ได้ยินว่าวรยุทธ์ของฉางอันกงจู่สูงส่งมาก ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ น้อยคนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง
ทว่ามีบางคนที่บอกว่า ตอนที่นางเป็นพระชายาโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง ฉางอันกงจู่ไม่มีวรยุทธ์ เรื่องนี้ทุกคนต่างทราบกันดี
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดรู้รายละเอียดเบื้องลึกของซูจิ่นซี
พวกเขาต่างจับตามองจังหวะก้าวเท้าของซูจิ่นซีที่กำลังเดินเข้าใกล้สะพานโซ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังตกประหม่าจนเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมาบนหน้าผาก และลืมแม้กระทั่งการหายใจ
ทว่าครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเกียรติและศักดิ์ศรีของแคว้นหนานหลี
หากวันนี้ การหารือระหว่างสองแคว้นทำให้แคว้นหนานหลีเสียเกียรติ เมื่อกลับไปยังเมืองเย่หลิน ฮ่องเต้คงไม่จัดการเพียงฉางอันกงจู่ที่ไม่สามารถข้ามสะพานไปได้ แม้แต่ศีรษะของพวกเขาก็อย่าคิดว่าจะรักษาเอาไว้ได้เลย
ทุกคนต่างเฝ้ามองว่า ซูจิ่นซีจะข้ามสะพานเหล็กแล้วตกใจจนหมดแรง หรือนางจะเป็นเหมือนมู่หรงอ้าวเทียนที่ต้องให้คนไปช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีไม่ได้เหยียบสะพานเหล็กแม้แต่น้อย นางใช้วิชาตัวเบาเหาะข้ามไป
ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แม้แต่เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็มองไปยังร่างของสตรีที่ลอยอยู่บนหน้าผา และเหาะเข้ามาใกล้ตนเองอย่างเชื่องช้า
ระยะทางไกลถึงเพียงนั้น ต่อให้เป็นเยี่ยโยวเหยาเองก็ต้องใช้โซ่เหล็กเพื่อผ่อนแรงหนึ่งหรือสองครั้ง
ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่ผ่อนแรงแม้แต่น้อย นางกระโดดเพียงครั้งเดียวก็สามารถตรงเข้ามาหาเขาได้
เห็นได้ชัดว่าพลังภายในของซูจิ่นซีนั้นสูงส่งและแข็งแกร่งกว่าเขาแล้ว
ซูจิ่นซีเหาะลงมาที่ฝั่งตรงข้ามเรียบร้อย ทว่าทุกคนยังคงไม่ได้สติ
บนหน้าผามีเพียงเยี่ยโยวเหยาและจิ้นหนานเฟิงสองคน ทว่าซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้นตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ทางฝั่งนี้ไม่ง่ายดายอย่างที่นางเห็น
ทันทีที่ซูจิ่นซียืนอย่างมั่นคง เสียง ‘พึบผับ’ ก็ดังขึ้น หลานเสวียนหมิงปรากฏออกมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง และล้อมนางไว้ตรงกลาง
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตางดงามของนางมองไปยังดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาอย่างลึกซึ้ง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยังไม่ถอยออกไปอีก! ”
หลานเสวียนหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของกองทัพสกุลหลาน ล้วนชี้อาวุธไปที่ซูจิ่นซี
“ท่านอ๋อง พระชายา ขอประทานอภัย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดที่สายเกินแก้ นี่นับเป็นความโชคดี กระหม่อมเพียงทำตามความประสงค์ของปวงประชา”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย พลางมองไปที่เยี่ยโยวเหยา
“หึ บอกว่าต้องการหารือเรื่องสำคัญทางการทหาร ที่แท้กลับเป็นกับดักที่ท่านอ๋องทรงจัดเตรียมไว้ หากท่านอ๋องต้องการชีวิตของจิ่นซี เพียงบอกมาคำเดียว เหตุใดต้องเปลืองแรงให้วุ่นวายถึงเพียงนี้”
ดวงตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาทอประกายความเจ็บปวด
“หลานเสวียนหมิง ยังไม่ถอยไปอีก”
หลานเสวียนหมิงเงยหน้าขึ้น
“ท่านอ๋อง ตั้งแต่โบราณกาล ความรักและความงามของสตรีมักก่อให้เกิดหายนะ อย่างไรเสีย นางก็เป็นคนสกุลมู่หรง! ท่านอ๋องทรงลืมไปแล้วหรือว่า ตอนนั้นสกุลมู่หรงสมรู้ร่วมคิดกับสกุลเสวียนหยวนและทรยศต่ออาณาจักรต้าฉินของเราอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาก้มศีรษะลงเล็กน้อยโดยไม่พูดสิ่งใด สองมือที่วางอยู่บนเข่าค่อยๆ กำหมัดแน่น
ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “หลานเสวียนหมิง ข้าจะพูดอีกครั้ง ถอยไป! ”
“ท่านอ๋อง… ”
“ถอยไป… ”
หลานเสวียนหมิงกัดฟันกรอด ก่อนจะถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ทางด้านหลังของซูจิ่นซี กองทัพสกุลมู่หรงมีอาวุธครบมือ พวกเขาเคาะอาวุธอย่างต่อเนื่องเตรียมพร้อมโจมตี ก่อให้เกิดเสียงดังกังวานและทรงพลัง แสดงถึงความมุ่งมั่นของพวกเขา
“กงจู่ สังหารโยวอ๋อง สังหารโยวอ๋อง! ”
“กงจู่ ไม่อาจลืมความบาดหมางระหว่างสกุลมู่หรงกับราชวงศ์ต้าฉิน สังหารเยี่ยโยวเหยาเสีย เพื่อล้างแค้นให้บรรพบุรุษและทหารของสกุลมู่หรงที่เสียชีวิตไป! ”
“กงจู่ สังหารเยี่ยโยวเหยา ล้างแค้นให้เหล่าบรรพบุรุษ และล้างแค้นให้แก่เหล่าทหารสกุลมู่หรงที่เสียสละชีวิต! ”
เสียงจากด้านหลังดังขึ้นเรื่อยๆ จนก้องไปทั่วภูเขาไป่โถว
ซูจิ่นซีมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด นางมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างสงบ เยี่ยโยวเหยาก็มองมาที่ซูจิ่นซีอย่างใจเย็นเช่นกัน
ทันใดนั้น หลานเสวียนหมิงก็พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง พระองค์ทรงทอดพระเนตรแล้ว ต่อให้เราปล่อยสกุลมู่หรงไป ทว่าสกุลมู่หรงจะปล่อยพวกเราหรือ? ความแค้นระหว่างราชวงศ์ต้าฉินกับสกุลมู่หรงนั้น เป็นความแค้นที่ต้องชำระด้วยเลือด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองให้ดี! ”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยโยวเหยาไม่พูดสิ่งใด หลานเสวียนหมิงจึงพูดกับซูจิ่นซีอีกครั้ง “พระชายา กระหม่อมทราบว่าพระองค์มีความรักต่อท่านอ๋อง ทราบว่าพระองค์เป็นคนดี นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับสกุลมู่หรงแล้ว ระหว่างทั้งสองพระองค์ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก ทว่าสายเลือดยังคงอยู่ ราวกับความแค้นและความเกลียดชังที่แทรกซึมลึกลงไปในกระดูก ทรงปลดปล่อยท่านอ๋องและปลดปล่อยพระองค์เองเถิด! ”
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยายังคงมองกันและกันอย่างสงบโดยไม่พูดสิ่งใด
หลานเสวียนหมิงนำทุกคนคุกเข่าลงบนพื้น
“พระชายา วันนี้ แม้ท่านอ๋องจะสังหารกระหม่อม ทว่ากระหม่อมยังต้องบังอาจห้ามปรามพระชายา เรื่องราวบางอย่างเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น พระองค์ทรงปล่อยท่านอ๋องไปเถิด! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มที่ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องเจ็บปวดใจ นางถามเยี่ยโยวเหยาว่า
“ท่านอ๋อง ท่านว่าอย่างไร? ระหว่างพวกเราคืออันใด? ท่านว่า… ข้าควรปล่อยท่านไปหรือไม่! ”
ดวงตาสงบนิ่งและเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาสั่นไหวเล็กน้อย เขากำลังจะเอ่ยปาก ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีคิดว่าเขาต้องการพูดบางอย่างนั้น เขากลับปิดปากเงียบและไม่พูดสิ่งใด
รอยยิ้มที่มุมปากของซูจิ่นซีกลายเป็นรอยยิ้มเยาะ นางเหลือบมองหลานเสวียนหมิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา
“แม่ทัพใหญ่หลาน ผู้ใดบอกว่านอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว สกุลมู่หรงกับข้าหาได้มีความสัมพันธ์อื่นใดอีก? ตอนนี้ข้าคือฉางอันกงจู่แห่งแคว้นหนานหลี ไม่เช่นนั้น วันนี้ข้าจะยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจะมาหารือเรื่องทางการทหารกับโยวอ๋องได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซีกล่าวด้วยเสียงอันดัง
ไม่เพียงหลานเสวียนหมิงและกองทัพสกุลหลานเท่านั้นที่ได้ยิน ทว่ากองทัพของสกุลมู่หรงที่อยู่อีกด้านของสะพานก็ได้ยินเช่นกัน
ขณะนั้น เสียงโดยรอบพลันเงียบสงัด ทั่วทั้งภูเขาไป่โถวตกอยู่ในความเงียบอันน่ากลัว
ท่ามกลางความเงียบนั้นไม่มีเสียงอื่นใด มีเพียงเสียงหายใจที่ชัดเจนของทุกคน
ด้วยเสียงหายใจที่หนักแน่น ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็เดินไปทางซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
บริเวณโดยรอบพลันไร้ซึ่งลมหายใจ
พวกเขาอยากรู้ว่าโยวอ๋องจะทำอย่างไรกับซูจิ่นซี ดังนั้นจึงเพ่งความสนใจทั้งหมด ทั้งยังไม่กล้าหายใจแรงเกินไป เพราะเกรงว่าจะพลาดเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิด หลังจากเยี่ยโยวเหยาเดินไปหาซูจิ่นซี เขาไม่ได้ทำสิ่งใด นอกจากจับมือของซูจิ่นซีและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยน
“จิ่นซี ที่นี่คือภูเขาไป่โถว! ”
“อืม ข้าทราบแล้ว! ”
“พระอาทิตย์ตกบนภูเขาไป่โถวนั้นงดงามอย่างมาก แต่ไม่อาจเทียบได้กับท้องฟ้าเหนือเรือนชิงโยว เพราะ… ขาดคนผู้หนึ่งที่คอยเคียงข้าง! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึงอย่างมาก หัวใจของนางเจ็บปวดราวกับถูกบางอย่างคว้าไว้
“อืม ข้าทราบแล้ว! ”
“ซูจิ่นซี ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง
ทางเลือกที่หนึ่ง กลับไปเป็นฉางอันกงจู่แห่งแคว้นหนานหลี ตั้งแต่นี้ต่อไป ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก…
อีกทางเลือกหนึ่ง กลับไปกับข้า ข้าจะให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ให้เจ้าได้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้า แม้จะไม่มีฐานะใดๆ ทว่าข้าจะให้เกียรติ ให้ความสุข และมอบความโปรดปรานแก่เจ้า อย่างที่สตรีใดในใต้หล้าไม่มีทางได้รับ
ข้ารับปากเจ้าว่าชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่หลอกลวง และจะไม่รับนางสนมอีก จะมีเจ้าเพียงผู้เดียว”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากพลางยกยิ้มเล็กน้อย ทว่าแววตาของนางกลับทอประกาย
“เยี่ยโยวเหยา ท่านลองเดาดูสิว่าข้าจะเลือกอย่างไร? ”