[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 30 ใจที่ยิ่งใหญ่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

สถานการณ์ในห้องหนังสือเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด เด็กหนุ่มและชายเฒ่ากำลังทำการจัดเรียงตราประทับหกเจ็ดอัน นำตราประทับจุ่มหมึกแล้วพิมพ์ลงบนกระดาษ การกระทำเช่นนี้ดำเนินไปแล้วหนึ่งก้านธูป ชายเฒ่าถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าวิธีนี้ได้ผลหรือ”

 

 

“แน่นอนว่าได้ผล ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นจะต้องแกะสลักตัวอักษรจารึกไว้บนกระดานไม้ หรือว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าสามารถแกะสลักตัวอักษรลงบนก้อนตะกั่วหรือดินเหนียวได้ ข้ามักจะใช้ดินเหนียว เพราะเมื่อแกะสลักเสร็จแล้วนำไปเข้าเตาเผาสักครู่ก็ใช้ได้ ในหมวดคำอักษรจีนก็มีตัวอักษรเพียงเก้าพันตัว ช่างฝีมือสองคนสามารถแกะสลักตัวอักษรเหล่านี้ได้ภายในหนึ่งเดือน พวกเรานำอักษรให้เขาแกะสลักสเจ็ดแปดชุด จากนั้นแต่ละตัวอักษรที่ใช้บ่อยก็แก่สลักสักร้อยกว่าอัน จะแกะสลักตัวอักษรข่าย[1]หรือจะแกะสลักตัวอักษรเฉ่า[2]ก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะชอบตัวอักษรแบบเว่ยฮูหยิน หรือว่าชอบตัวอักษรแบบหวางโย่วจวิน เราก็แค่จ่ายเงินเล็กน้อยค่าแกะสลักแค่นี้ก็เรียบร้อย”

 

 

ชายเฒ่าดีใจเหมือนเด็กน้อย มือไม้สั่นแล้วพูดว่า “ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องแกะสลักลงบนไม้แล้ว แค่อักขระชุดเดียวก็สามารถใช้นับครั้งไม่ถ้วน เพียงแค่นำมาจัดเรียงใหม่ก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว ฮ่าๆๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องไปแย่งใครแล้ว เพียงแค่มีช่างฝีมือ ไม่ว่าจะพิมพ์หนังสือออกมากี่เล่มก็จะมีปัญหาแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น หากเป็นหนังสือระดับสูงทั้งหมดก็จะทำให้คนพวกนั้นที่แย่งจะทำหนังสือระดับสูงกับเจ้าต้องกระอักเลือด”

 

 

ไม่ค่อยคุ้นชินกับนิสัยคิดแล้วก็ลงมือทำเลยของชาวต้าถังเท่าไหร่ ชายเฒ่าไม่ยอมกินข้าวเอาแต่ชวนอวิ๋นเยี่ยไปสำนักศึกษา ไปหาอาจารย์หยวนจางให้ช่วยแกะสลักอักษรดินเหนียว มีเพียงชายเฒ่าอย่างเขาเท่านั้นที่สามารถใช้ให้อาจารย์หยวนจางมาเป็นช่างฝีมือได้

 

 

ไม่อยากนั่งเกวียนวัวจึงรีบเดินไปขึ้นรถม้าที่นั่งสบายที่สุดของตระกูลอวิ๋นแล้วลืมคนใช้ไว้ข้างหลัง คนใช้ตะโกนอย่างรีบร้อนบอกให้นายท่านรอเขาด้วย

 

 

เมื่อชายเฒ่ามาถึงที่สำนักศึกษาก็ทำเอาสำนักศึกษาวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่กำลังเรียนหรือลูกศิษย์ที่ไม่ได้เข้าเรียนต่างก็พากันวิ่งมาทำความเคารพชายเฒ่า

 

 

“ใครมีสอนก็ไปสอน ใครมีเขียนบทความก็ไปเขียน ส่วนหลี่กังและหยวนจางให้อยู่ก่อน แล้วก็หลีสือด้วย ได้ยินว่าเจ้าปั้นตุ๊กตาได้ เจ้าไปเอาดินเหนียวมาให้ข้าสักสิบกิโล”

 

 

หลีสือไม่ได้พูดอะไร เมื่อฟังคำสั่งชัดเจนแล้วจึงรีบไปขุดดินเหนียว หลี่กังทำหน้าบูดเพราะกำลังจะมาทำความเคารพทว่าถูกชายเฒ่าด่าไปหนึ่งยก “เจ้าอายุยังน้อยทำไมถึงไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย หลายปีมานี้อาหารที่กินเข้าไปก็เปล่าประโยชน์ พอพูดถึงเรื่องตีพิมพ์หนังสือเจ้าก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ออกแม้กระทั่งความคิดเห็นดีๆ ต้องให้ข้าแบกหน้าไปถามเด็กๆ เอาไว้ข้าจะมาจัดการเจ้าทีหลัง”

 

 

หลี่กังเขี่ยที่หนวดเคราสีขาวของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้กลายเป็นเด็กในสายตาเขา แต่ว่าคำพูดที่ออกจากปากเหยียนจือทุยเหมือนว่าจะไม่ได้พูดผิด ส่วนเหตุผลที่โดนว่านั้นเขาเข้าใจดีอยู่แล้ว

 

 

ตีเข้าไปที่ท้ายทอยอวิ๋นเยี่ยหนึ่งที เมื่อวานตัวเองไม่ยอมมารับผิดด้วย ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้วิธีอะไรจึงได้หลอกให้ชายเฒ่าดีใจ แล้วยังพามาที่สำนักศึกษาเพื่อเล่นงานเขา

 

 

อวิ๋นเยี่ยลูบท้ายทอยแล้วพูดกับหลี่กังอย่างน้อยใจว่า “เมื่อวานข้าแค่อยากบอกเจ้าเกี่ยวกับวิธีพิมพ์หนังสือแบบใหม่ เจ้าไม่ฟังแล้วเดินหนีไป แล้วตอนนี้ทำไมต้องมาโทษข้า”

 

 

หลี่กังมองไปที่ชายเฒ่าที่กำลังคุยอยู่กับอาจารย์หยวนจาง เขาก้มหัวแล้วพูดว่า “ข้าต้องมารับอารมณ์โกรธของท่านผู้เฒ่าทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดีก็ต้องหาที่ระบายเป็นธรรมดา เจ้าคิดว่าข้าควรจะระบายอารมณ์กับหยวนจางหรือว่าเจ้าดีล่ะ”

 

 

ในเมื่อชายเฒ่าออกโรงแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก นึกได้ว่าชายเฒ่ายังไม่ได้กินข้าว จึงเข้าครัวไปทำอาหารว่างให้เขา

 

 

ข้าวเตียวหูทั้งนุ่มทั้งเหนียวกำลังดี เต้าหู้ยัดไส้หมูสับหนึ่งจาน นกพิราบตุ๋นกับโสม ยำผักจี้หนึ่งจาน เดิมทีนี่คืออาหารที่เตรียมไว้ให้ชายเฒ่าวันนี้อยู่แล้ว หลิวจิ้นเป่าได้ขี่ม้าเร็วนำวัตถุดิบมาส่ง รวมไปถึงนกพิราบที่ตุ๋นเรียบร้อยแล้ว

 

 

หลีสือใช้เวลาเพียงไม่นาน คนที่มีศิลปะการต่อสู้มักจะทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่ว ดินเหนียวก้อนใหญ่ถูกยกเข้ามา แล้วเขายังทำแม่พิมพ์ไม้เล็กๆ อีกด้วย เพียงแค่เติมดินเหนียวลงไปให้เต็มแล้วค่อยแกะออกเท่านี้ก็จะได้ทรงสี่เหลี่ยมแล้ว

 

 

หลี่กังและหยวนจางเข้าใจความตั้งใจของชายเฒ่าที่ต้องการดินเหนียว อาจารย์หลีสือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดินเหนียว เขาคิดว่าดินเหนียวนั้นอ่อนเกินไปจึงรีบไปขุดมาใหม่ มีชายเฒ่าสองสามคนแย่งกันทำงานต่อหน้าเหยียนจือทุย ดูแล้วเหมือนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

 

 

อวิ๋นเยี่ยยกอาหารเข้ามาเพราะว่าชายเฒ่าไม่ยอมออกจากห้องทำงาน เขานั่งบนเก้าอี้มองดูอาจารย์หยวนจางแกะสลักตัวอักษรสองสามตัวแล้วนำไปเผาที่เตาดูว่าจะสำเร็จหรือไม่ หากไม่เห็นกับตาก็จะไม่สบายใจ เพราะนี้คือผลงานชิ้นเอก

 

 

หลี่กังรับจานข้าวมาจากอวิ๋นเยี่ยแล้วยกไปให้ชายเฒ่า เขาพูดเสียงเบาว่า “ร่างกายของท่านจะหักโหมมากไม่ได้ ฝีมือทำกับข้าวของเด็กคนนั้นเยี่ยมยอดมากจริงๆ ท่านกินข้าวเสียหน่อยแล้วไปพักผ่อนสักครู่ เรื่องอื่นๆ ปล่อยให้คนหนุ่มสาวเขาทำกันก็พอแล้ว”

 

 

ชายเฒ่ามองหลี่กังอย่างไม่เชื่อใจ แต่ว่าถูกอาหารที่อยู่ในจานดึงดูดจึงฝืนตอบรับคำแนะนำของหลี่กัง เมื่อทำความสะอาดมือแล้วก็เริ่มรับประทานอาหาร อวิ๋นเยี่ยอยู่ข้างๆ เพื่อคอยรับใช้ ช่วยชายเฒ่าคีบเต้าหู้มาใส่ชาม ข้างในเต้าหู้ห่อด้วยเนื้อหมูสับละเอียด สีเต้าหู้ด้านนอกออกสีเหลืองเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยนำไปทอดกับน้ำมันก่อนสักพักแล้วจึงนำไปนึ่งในหม้อนึ่ง เต้าหู้ช่วยดับอารมณ์โกรธเหมาะกับชายเฒ่าตอนนี้เป็นที่สุด

 

 

มือของเหยียนจือทุยเริ่มสั่นมากยิ่งขึ้นเพราะอายุมากแล้วจึงใช้ตะเกียบไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมช้อนไว้ให้เขาโดยเฉพาะ กว่าจะตักเต้าหู้เขาปากได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายเฒ่าหลับตาลงเพื่อลิ้มรสอย่างละเอียด เมื่อกินเสร็จก็พูดว่า “ช่างเป็นอาหารที่อร่อยเสียจริง น่าเสียดายที่ข้าเหลือฟันเพียงแค่สามซีก มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยอาหารอันโอชะที่เจ้าทำขึ้นมาอย่างแน่นอน”

 

 

ข้าวเตียวหูไม่เยอะมากมีเพียงถ้วยเล็กๆ เท่านั้น ชายเฒ่ากินข้าวหมดแต่ไม่ได้กินเนื้อนกพิราบ เขาค่อยๆ ดื่มน้ำซุปนกพิราบ รู้สึกว่าสดชื่นมากขึ้น มองดูผักเขียวและนกพิราบที่เหลืออย่างเสียดายแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ใจอยากกินแต่กินไม่ได้ เมื่อก่อนข้าชอบผักจี้มากที่สุด แล้วก็ชอบกินน่องไก่ หลังจากที่ฟันร่วงจนหมดปากก็ไม่ได้กินอาหารพวกนี้แล้ว กินได้เพียงเนื้อสับและโจ๊ก ข้ารับรู้ได้ว่าเวลาของข้ากำลังจะหมดลงแล้ว”

 

 

อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะรู้เหตุผลที่ชายเฒ่าต้องรีบร้อน ไม่ได้เป็นเพราะว่านี่เป็นผลงานชิ้นเอก เขาเพียงแค่กังวลว่าตัวเองจะอยู่ไม่ถึงได้เห็นแม่พิมพ์กำเนิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว

 

 

ชีวิตนี้อยากจะเผยแพร่วัฒนธรรมจีนให้กับชาวฮั่นทุกๆ คน เพราะเหตุนี้เขาถึงได้พยายามมาทั้งชีวิต หลี่กัง หยวนจาง หลีสือ และนักปราชญ์อีกมากมายในเมืองหลวงแทบทุกคนที่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขา ก่อนที่ไฟชีวิตกำลังจะดับลงได้เห็นทักษะการพิมพ์ที่น่ามหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้น แล้วยังเป็นสิ่งที่ทำขึ้นด้วยตัวเอง สำหรับคนที่รักหนังสือจนเข้ากระดูกอย่างเหยียนจือทุยแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด

 

 

อาจารย์หยวนจางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยแกะสลักตัวอักษรต่อ ตรงหน้ามีหนังสือหมวดคำอักษรจีนวางอยู่หนึ่งเล่ม เขาแกะสลักได้เร็วมาก ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเขาก็แกะสลักจนครบตัวอักษรในบทที่หนึ่งของคัมภีร์หลุนอวี่[3]

 

 

เหยียนจือทุยตรวจสอบทีละตัวอักษรว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วก็ยืนดูตัวอักษรถูกนำไปเผาในเตาเผาของสำนักศึกษา การเผาต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมง

 

 

ชายเฒ่าเผลอนอนหลับไปบนเก้าอี้ยาว วันนี้เขาทำงานนานเกินไป ทั้งเหยียนจึซั่นและเหยียนซือกู่ก็มาด้วย ได้ยินหลี่กังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เหยียนจึซั่นจึงหันไปโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย ในฐานะที่เป็นลูกชายของเหยียนจือทุยเขารู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้สนใจว่าจะอยู่ได้เกินสองวันหรือไม่ เหยียนจือทุยแค่กลัวว่าวันเวลาที่เหลือจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมาย

 

 

ไฟในเตาได้ดับลงแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้อุณหภูมิในเตาเย็นลง มิเช่นนั้นหากอุณหภูมิเย็นลงเร็วเกินไปจะทำให้ดินเหนียวแตกออกจากกัน มีสองสามคนกำลังคุยกันเบาๆ หน้าเตาเผาเรื่องที่เข้าใจผิดระหว่างเหยียนจึซั่นกับอวิ๋นเยี่ย ในเวลานี้เพียงแค่ยิ้มให้กันก็ทำให้เรื่องที่เคยเข้าใจผิดหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

 

 

เมื่อพูดถึงตัวอักษรแล้ว คนที่อวิ๋นเยี่ยจะต้องนึกถึงก็คือคนที่เชี่ยวชาญด้านตัวอักษรอย่างเหยียนจึซั่น เขาสั่งให้ลูกศิษย์ไปเอากระดองเต่าสองอันมาจากห้องหนังสือในสำนักศึกษา เพื่อให้คนที่โต้เถียงกันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์ซัง ราชวงศ์โจวได้เปิดหูเปิดตา

 

 

อาจารย์จินจู๋เชี่ยวชาญเรื่องอักษรโลหะมากที่สุด เขามักจะพูดเสมอว่าอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นในราชวงศ์ซัง เพราะว่าหลักฐานในมือเขาได้พิสูจน์ในเรื่องนี้แล้ว เมื่อปีที่แล้วเขาได้พาหวงสู่ไปเดินสำรวจที่เมืองโบราณอินซวีในตำนานแต่ก็ไม่พบหลักฐานใหม่ ดังนั้นเขาจึงสงสัยในงานเขียนที่เป็นตำนานของชังเจี๋ยเป็นอย่างมาก ในยุคนั้นเป็นยุคที่คนยังไม่ค่อยมีความรู้ การนับเลขยังคงใช้วิธีที่เก่าแก่ที่สุดอย่างการผูกปมเชือก อย่างเช่นวันนี้จับไก่ป่าได้หนึ่งตัวก็จะผูกปมเล็กบนเชือกหนึ่งปม วันก่อนจับหมูป่าได้หนึ่งตัวก็จะผูกปมใหญ่ๆ ไว้บนเชือกหนึ่งปม อีกสองวันข้างหน้าคนกลุ่มหนึ่งจะจับกวางได้หนึ่งตัวก็จะผูกปมขนาดกลางไว้บนเชือก

 

 

คนในต้าถังจะค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเข้า และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนโบราณ สรุปก็คือเป็นเพียงแค่บันทึกโง่ๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น หากมัดปมไม่ดีทำให้ปมที่เป็นสัญลักษณ์ของกวางนั้นใหญ่เกินไปก็จะไม่ต่างอะไรจากปมที่เป็นสัญลักษณ์ของหมูป่า หากมัดปมร่วมกับคนในเผ่าเดียวกันนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมัดปมรวมกับคนในเผ่าอื่น อาจทำให้เกิดปัญหาได้จากความไม่สม่ำเสมอของขนาด อาจจะทำให้เกิดสงครามได้

 

 

ลูกศิษย์ยกกระดองเต่ามาส่งให้อวิ๋นเยี่ยและเหยียนจึซั่น พวกเขาจึงได้หยุดโต้เถียงกับอาจารย์จินจู๋ พวกเขามองดูกระดองเต่าในมืออวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอาวัสดุปรุงยามาทำอะไร

 

 

“ยาชนิดนี้เรียกว่ากระดูกมังกร ข้าน้อยคิดว่ากระดองเต่าถูกใช้เป็นเครื่องทำนายในสมัยโบราณ มีวันหนึ่งข้าน้อยบังเอิญค้นพบว่าบนกระดองเต่ามีลายเส้นแปลกๆ จึงเดาว่าลายเส้นเหล่านี้อาจจะเป็นตัวอักษรในสมัยนั้น”

 

 

จินจู๋ดึงกระดองเต่ามาดู แล้วนำลายเส้นบนกระดองเต่ามาเขียนเป็นลายเส้นคล้ายตัวอักษรลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบความถูกต้องอยู่สี่ห้ารอบจากนั้นก็หลบให้พวกเหยียนจึซั่นได้มาศึกษา เจ็ดแปดคนนั่งยองๆ ลงกับพื้นสุมหัวกันดูลายเส้นเหล่านี้ แต่ละคนพยายามใช้ความคิดอยากจะหาเบาะแสจากร่องรอยชิ้นนี้เพื่อมาพิสูจน์มุมมองของตัวเอง

 

 

เหยียนจือทุยที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวแอบยิ้มที่มุมปาก เขาลืมตาขึ้นมาแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เตาเย็นแล้วหรือยัง”

 

 

ทุกคนพึ่งจะได้สติกลับมา อาจารย์หลีสือจึงสวมถุงมือจากนั้นก็เอาดินเหนียวออกมาจากเตาอย่างระมัดระวัง นำไปวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้ความร้อนหมดไป

 

 

มีอักษรดินเหนียวเพียงสองสามอันที่แตกหัก ที่เหลือถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ลายเส้นอักษรชัดเจนสวยงาม ที่เหลือก็แค่นำอักษรพวกนี้ไปว่างไว้บนชั้นแล้วหาหมึกที่เหมาะสำหรับการใช้งาน ขอแค่แม่พิมพ์พวกนี้สำเร็จ จากนี้ก็จะทำการใหญ่ได้แล้ว

 

 

ชายเฒ่าซุบซิบว่าตัวอักษรของหยวนจางดูไม่แข็งแรงเหมือนที่เด็กๆ ทำ หลายปีมานี้ความตั้งใจของเขาถูกกลืนกินไปเพราะชีวิตที่สะดวกสบาย จากความเห็นของชายเฒ่าการมีชีวิตที่ลำบากจึงจะทำให้มีจิตใจที่ต้องการจะเรียนรู้อย่างแท้จริง

 

 

 

 

——

 

 

[1] ตัวอักษรข่าย เป็นอักษรจีนรูปแบบมาตรฐานใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

 

 

[2] อักษรเฉ่า หรือตัวหวัด เป็นอักษรจีนที่อ่านเข้าใจยาก

 

 

[3] คัมภีร์หลุนอวี่ แปลว่า “ปกิณกคดี” เป็นคัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื๊อ เป็นคัมภีร์รวมบทสนทนาที่เหล่าศิษย์สำนักขงจื๊อได้รวบรวมขึ้นหลังมรณกรรมของขงจื๊อ