[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 31 ภายใต้แสงอาทิตย์ย่อมมีความมืดมิดเสมอ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

สิ่งต่างๆ เวลาพูดดูเหมือนง่ายแต่เมื่อปฏิบัติจริงมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่างเช่นความโชคร้ายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือหมึกไม่ติดกับตัวอักษรดินเผา เมื่อพิมพ์ออกมาจึงกลายเป็นสีดำทั้งหมดดูไม่ชัดเจน กระดาษก็บางกรอบเกินไปสะบัดสองสามทีก็ขาดออกจากกันแล้ว ความคิดและความเป็นจริงช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

 

 

หลังจากที่ล้มเหลวอีกครั้งทุกคนก็เริ่มรู้สึกท้อแท้ มีเพียงเหยียนจือทุยเท่านั้นที่มองดูกระดาษแผ่นสุดท้ายที่พิมพ์ออกมาอย่างตื่นเต้น เขาชี้ไปที่ตัวอักษรจื่อกับตัวอักษรเยวแล้วพูดออกมาอย่างดีใจว่า “นี่ไง พิมพ์ออกมาได้แล้ว ตัวอักษรจื่อกับตัวอักษรเยวพิมพ์ออกมาได้ชัดเจนมาก นั่นแสดงว่าอาจารย์ยังหวังให้พวกเราประสบความสำเร็จ วัสดุหมึกชนิดนี้ไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ต้องหาอันที่เหมาะสม ในเมื่อสามารถพิมพ์ตัวอักษรออกมาได้สองตัวแล้ว เช่นนั้นก็จะพิมพ์ตัวอักษรได้เป็นพันคำแน่นอน”

 

 

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าความรู้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จิตใจที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานต้องมาเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ความทะเยอทะยานนั้นค่อยๆ พังทลายไป จำนวนคนในห้องเริ่มลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหลือเพียงอวิ๋นเยี่ย เหยียนจือทุยและลูกชายของเขา เหยียนซือกู่กำลังปรึกษากับอาจารย์หยวนจางอยู่ด้านนอกเกี่ยวกับเรื่องวิธีการแกะสลักว่ามีทั้งหมดกี่วิธี หากหาบทสรุปออกมาได้ก็จะสามารถนำมาใช้ในระบบความเป็นจริง การทำให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงคนรุ่นหลังนั้นไม่ใช่เรื่องยาก พวกเขาจะเริ่มลงมือปฏิบัติการกันในคืนนี้ ส่วนอาจารย์หลี่กังนั้นมีคาบสำคัญที่ต้องเข้าสอน อาจารย์หลีสือและอาจารย์จินจู๋บอกกับอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่าพวกเขาคิดว่าจะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของการพิมพ์ใหม่ ไม่แน่อาจจะหาเหตุผลได้จากการศึกษาครั้งนี้ จะต้องไปที่ห้องสมุด อ่านตำราพื้นฐานเพื่อหาเหตุผลที่แท้จริง

 

 

ตอนนี้อยู่ในจุดที่ไม่ต้องอายกันแล้ว การคิดค้นสิ่งพิมพ์พึ่งจะมีขึ้นได้ไม่นานซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากจารึก ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงของการคาดเดา จะมีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากไหนมาให้พวกเขาศึกษากัน

 

 

หลังจากที่ล้มเหลวอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มไตร่ตรองว่าปัญหาเกิดขึ้นที่จุดไหน ปี้เซิงในราชวงศ์ซ่งสามารถทำได้ก็ไม่มีเหตุผลที่ตัวเองจะทำไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็เทแท่งหมึกออกมาวางกระจายอยู่บนโต๊ะไม้ ก็ถือว่าไม่แย่ เวลาใช้พิมพ์ลายเส้นคมชัด ระยะห่างและขีดตัวอักษรก็ไม่มีปัญหา กำลังจะเอาไปให้ชายเฒ่าดู ก็เห็นสองพ่อลูกกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเอือมระอา

 

 

“ไอ้หนุ่ม หมึกของเจ้าผสมด้วยกลิ่นหอมของไม้กฤษณาชั้นดี อีกทั้งยังมีชาดแดง ผงแร่ และยังมีแม้กระทั่งยาไล่แมลง ของราคาแพงเช่นนี้มีเพียงไม่กี่ตระกูลในฉางอันที่จะมีไว้ครอบครองได้ แต่เจ้ากับเอามันมาพิมพ์หนังสือ ใช้หมึกดีพิมพ์ออกมาเช่นนี้ใครจะซื้อไหว มิน่าล่ะทุกคนถึงได้เรียกเจ้าว่าทายาทจอมล้างผลาญ”

 

 

เหยียนจือทุยไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมฟุ่มเฟือยของอวิ๋นเยี่ย ในสายตาของชายเฒ่ามีเพียงแค่ความเร็วในการพิมพ์ ราคาถูกและมีคุณภาพจึงจะทำให้เขาอยากจะเผยแพร่หนังสือ เขาได้คำนวณไว้แล้วว่าควรจะพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับความรู้จำนวนกี่เล่ม ส่วนผลงานของคนอื่นๆ นั้นก็ถูกชายเฒ่าเลื่อนการพิมพ์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด

 

 

มีแค่ความบ้าคลั่งเท่านั้นที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ อวิ๋นเยี่ยทิ้งแท่งหมึกในมืออย่างไม่ไยดี ทำจิตใจที่บ้าคลั่งให้สงบลง มองดูความห่อเ**่ยวของชายเฒ่า ในใจก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย การให้ชายเฒ่าอายุเกือบร้อยปีมาทำวิจัยอยู่นี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

 

 

“ท่านผู้เฒ่า ท่านสบายใจได้ ถึงแม้ว่าตัวอักษรที่แกะสลักจากดินเผาจะไม่สำเร็จ แต่ว่าตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้จะต้องสำเร็จแน่นอน สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ก็มีเพียงการแกะสลักและหมึกเท่านั้น ข้าเคยไปถามมาแล้ว ซงเยียนสามารถทำได้ ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป ท่านแค่เรียบเรียงรายชื่อหนังสือที่ต้องการพิมพ์มา ที่เหลือก็มอบให้ข้าน้อยจัดการ กว่าจะถึงวันเกิดของท่านก็ยังมีเวลาอีกสองเดือน ข้าน้อยจะใช้สิ่งนี้มาเป็นของขวัญเพื่อฉลองให้แก่ท่าน”

 

 

เหยียนจือทุยลูบหน้าตัวเอง พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด หากข้าอยู่ตรงนี้จะเป็นภาระเปล่าๆ ทำให้เจ้าต้องเป็นกังวล จึซั่นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ ให้คนที่เข้าใจเรื่องนี้เป็นคนจัดการดีกว่าที่พวกเรามานั่งเดาสุ่มสั่งการมั่วๆ”

 

 

เหยียนจึซั่นบังคับเกวียนพาพ่อกลับจวน เมื่ออวิ๋นเยี่ยส่งพวกเขาไปแล้วก็หันกลับไปสั่งให้คนจัดการเชิญกงซูมู่ หลี่ไท่ และกลุ่มคนที่คลั่งไคล้งานวิจัยของสำนักศึกษา เป็นแนวคิดที่ง่ายมาก มีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยในสำนักศึกษาที่ชอบการแกะสลัก ทั้งหมดถูกดึงมาช่วยงานแกะสลักไม้ อาจารย์อวี้ซันที่ลายมือสวยงามเป็นคนเขียนแบบอย่างตัวอักษร แต่ว่าเนื่องจากต้องเขียนกลับด้านอวิ๋นเยี่ยจึงกังวลว่าจะมีอะไรผิดพลาดจึงคิดจะเตือนอาจารย์อวี้ซัน แต่ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ถูกระเบิดลง

 

 

คนที่โมโหอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีแค่อาจารย์อวี้ซันคนเดียว ยังมีกงซูมู่และหลี่ไท่ที่โมโหเช่นกัน พึ่งจะก้าวเข้าประตูมาก็เห็นตงซูมู่ชี้มือไปที่ประตูใหญ่ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไป หลังจากที่อาจารย์ลูกศิษย์คู่นี้เดินผ่านประตูเข้ามา สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือคนที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่างแบบอวิ๋นเยี่ย

 

 

ยังดีที่ลูกศิษย์คนอื่นๆ ไม่ได้เป็นแบบพวกเขา ระหว่างที่แกะสลักลูกศิษย์ยังนำกาน้ำชาที่อาจารย์อวิ๋นชอบมาให้เขาอีกด้วย ลูกศิษย์ตระกูลกงซูสองสามคนก็ช่วยกันเหลาไม้ไม่หยุด ไม้แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากัน หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยใช้ไม้ฉากวัดเขาได้พบว่าแทบจะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เด็กพวกนั้นไม่มีไม้บรรทัด พวกเขาอาศัยสายตาและกบไสไม้ทำแผ่นไม้ที่อวิ๋นเยี่ยต้องการได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลอวิ๋นไม่เคยขาดแคลนไม้การบูรทอง หากไม่ใช่เพราะว่าตำหนักว่านหมินกำลังซ่อมแซมอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็จะมีไม้การบูรมากกว่านี้อีก

 

 

สามครั้ง ทดลองมาสามครั้งแล้ว หลี่ไท่นำคัมภีร์หลุนอวี่ที่พิมพ์เสร็จแล้วมาให้อวิ๋นเยี่ยดู หลี่ไท่ดูหมิ่นคนที่พยายามมาทั้งวันแต่กลับไม่ได้ผลอะไรเลยอย่างอวิ๋นเยี่ยเป็นที่สุด

 

 

ไม่สนใจว่าตอนนี้จะดึกดื่นแค่ไหน เขาได้ให้องครักษ์นำแม่พิมพ์ไปส่งที่ตระกูลเหยียนสองคืนติดแล้ว หากไม่รีบนำไปส่ง เหยียนจือทุยก็จะนอนไม่หลับ คนแก่ควรจะพักผ่อนให้เยอะๆ

 

 

ตัวอักษรแกะสลักจากไม้จะให้ใครมาทำก็ทำได้ นี่เป็นคำพูดของกงซูมู่ ความหมายก็คืออวิ๋นเยี่ยและอาจารย์คนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องใช้สมองก็สามารถทำได้ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนชิมชาจากตระกูลอวิ๋นที่ได้มาใหม่อย่างเย่อหยิ่ง ในมือถือขนมเปี๊ยะที่อวิ๋นเยี่ยเตรียมไว้ให้เหล่าอาจารย์กินไปดื่มไป แล้วก็พูดจาถากถางอวิ๋นเยี่ยไปด้วย โดยเฉพาะคนที่ปากคอเลาะร้ายอย่างหลี่ไท่

 

 

“ข้าชื่นชมผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านทั้งสองคนยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าจะนำคำติชมของท่านบอกแก่เหยียนจือทุย อาจารย์หลี่กัง อาจารย์หยวนจาง อาจารย์หลีสือ อาจารย์จินจู๋ และเหยียนจึซั่น บอกพวกเขาว่าต่อหน้าคนที่มีปัญญาสูงส่งอย่างท่านทั้งสองข้าก็เป็นแค่คนต่ำต้อย ไม่รู้ว่าภายใต้คำวิจารณ์ของคนทั้งโลกอาจารย์กงซูมู่จะยังคงรักษาความสูงส่งเช่นนี้ไว้ได้หรือไม่ สำหรับหลี่ไท่นั้นผู้เฒ่าเหยียนจะต้องไปถามฮองเฮาเป็นแน่ว่านางเลี้ยงลูกมาอย่างไร”

 

 

หลี่ไท่วางขนมเปี๊ยะในมือลงอย่างเคร่งขรึม หันไปพูดกับกงซูมู่ว่า “เมื่อตัวอักษรที่แกะสลักจากดินเหนียวถูกเผาจนแข็งตัวแล้ว พิมพ์ออกมาลายเส้นจะต้องสวยกว่าตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้เป็นแน่ และมีความทนทานต่อการใช้งานมากกว่า ข้าค้นพบว่าการตรวจสอบและความเร็วในการจัดเรียงตัวอักษรยังสามารถพัฒนาได้มากกว่านี้ ควรจะมีเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพ ศิษย์กะว่าจะขังตัวเองไว้สักสองสามวันเพื่อตั้งใจศึกษาค้นคว้า ข้าจึงต้องขอลาอาจารย์ไปก่อน”

 

 

เห็นหลี่ไท่รีบจากไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย กงซูมู่ยิ้มแหยๆ แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เห็นหรือยัง เดินหนึ่งก้าวก็มองไปถึงก้าวที่สาม นี่เป็นลักษณะนิสัยของเด็กคนนี้ พวกเราพึ่งจะทำตัวอักษรแกะสลักจากไม้ขึ้นมา เขาก็คิดไปถึงการพัฒนาประสิทธิภาพแล้ว ทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ช่างโชคดีจริงๆ ที่ข้ามีลูกศิษย์เช่นนี้ แต่ว่าการปล่อยให้อาจารย์ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพียงคนเดียวมันใช้ได้ที่ไหนกัน”

 

 

“เจ้ามีลูกศิษย์เช่นนี้ถือว่าเจ้าโชคดี การสร้างตำหนักว่านหมินไม่ได้เป็นไปตามแบบอย่างที่กำหนดไว้ ความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้เขาก็ออกรับผิดแทนเจ้าโดยที่ไม่ได้ถามอะไร ตระกูลเจ้าควรลองอ่านหนังสือมารยาทดูบ้าง ตามหลักธาตุห้าประการ ต้าถังสนับสนุนธาตุไฟ แต่เจ้าต้องการจะทำให้มันกลายเป็นธาตุดิน ทำให้ช่างฝีมือคนอื่นๆ ต้องอดตาย มีเพียงแค่ลูกศิษย์ตระกูลเจ้าเท่านั้นที่มีงานทำ โบราณกล่าวไว้ว่าความแข็งแกร่งถูกสร้างมาจากรากฐานของดิน น้ำเป็นสะพานเชื่อม ไฟเป็นต้นกล้า คำพูดเหล่านี้ได้หักล้างความคิดของลัทธิขงจื๊อจนไม่สามารถโต้แย้งได้ ราชวงศ์อื่นมีคุณธรรมเพียงหนึ่งเดียว แต่ต้าถังมีสามอย่าง ขาดก็แค่หัวหน้าหน่วยประหารอย่างธาตุทอง และสิ่งมีชีวิตชีวาอย่างธาตุไม้ ผู้มีปรีชาสามารถอย่างฝ่าบาทยังหลงเชื่อ ทำให้ตระกูลเจ้าหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ครั้งนี้เจ้ารับความผิดเล็กๆ น้อยๆ แทนเขาก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของกงซูมู่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เดิมทีคิดว่าเพียงแค่มีตำหนักสวยๆ ที่สร้างขึ้นมาตามพื้นฐานก็พอแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนที่ตกแต่งระเบียงจะเหลือสีเหลืองเยอะขนาดนี้ กงซูเจี่ยใช้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร อย่างไรไม่ว่าจะเป็นสีอะไรสุดท้ายก็จะถูกเคลือบทับ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ใครจะไปรู้ว่าขุนนางฝ่ายพิธีกรรมได้บังเอิญมาเจอเข้าตอนคุมงานจึงทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาทำให้มีคำสั่งหยุดการทำงานแล้วควบคุมตัวกงซูเจี่ยไปเข้าคุกเพื่อรอฟังคำสั่ง ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยอยู่ที่หลิ่งหนานไม่สามารถช่วยเหลือได้จึงขอให้หลี่ไท่ออกโรงแทน

 

 

เว่ยอ๋อง ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ เมื่อมาถึงตำหนักก็ทำเอาความคิดพื้นฐานของขุนนางฝ่ายพิธีกรรมกลับหัวกลับหางไปหมด แม้แต่ระบบที่ถูกเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ยังถูกจัดการขึ้นใหม่ บทสรุปสุดท้ายก็คือนี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ธาตุทั้งห้าเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ในขณะที่ผู้คนเริ่มรับรู้สิ่งต่างๆ ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจำต้องละทิ้งสิ่งเก่าๆ เหล่านี้ ไม่ควรที่จะมองโลกใหม่ด้วยหลักธรรมเก่าๆ เช่นนี้

 

 

หลี่ซื่อหมินนั่งมองดูลูกชายที่พูดจาฉะฉานอย่างภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยอมรับความคิดของลูกชาย แต่ก็ไม่ได้ลงโทษกงซูเจี่ย เพียงแค่ออกคำสั่งให้ทำใหม่ก็เท่านั้น

 

 

ผู้ประกอบพิธีกรรมหลายคนที่เคยเป็นอาจารย์ของหลี่ไท่ พวกเขาดึงคอเสื้อของหลี่ไท่หวังจะให้หลี่ไท่พูดให้ชัดเจนว่าเหตุใดธาตุทั้งห้าจึงไม่สามารถอยู่ร่วมเกิดร่วมดับได้ หลี่ไท่เข้าใจอย่างชัดเจนจึงได้พาพวกเขากลับไปที่สำนักศึกษา หลังจากพวกเขาสองสามคนปิดประตูและยืนอัดกันอยู่ในห้องทดลองเป็นเวลาสองชั่วโมงก็ต้องเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง เหลือเพียงหลี่ไท่ที่ยืนยักไหล่อยู่หน้าห้องทดลองมองดูคนรับใช้ทำความสะอาดสนามรบ หลี่ไท่ไม่เคยสะเพร่าเรื่องการเก็บกวาดห้องทดลอง

 

 

“อวิ๋นเยี่ย คำพูดเหล่านี้มีเพียงหลี่ไท่เท่านั้นที่พูดได้ หากเป็นคนอื่นๆ พูดคำพูดเหล่านี้ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏและถูกตัดหัวแขวนไว้ที่ตลาดทางด้านตะวันตก เรื่องทั้งหมดถือเป็นความประมาทของเจี่ยเอ๋อร์ ราชวงศ์ไม่มีเรื่องในตระกูลให้ต้องกังวล เมื่อมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นก็จะถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับโชคชะตาของประเทศ การทำเรื่องที่จัดการได้ยากไม่อาจได้ผลกำไร มีเพียงก็แต่ชื่อเสียงเท่านั้นที่จะได้มา

 

 

จริงสิ ที่เจ้าพยายามอย่างมากในครั้งนี้เพื่อเหยียนจือทุยเป็นเพราะอะไร เรื่องท่านย่ากับลูกสาวของเจ้าก็คงไม่ถึงขั้นต้องทำเช่นนี้ หากเป็นเพราะเคารพผู้เฒ่ายิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ เถียนเซียงจื่อก็เป็นผู้เฒ่าแต่กลับถูกเจ้าส่งให้ไปตายโดยที่เจ้าไม่รู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่นิด”

 

 

อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่หน้าประตู มองขึ้นไปบนฟ้าดูดวงดาวที่สว่างไสวแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าเป็นคนดี เป็นนักปราชญ์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยม ไม่รู้จักกลลวง จนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีจิตใจที่ไร้เดียงสา ใช้ชีวิตมาเกือบร้อยปีก็เพียงแค่อยากจะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรม การทำให้คนแก่คนหนึ่งสมปรารถนาในครั้งสุดท้ายมีอะไรไม่ถูกอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ไม่ผิดหรอก เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เหยียนจือทุยเป็นผู้มีความชอบธรรม สมควรที่จะได้รับการยกย่อง แต่ว่าสิ่งที่ข้าจะถามก็คือเจ้าต้องการจะทำอะไร ไม่ได้จะถามถึงของที่เอามาด้วย”