เมื่อเข้าไปด้านใน อวิ๋นเยี่ยก็ช่วยพยุงชายเฒ่าลงจากรถม้า หญิงสาวทั้งสี่คนช่วยกันพยุงไหล่ของชายเฒ่าเดินเข้าไปในจวน ความจริงแล้วที่ตระกูลอวิ๋นไม่มีคนเหล่านี้มาก่อน ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ซินเย่วยืมมาจากตำหนักจั่งซุนเมื่อวานนี้ ผู้หญิงเหล่านี้พยุงได้อย่างมั่นคง ชายเฒ่าเองก็คงรู้สึกสบายเช่นกัน สาวงามในชุดหลากสีเดินพลิ้วไหวเหมือนปุยเมฆและสายน้ำไหลเป็นจังหวะอย่างสวยงาม
ท่านย่ายืนโค้งคำนับอยู่หน้าประตูบานที่สองที่ไกลออกไป สมาชิกที่อยู่ในตระกูลอวิ๋นต่างก็พากันก้มลงคำนับที่พื้นเป็นการต้อนรับการมาของชายเฒ่า ชายเฒ่ายืนพิงที่เก้าอี้มองไปยังท่านย่าที่แก่ชราจนผมสีขาวแล้วพูดว่า “ท่านหญิงจ้าว หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตระกูลอวิ๋น เจ้าคงเลี้ยงดูเด็กสาวด้วยความยากลำบาก เจ้าไหว้บรรพบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน การทำความดีนั้นเป็นเรื่องยาก ตอนนี้เจ้าจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติ ประพฤติอยู่ในจริยธรรมและคุณธรรม ตระกูลอวิ๋นได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง นั่นคือความสำเร็จของเจ้า ในห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นควรจะมีพื้นที่สำหรับเจ้า”
คำพูดของชายเฒ่าได้บ่งบอกถึงการกระทำที่ผ่านมาของท่านย่า การประเมินนี้สำคัญมาก สำคัญยิ่งกว่าการประเมินของราชวงศ์ที่มีต่อท่านย่า หากราชวงศ์ยังมีปัจจัยที่เป็นประโยชน์ เช่นนั้นการประเมินของเหยียนจือทุยที่มีต่อท่านย่าตระกูลอวิ๋นก็หมายความว่าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้กับสิ่งที่นางทนลำบากในวันที่ผ่านมา
สิ่งนี้ควรค่าแก่การยกย่อง อวิ๋นเยี่ยต้องแสดงความขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ มีคนมากมายที่ต้องการการประเมินจากเหยียนจือทุย ต่อให้บริจาคเงินทองเป็นหมื่นก็ไม่อาจได้รับสิ่งนี้ ตระกูลอวิ๋นนั้นโชคดีที่ได้รับมา สิ่งนี้เหมาะแก่การเขียนไว้ที่แท่นจารึก ให้นักประวัติศาสตร์ได้จดบันทึกลงในบันทึกไม้ไผ่ เพราะว่าแปดในสิบส่วนของประวัติศาสตร์ต้าถังถูกเขียนโดยครอบครัวของเขา
การแสดงความขอบคุณได้จบลง ชายเฒ่าไม่ได้นั่งที่เก้าอี้แล้ว ของสิ่งนั้นเป็นของสำหรับใช้ในพิธีการ ซินเย่วและน่ารื่อมู่รีบอุ้มเด็กทั้งสองคนมาให้ชายเฒ่าดู ชายเฒ่าดึงผ้าอ้อมออก ใช้พู่กันเขียนลงบนท้องของเด็กน้อย ซินเย่วมีความสุขจึงคุกเข่าลงและแสดงความขอบคุณ ชายเฒ่าเปิดผ้าอ้อมของเด็กน้อยออกเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิง ชายเฒ่าชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มออกมา เขาวางพู่กันลง เอื้อมมือไปแตะสีทาปากบนปากของน่ารื่อมู่แล้วไปป้ายที่หน้าผากของเด็กน้อย เด็กน้อยรู้สึกคันจึงเบะปาก จากนั้นก็นอนหลับไป ฮ่วนเหนียงตื่นเต้นจนตัวสั่น รีบดึงให้น่ารื่อมู่คุกเข่าลงคำนับ คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกยินดีกับคนเป็นแม่ทั้งสอง มีเพียงน่ารื่อมู่เท่านั้นที่ยังงงๆ ทำตัวไม่ถูก
ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครพูดว่าเด็กน้อยมีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์อีกแล้ว ได้รับของขวัญจากท่านผู้เฒ่าแล้ว ต่อให้ในอนาคตนางจะมีผมสีบลอนด์มีดวงตาสีฟ้า คนอื่นๆ ก็จะชี้ไปที่เด็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่คือเชื้อชาติชาวฮั่นที่บริสุทธิ์”
ในสมองของอวิ๋นเยี่ยมีเสียงก้องกังวานขึ้น การที่ชายเฒ่าหยดหมึกสีดำลงบนท้องของอวิ๋นน้อย เพราะหวังว่าในภายภาคหน้าเขาจะเป็นเด็กที่มีความรู้ความสามารถ มีบทความที่ตัวเองเขียนขึ้นเยอะแยะมากมาย นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ว่าการป้ายสีแดงให้แก่เด็กน้อย นั่นถือเป็นพระคุณยิ่งนัก ได้ยินมาว่าตอนที่องค์หญิง ลูกสาวของหลี่ซื่อหมินคลอดออกมา เขาอยากเชิญให้ชายเฒ่าป้ายสีแดงให้ ชายเฒ่าพูดว่าอย่างเด็ดขาดว่า “สายเลือดของตระกูลฮั่นเหลือเพียงสามส่วน นั่นไม่อาจนำมารวมกันได้” ประโยคนี้ทำเอาจั่งซุนแทบจะสำลัก แต่ก็ไม่สามารถบังคับชายเฒ่าได้ ตอนนี้เด็กน้อยได้รับโอกาสนี้แล้ว ภายหน้าไม่ว่าจะแต่งงานกับใครก็ไม่มีปัญหา จะแต่งกับราชวงศ์หรือจะแต่งกับคนในตระกูลผู้ดีก็เหมือนกับว่าได้แต่งกับผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า สายเลือดของหลี่ซื่อหมินเป็นสายเลือดของคนป่าเถื่อน จะเทียบกับสายเลือดที่สูงส่งของเด็กน้อยได้อย่างไร
ในเมื่อชายเฒ่าทำเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยยังจะพูดอะไรได้อีก กลับไปก็เตรียมเผาหนังสือคณิตศาสตร์เบื้องต้นได้เลย ในชาตินี้ไม่จำเป็นต้องตีพิมพ์อะไรอีก ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรแล้วในประวัติศาสตร์ก็ไม่มีของสิ่งนี้อยู่แล้ว อย่างมากทุกคนก็พากันไปต้อนแกะ ใช้วิธีนับแกะโดยการกองก้อนหินก็ไม่แย่เท่าไหร่ ก็เพียงแค่หนังสือคณิตศาสตร์ เทียบไม่ได้เลยกับความสำคัญทางสายเลือดของเด็กน้อย
ในห้องรับแขก ท่านย่ายกชามาให้เหยียนจือทุยด้วยตัวเอง ซินเย่วยกขนมตามมา น่ารื่อมู่ที่ถูกฮ่วนเหนียงอบรมสั่งสอนมาได้นั่งคุกเข่าทำชีสด้วยตัวเอง
เหยียนจือทุยกินขนมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาชิมชีส ดื่มชาด้วยความชื่นชม จากนั้นก็ให้คนทั้งหมดถอยออกไปก่อน อวิ๋นเยี่ยเชิญเขาไปยังห้องหนังสือของตัวเอง เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือแล้วชายเฒ่าก็นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ร่างกายผอมบางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ทำให้ดูตัวเล็กมากกว่าเดิม หลังจากที่พวกท่านย่าออกไปแล้ว ชายเฒ่าก็เอาแต่จ้องไปที่อวิ๋นเยี่ย ในตาของคนที่อายุเกือบร้อยปีนั้นช่างแวววาวราวกับนกอินทรีย์เสียจริง ทำเอาอวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
“อาจารย์ของเจ้าเป็นชาวฮั่นหรือชาวหู”
คิดถึงความเป็นไปได้อยู่หลายอย่าง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเหยียนจือทุยจะถามเผ่าพันธุ์ของอาจารย์ต่อหน้าคนที่มีสายเลือดชาวฮั่นฝังลึกถึงกระดูกอย่างเขา หากพูดถึงอริสโตเติล นิวตัน ไอน์สไตน์ ออกมา คาดว่าจุดจบไม่น่าจะดีเท่าไหร่ ในหัวรีบนึกถึงนักปราชญ์ของชาวฮั่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คิดถึงความนับถือที่มีต่อเฉิงจิ่งรุ่นและคนอื่นๆ จากนั้นก็พูดอย่างมั่นใจว่า “เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าอาจารย์ข้าเป็นชาวฮั่น เคยมีคนกล่าวไว้ว่าผู้สืบทอดของเผ่าพันธุ์ได้ซ่อนจากโลกใบนี้ตั้งแต่ที่พวกเขาข้ามมาที่เหอหนานในราชวงศ์จิน สุดท้ายเหลือเพียงเขาแค่คนเดียว จึงสั่งให้ข้าถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนรุ่นหลัง”
ประโยคนี้ทำเอาชายเฒ่าน้ำตาคลอ ตบที่เก้าอี้แล้วพูดว่า “นี่คือภัยพิบัติครั้งใหญ่ เราต้องสูญเสียชาวฮั่นไปเท่าไหร่ อำนาจชาวหูยิ่งใหญ่ทะลุภูเขากวนซัน ชาวจงหยวนต้องพากันหนีตาย หวาดระแวงเหมือนสุนัขไร้บ้าน วัฒนธรรมการใช้พู่กันมีมาถึงยี่สิบปีกลับถูกมีดดาบทำลายสลายกลายเป็นหมอกควัน การสืบทอดถูกทำลายลง ความรู้ได้สูญหายไป ผู้ชายกลายเป็นสุนัขรับใช้ ผู้หญิงกลายเป็นเสบียง เด็กทารกต้องทนหิวอยู่ในป่า คนชราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ข้างทาง เสียงสัตว์ร้ายที่ร้องคำรามทำให้ตอนกลางคืนมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ความโกรธแค้นนี้จะสิ้นสุดได้อย่างไร”
ได้ยินคำพูดของชายเฒ่าอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่ทับที่หัวใจของเขา ตอนนั้นที่นักปราชญ์และชาวบ้านข้ามแม่น้ำ ดินแดนจงหยวนถูกอาละวาดด้วยฝีมือของพวกชนเผ่ากลุ่มอื่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ
กลัวว่าชายเฒ่าจะเสียใจมากเกินไปจนเสียสุขภาพจึงรีบพูดให้เขาสบายใจว่า “ชาวฮั่นเจริญรุ่งเรืองมาสามพันปี ฝ่าลมฝนมานับไม่ถ้วน ตอนนี้ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอย่างภาคภูมิใจแล้ว ชีวิตของชาวเติร์กตะวันตกได้อยู่ในกำมือของข้า ชาวเกาชังก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เซวียเหยียนถัวก็อยู่ในความหวาดระแวง ถู่อวี้หุนก็เงียบเหมือนจักจั่นกำลังจำศีล ชาวหุยเกอก็อยู่ในที่ราบสูงอันไกลโพ้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมของชาวฮั่นเจริญรุ่งเรือง ดูจากข้อพิพาทในการเผยแพร่บันทึกครั้งนี้ก็รู้ได้ว่าการอบรมสั่งสอนมาหลายปีได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง”
ชายเฒ่ารู้สึกโศกเศร้าจึงทำให้เขาดูเหนื่อยอยู่บ้าง เขาขดตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าการที่หนังสือหลายเล่มปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในคราวเดียวนั้นเป็นเรื่องดีหรือ หากเป็นเช่นนี้หนังสือชั้นสูงของเจ้าอาจจะถูกข่มขู่”
“อาจารย์ข้าเคยบอกว่าการกังวลก่อนผู้อื่นจะกังวลหรือการมีความสุขหลังจากที่ผู้อื่นมีความสุขแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติคนอย่างข้าก็คงทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่ว่าจิตใจที่อยากจะให้ท่านผู้เฒ่าได้ตีพิมพ์หนังสือระดับสูงก่อนนั้นยังพอมีอยู่”
ชายเฒ่าหัวเราะ วางแขนที่พนักพิงก้มหัวลงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าการที่ข้าชมท่านย่าของเจ้า แต้มสีแดงให้ลูกสาวเจ้า ก็เพื่อให้เจ้าตีพิมพ์หนังสือระดับสูงหรือ”
“ข้าไม่กล้าคาดเดาว่าท่านผู้เฒ่าต้องการอะไร นี่เป็นเพียงสิ่งที่ข้าน้อยคิดออกมาจากใจ”
“ก่อนหน้านี้ที่คนพวกนั้นได้นำมันฝรั่งบริจาคให้แก่ชาวบ้านเพื่อขอบคุณการทำเพื่อส่วนรวมของเจ้า แล้วยังเตรียมพืชผลผลิตที่ดีอย่างข้าวโพดเพื่อเป็นรางวัลให้แก่ชาวบ้านที่มีอาชีพเพาะปลูกเป็นเกษตรกรก็เพื่อเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงเป็นใยอาหารการกินของราษฎร การที่ข้าช่วยเจ้าคลายความกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นี่คือสิ่งที่เจ้าควรได้รับ ข้าให้รางวัลเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไรมากแต่ก็ดีกว่าไม่มี
หนังสือชั้นสูงก็คือหนังสือชั้นสูง อย่างไรการจัดพิมพ์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น หนังสือคณิตศาสตร์พื้นฐานสี่แสนสามหมื่นตัวอักษรที่ข้าอ่านมาครึ่งปีก็ยังมีบางที่ที่อ่านไม่เข้าใจ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่หาได้ยาก ไม่สามารถนำหนังสือเล่มอื่นมาแทนที่ได้ มีคุณสมบัติที่ถูกจัดเป็นหนังสือระดับสูง แต่ว่าทำไมต้องออกติดต่อกันสามฉบับ ทำไมเจ้าต้องทำให้ขุนนางนักปราชญ์ไม่พอใจจนพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างร้ายกาจเช่นนี้”
ตระกูลเหยียนไม่ยุ่งเรื่องของราชสำนัก มีเรื่องราวหลายอย่างที่ยังไม่อาจเข้าใจชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจึงได้อธิบายเหตุและผลให้เขาฟัง เริ่มเล่าตั้งแต่การก่อสร้างตำหนักว่านหมินจนถึงเรื่องที่ประเทศได้เก็บผลประโยชน์จากหลิ่งหนานจนทำให้เกิดความไม่พอใจ อธิบายอย่างละเอียดไม่ขาดไม่เกิน พูดถึงเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวทั้งหมดให้เหยียนจือทุยฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ราชวงศ์ก็เหมือนกับส้วม คนมีความรู้อย่างเจ้าไม่อยู่สอนหนังสือในสำนักศึกษามาคลุกคลีอยู่กับกลิ่นเหม็นเหล่านี้ทำไม หรือว่าความทะเยอทะยานกับจิตใจอันกล้าหาญของคนวัยหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้ากำลังคิดที่จะทำอะไรบางอย่าง”
“ข้าขอพูดอย่างไม่อาย ข้าชอบใช้ชีวิตไปกับการสอนหนังสือเป็นที่สุด มองดูภูเขาและแม่น้ำ ทำของอร่อยสักสองสามอย่าง เฝ้าดูลูกๆ เติบโต ถ่ายทอดความรู้จากอาจารย์ต่อไป ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างเงียบๆ จะได้ไม่นำความเดือดร้อนมาใส่ตัว” อวิ๋นเยี่ยพูดความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาเบื่อกับราชสำนักจนถึงขีดสุด
“มีอะไรน่าอาย หากคิดจะเรียนรู้ก็ต้องทำใจให้สงบ ไร้ความปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่นำความรู้มาใช้ในทางที่ผิด ความคิดของเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ดี เดิมทีการสืบทอดความรู้เป็นความรับผิดชอบของคนวัยหนุ่มสาว ข้าเคยได้ยินหนังสือ ‘คำพูดของหนุ่มสาว’ ของเจ้า แรงผลักดันในตอนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวของราชสำนักมาก คนที่ฉลาดกว่าเจ้านั้นมีอยู่ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าวิ่งวุ่นเพื่อแก้ไขปัญหา หากภายหลังพวกเขายังมาวุ่นวายกับเจ้าอีกก็ให้ปฏิเสธไปว่าเจ้าต้องอ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้า”
ได้ฟังคำพูดของชายเฒ่าอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยความสุข มีเกาะป้องกันธนูที่หนาเช่นนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ มองดูชายเฒ่าร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วอยากจะเข้าไปจุ๊บหัวเหม่งของเขาสักที
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือ ไม่ว่าจะมีหนังสือเท่าไหร่ท่านก็ส่งให้ข้าเป็นคนตีพิมพ์ก็พอ รับรองได้ว่าทุกเล่มจะต้องเป็นหนังสือระดับสูง ตอนนี้หนังสือที่ต้องตีพิมพ์มีเพียงสามสิบกว่าเล่มเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร” อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่หากคนให้ความเคารพเขาหนึ่งคืบเขาก็จะเคารพคนคนนั้นหนึ่งศอก เห็นชายเฒ่ากังวลเรื่องการตีพิมพ์หนังสือเหล่านั้นเขาจึงได้อาสาดูแลทุกอย่างเอง
“ไม่มีประโยชน์หรอกไอ้หนุ่ม ต่อให้ตระกูลเจ้ามีเงินทองมากมายแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน เมื่อก่อนต้องจ้างให้คนคัดหนังสือ หลายปีมานี้พึ่งจะมีวิธีการพิมพ์แบบใหม่นั่นก็คือการแกะสลัก มีไม่กี่คนที่ชำนาญด้านนี้ มีช่างฝีมือน้อยเกินไป และทั้งหมดถูกราชวงศ์ผูกขาดไปหมดแล้ว การแกะสลักใช้เวลานาน เป็นเพราะทุกอย่างไม่ได้เรียบง่าย ดังนั้นทุกคนจึงได้อิจฉาเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแหยๆ หยิบตราประทับมาจากบนโต๊ะ หลังจากที่นำตราประทับไปจุ่มหมึกแล้วเขาก็กดลงบนกระดาษที่อยู่ต่อหน้าชายเฒ่า เห็นตัวอักษรปรากฏอยู่บนกระดาษ ‘ไม่ใช่ตราประทับของสุภาพบุรุษ’ นี่คือตราประทับที่อาจารย์หยวนจางแกะสลักด้วยตัวเองแล้วมอบเป็นของขวัญให้กับอวิ๋นเยี่ยในวันเกิด
ชายเฒ่ากะพริบตาแล้วมองไปยังอวิ๋นเยี่ย เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้จะให้เขาดูตราประทับแค่อันเดียว อวิ๋นเยี่ยนำตราประทับออกมาอีกหนึ่งอัน นำตราประทับสองอันมาต่อเข้าด้วยกัน จุ่มบนหมึกแล้วกดลงไปที่กระดาษเป็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘บ๊วย กล้วยไม้ ไข่ เบญจมาศ ไม่ใช่ตราประทับของสุภาพบุรุษ’
เหยียนจือทุยดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ดูเหมือนสับสน ครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยนำตราประทับออกมาจากกล่องอีกครั้ง แล้วนำตราประทับทั้งสามอันกดลงไปที่กระดาษ…