ายิ่งกว่าตอนที่มู่หรงอ้าวเทียนข้ามสะพานเสียอีก