อยู่ๆพวกนางก็รู้สึกขึ้นมาว่า ที่พวกนางไม่ได้ถูกตู๋กูซิงหลันสังหารตายไปตั้งแต่แรกนั้นที่จริงต้องถือว่าโชคดีแล้ว
เยี่ยอิงขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ยันต์สีเหลืองเหล่านี้ไม่เพียงแต่กักขังร่างเนื้อของนางเท่านั้น แม้แต่พลังวิญญาณของนางก็ยังถูกกักขังเอาไว้ด้วย
นางกำดาบโซ่เอาไว้ในมืออย่างแน่นหนา สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จับตามองดูตู๋กูซิงหลัน เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบของผู้ที่กล้ามาเป็นปรปักษ์กับเผ่ามังกรทมิฬคือเช่นไร?”
ตู๋กูซิงหลันเชิดริมฝีปากสีแดงขึ้น ตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รู้หรือไม่ว่า หากเป็นปรปักษ์กับเราตู๋กูซิงหลันจะต้องมีจุดจบเช่นไร?”
ท่าทางที่ยโสโอหังเช่นนั้น ราวกับว่าถึงแม้เหล่าทวยเทพบนสวรรค์ชั้นฟ้าจะลงมาตรงหน้า นางก็ยังคงจะไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่ดี
เยี่ยอิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ทั่วทั้งหกภพภูมิต่างก็มีผู้ที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอยู่………แต่นางถึงกับวางตนเองเอาไว้เหนือเผ่ามังกรทมิฬ?
ที่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน เป็นบัลลังก์ของราชามังกรตะวันตกพอดี บางที่อาจเพราะยืนจนเมื่อยแล้ว นางจึงได้นั่งลงไป ทั้งยังชันขาข้างหนึ่งขึ้นมายันอยู่บนบัลลังก์
ดาบยักษ์วางอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เพียงจ้องมองไปยังเยี่ยอิง ขณะที่จับตามองดูองค์หญิงจากเผ่ามังกรทมิฬผู้นั้นในใจของตู๋กูซิงหลันก็บังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา
นางใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ หรี่ตามองไป “อ้อ ลืมบอกเจ้าไป ว่าข้ายังมีคนให้ท้ายอีกด้วย”
“อะไรนะ?” เยี่ยอิงตะลึงไปเล็กน้อย
ผู้อื่นล้วนพากันตกใจขึ้นมา นางแข็งแกร่งจนถึงขั้นตัวประหลาดขนาดนี้แล้ว …..แล้วยังจะต้องมีตัวประหลาดจากไหน มาคอยให้ท้ายนางอีกหรือ?
ตู๋กูเจวี๋ยย่อมต้องนึกไปถึงคนในครอบครัวในทันที
ตัวเขานอกจากจะอาศัยฝีปากเป็นที่พึ่งแล้ว….ก็ดูเหมือนจะไม่มีคุณค่าอื่นใดอีก
เช่นนั้นก็คงจะเป็นพี่ใหญ่และท่านปู่แล้ว ….สมควรใช่อยู่ พญายมมีชีวิตทั้งสองคนนั้น สามารถเป็นกองหนุนให้กับน้องเล็กได้อย่างแน่นอน
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงตู๋กูซิงหลันเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อยออกไปว่า “โอรสสวรรค์แห่งต้าโจว จีเฉวียน เคยได้ยินหรือไม่?”
ผู้คนทั้งหลาย “?”
ชื่อหลี “……” ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่า สตรีผู้นั้นกำลังจะก่อเรื่องเข้าแล้ว
และแล้ว ก็เห็นนัยตาของตู๋กูซิงหลันมีประกายเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที “ก็คือ บุรุษที่ทั้งสูงทั้งหล่อทั้งเย็นชา บุตรชายของข้า……ผู้ที่แข็งแกร่งแบบไร้เหตุผล”
ในมุมอับของวังมังกร จีเฉวียนได้ทรงฟังคำพูดทั้งหมดนั้นอย่างชัดเจน
หลงเซียวที่อยู่ข้างพระวรกาย กล่าวย้ำขึ้นมาอีกหนหนึ่ง “ฝ่าบาท ไทเฮาทรงชมพระองค์ว่าทั้งสูงทั้งหล่อทั้งเย็นชาและแข็งแกร่งนะพะยะค่ะ”
แววพระเนตรของจีเฉวียนเปล่งประกาย “เราไม่ได้หูหนวก”
หลงเซียว “ฝ่าบาท พระองค์ดีพระทัยหรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้มิได้ทรงสนพระทัยเขาอีก ที่ซิงซิงพูดมาล้วนเป็นความจริง พระองค์ยังจะต้องไปดีอกดีใจทำไมกัน
คราวก่อนพระองค์ทรงถูกมัดมือมัดเท้าหิ้วออกไปจากตำหนักหย่งหนิงกง……
หลังจากนั้นทุกๆวันก็จะปรากฏพระองค์ที่เบื้องหน้านางในที่เดิมเวลาเดิม
ตอนแรกๆ ซิงซิงก็ยังคอยเฆี่ยนพระองค์อีกหลายแส้ แต่หลังจากนั้นก็คร้านจะโบยตีพระองค์อีกแล้ว
แต่กลับทำเสมือนพระองค์ทรงเป็นอากาศธาตุ
ครั้งนี้นางพาตู๋กูเจวี๋ยลงมาในทะเลตะวันตก พระองค์ก็แอบตามมาอย่างเงียบๆแต่แรกแล้ว
ตลอดเวลานั้นมีอยู่หลายๆครั้งที่ทรงแทบจะทนไม่ไหวคิดจะลงมือบ้าง….แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอดทนอยู่ได้
นางแข็งแกร่งมาก ยังแข็งแกร่งกว่าที่พระองค์ได้คาดคิดเอาไว้มากนัก
นางก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว ต่อไปจะต้องมีอนาคตอีกยาวไกล พระองค์มิอาจทำเหมือนดังเช่นครั้งก่อนๆ เอาแต่ปกป้องอยู่ตลอดเวลา จำเป็นจะต้องเรียนรู้การปล่อยมือดูบ้าง
วันนี้ ก็เช่นกัน
หลงเซียวยืนอยู่ข้างพระองค์ อย่างมิค่อยเข้าใจฝ่าบาทของตนเองเท่าไรนัก ทั้งๆที่ทรงห่วงใยจะเป็นจะตาย แต่กลับไม่กล้าเผยพระพักตร์ออกไป
ได้แต่แอบดูการประลองอยู่ตรงนี้
พอไทเฮาน้อยบาดเจ็บขึ้นมานิดหนึ่ง ก็เห็นสายพระเนตรของพระองค์มีเส้นโลหิตแดงเกิดขึ้นมาในทันที
แต่ว่าถึงตอนนี้ก็ยังทรงอดทนเอาไว้ได้
“นั่นคือตัวอะไรกัน?”
เยี่ยอิงมิได้สนใจคนผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย นางคิดแต่จะจับสตรีผู้นี้กลับไปคลอดบุตรให้พี่ชายเท่านั้น
“เขาไม่ใช่ตัวอะไร” ตู๋กูซิงหลันทำปากยื่น “บุตรชายผู้นี้เก่งกาจอย่างไม่ต้องหาเหตุผล เกรงว่าแม้แต่พี่ชายของเจ้าก็ยังสามารถสับได้ราวกับแตงโม คนเผ่ามังกรทมิฬของเจ้าบุกมาคนหนึ่ง เขาก็สามารถสังหารได้คนหนึ่ง มาคู่หนึ่งก็สามารถสังหารได้ทั้งสองคน เอาเป็นว่าจะอย่างไรข้าก็ไม่กลัว เพราะว่าขอแค่มีเขาอยู่ เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่อาจแตะต้องข้าได้แม้แต่เส้นผมสักเส้น”
ตู๋กูซิงหลันเบื่อหน่ายกับการตามตื้อในระยะนี้ของจีเฉวียนเต็มทีแล้ว ที่สาดน้ำครำใส่รอบนี้ เพราะคิดจะหาเรื่องให้กับโอรสสวรรค์ที่ว่างจนเบื่อโลกผู้นั้นทำบ้าง
เยี่ยอิงได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ชักจะไม่ยินดีขึ้นมา
พี่ชายคือเทพบุรุษในใจของนาง นี่ถึงกับกล้าคุยโม้ว่ามีคนที่สามารถสับเขาได้เหมือนผ่าแตงโม?
นัยตาของนางจุดประกายหนาวเย็นขึ้นมา ฝ่ามือกำเป็นหมัดยกขึ้นมาอย่างช้าๆ พลังมังกรในร่างอัดแน่นจนคลุ้มคลั่งอยู่ภายในร่าง
“จำเอาไว้นะ ก็ที่จะมาหาเรื่องข้า อย่าลืมไปผ่านด่านบุตรชายของข้ามาก่อน หากทำไม่ได้ ชาตินี้พวกเจ้าก็อย่าได้หวังจะแตะต้องข้าได้เลย”
ดูนางทำหน้าทำตาเข้าสิ พูดเสียราวกับว่าเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น
ทำเอาพวกเขาอดจะลังเลไม่ได้ นี่พวกตนกำลังโอหังเกินไปหรือไม่
ฮ่องเต้ของเผ่ามนุษย์แต่ละคน ยังเหนือล้ำยิ่งกว่าอีกคนหนึ่งจริงหรือ?
ขนาดอยู่ต่อหน้าเผ่ามังกรทมิฬก็ยังสามารถโอ้อวดได้ถึงเพียงนี้?
ตอนนี้ ชือหลีและตู๋กูเจวี๋ยต่างก็เข้าใจแล้ว …..ตู๋กูซิงหลันกำลังลากความแค้นไปทางจีเฉวียนนั่นเอง
ชือหลีอยู่ในวังมังกรตะวันตกมาพักใหญ่แล้วจึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องใดขึ้นกัน
นางมองดูตู๋กูเจวี๋ยแวบหนึ่ง คิดจะฟังคำอธิบาย
ตู๋กูเจวี๋ยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กระซิบที่ริมหูนางอย่างจะให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นหอบเอาแสงจันทรากลับไป ทำร้ายจิตใจของน้องข้า นี่เป็นการแก้แค้นเขา”
ชือหลีประหลาดใจอย่างที่สุดขึ้นมา….นี่ช่างทำให้ผู้คนต้องปวดฟันกันใหญ่แล้ว
ตู๋กูซิงหลัน….กำลังหวั่นไหวใจอยู่ชัดๆ และเพราะว่าโกรธจนไม่มีที่ระบายถึงได้ทำลงไปเช่นนี้
สตรีนั้น….ยามที่ชอบใครสักคน ก็สามารถจะเปลี่ยนเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยได้อย่างง่ายดาย
โดเฉพาะคนอย่างตู๋กูซิงหลัน ที่ยามปกติมีแต่ความเย็นชา แต่ว่าพอตกหลุมรักขึ้นมา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นย่อมรุนแรงกว่าคนทั่วไปหลายต่อหลายเท่า
มิน่าเล่านางจึง…..
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันลากเชื้อไฟแห่งความชิงชังไปเรื่อยนั้น ดวงตาสีครามของเยี่ยอิงก็ยิ่งทียิ่งแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเอง ได้ยินเสียงนางคำรามขึ้นมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กลายร่างเป็นมังกรยักษ์สีครามตัวหนึ่งในทันที!
ทั่วทั้งร่างแผ่กระจายความกดดันที่สุดจะเย็นยะเยือกออกมา แรงกดดันทำให้เผ่ามังกรทั้งหลายจำต้องคุกเข่าลงไปบนพื้น แม้แต่ชือหลีเองก็ไม่แตกต่าง!
นางถลึงตาทั้งคู่ เล็บมังกรที่แข็งแกรงดุจเหล็กกล้าตะปบลงมา ทำให้แผ่นยันต์สีเหลืองของตู๋กูซิงหลันฉีกขาดจนกลายเป็นผุยผงไปจนหมด!
จากนั้นก็เห็นนางกางกรงเล็บมังกรที่แหลมออกมาพุ่งเข้าใส่ตู๋กูซิงหลัน
ด้วยพลังที่ทั้งดุดันทั้งโหดเ**้ยมและหนาวเย็นสุดหยั่ง!
พลังที่กระจายของมาจากร่างนั้นแทบจะทำให้วังมังกรทั้งหลังทะลายลงมาแล้ว!
แผ่นหินด้านบนขนาดใหญ่ถล่มลงมาใส่หัวเรื่อยๆ กระแทกกับพื้นจนกลายเป็นหลุมบ่อมากมาย
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน เส้นผมที่สยายยาวของนางถูกพลังของเยี่ยอิงพัดจนปลิวไปด้านหลัง
กรงเล็บมังกรของเยี่ยอิงมีขนาดใหญ่กว่าดาบยักษ์ของนางอีก พอสะบัดลงมาแต่ละที ก็มุ่งเป้าตะครุบลงไปบนอกของนาง
ตู๋กูซิงหลันขยับร่างหลบหลีก ก็เห็นลู่เวยที่อยู่ด้านข้างพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต กอดขาของนางเอาไว้แนบแน่น ส่งเสียงตะโกนว่า “องค์หญิงเพคะ ข้าช่วยท่านจับนางเอาไว้แล้ว ท่านรีบฆ่านางเลย!”
ตู๋กูซิงหลันเตะนางกระเด็นออกไปในครั้งเดียว แต่เพราะการขัดขวางในชั่ววินาทีของลู่เวย ทำให้กรงเล็บของเยี่ยอิงพุ่งเข้ามาถึงตัวของนาง จะหลบอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว!
แววตาของนางวาววาบขึ้นมา ทันใดนั้นประกายแสงสีทองก็พุ่งเข้ามาตรงหน้านางด้วยความเร็วกว่าสายฟ้าฟาด
…………………………….
ตอนต่อไป “บุรุษที่หนุนหลังซิงซิง”