ตอนที่ 418 จีเฉวียนมิใช่ตัวอะไร

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

อยู่ๆพวกนางก็รู้สึกขึ้นมาว่า ที่พวกนางไม่ได้ถูกตู๋กูซิงหลันสังหารตายไปตั้งแต่แรกนั้นที่จริงต้องถือว่าโชคดีแล้ว 

 

 

เยี่ยอิงขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ยันต์สีเหลืองเหล่านี้ไม่เพียงแต่กักขังร่างเนื้อของนางเท่านั้น แม้แต่พลังวิญญาณของนางก็ยังถูกกักขังเอาไว้ด้วย 

 

 

นางกำดาบโซ่เอาไว้ในมืออย่างแน่นหนา สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จับตามองดูตู๋กูซิงหลัน เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบของผู้ที่กล้ามาเป็นปรปักษ์กับเผ่ามังกรทมิฬคือเช่นไร?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเชิดริมฝีปากสีแดงขึ้น ตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รู้หรือไม่ว่า หากเป็นปรปักษ์กับเราตู๋กูซิงหลันจะต้องมีจุดจบเช่นไร?” 

 

 

ท่าทางที่ยโสโอหังเช่นนั้น ราวกับว่าถึงแม้เหล่าทวยเทพบนสวรรค์ชั้นฟ้าจะลงมาตรงหน้า นางก็ยังคงจะไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่ดี 

 

 

เยี่ยอิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ทั่วทั้งหกภพภูมิต่างก็มีผู้ที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอยู่………แต่นางถึงกับวางตนเองเอาไว้เหนือเผ่ามังกรทมิฬ? 

 

 

ที่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน เป็นบัลลังก์ของราชามังกรตะวันตกพอดี บางที่อาจเพราะยืนจนเมื่อยแล้ว นางจึงได้นั่งลงไป ทั้งยังชันขาข้างหนึ่งขึ้นมายันอยู่บนบัลลังก์ 

 

 

ดาบยักษ์วางอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เพียงจ้องมองไปยังเยี่ยอิง ขณะที่จับตามองดูองค์หญิงจากเผ่ามังกรทมิฬผู้นั้นในใจของตู๋กูซิงหลันก็บังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา 

 

 

นางใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ หรี่ตามองไป “อ้อ ลืมบอกเจ้าไป ว่าข้ายังมีคนให้ท้ายอีกด้วย” 

 

 

“อะไรนะ?” เยี่ยอิงตะลึงไปเล็กน้อย 

 

 

ผู้อื่นล้วนพากันตกใจขึ้นมา นางแข็งแกร่งจนถึงขั้นตัวประหลาดขนาดนี้แล้ว …..แล้วยังจะต้องมีตัวประหลาดจากไหน มาคอยให้ท้ายนางอีกหรือ? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยย่อมต้องนึกไปถึงคนในครอบครัวในทันที 

 

 

ตัวเขานอกจากจะอาศัยฝีปากเป็นที่พึ่งแล้ว….ก็ดูเหมือนจะไม่มีคุณค่าอื่นใดอีก 

 

 

เช่นนั้นก็คงจะเป็นพี่ใหญ่และท่านปู่แล้ว ….สมควรใช่อยู่ พญายมมีชีวิตทั้งสองคนนั้น สามารถเป็นกองหนุนให้กับน้องเล็กได้อย่างแน่นอน 

 

 

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงตู๋กูซิงหลันเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อยออกไปว่า “โอรสสวรรค์แห่งต้าโจว จีเฉวียน เคยได้ยินหรือไม่?” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “?” 

 

 

ชื่อหลี “……” ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่า สตรีผู้นั้นกำลังจะก่อเรื่องเข้าแล้ว 

 

 

และแล้ว ก็เห็นนัยตาของตู๋กูซิงหลันมีประกายเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที “ก็คือ บุรุษที่ทั้งสูงทั้งหล่อทั้งเย็นชา บุตรชายของข้า……ผู้ที่แข็งแกร่งแบบไร้เหตุผล” 

 

 

ในมุมอับของวังมังกร จีเฉวียนได้ทรงฟังคำพูดทั้งหมดนั้นอย่างชัดเจน 

 

 

หลงเซียวที่อยู่ข้างพระวรกาย กล่าวย้ำขึ้นมาอีกหนหนึ่ง “ฝ่าบาท ไทเฮาทรงชมพระองค์ว่าทั้งสูงทั้งหล่อทั้งเย็นชาและแข็งแกร่งนะพะยะค่ะ” 

 

 

แววพระเนตรของจีเฉวียนเปล่งประกาย “เราไม่ได้หูหนวก” 

 

 

หลงเซียว “ฝ่าบาท พระองค์ดีพระทัยหรือไม่พะยะค่ะ?” 

 

 

ฮ่องเต้มิได้ทรงสนพระทัยเขาอีก ที่ซิงซิงพูดมาล้วนเป็นความจริง พระองค์ยังจะต้องไปดีอกดีใจทำไมกัน 

 

 

คราวก่อนพระองค์ทรงถูกมัดมือมัดเท้าหิ้วออกไปจากตำหนักหย่งหนิงกง…… 

 

 

หลังจากนั้นทุกๆวันก็จะปรากฏพระองค์ที่เบื้องหน้านางในที่เดิมเวลาเดิม 

 

 

ตอนแรกๆ ซิงซิงก็ยังคอยเฆี่ยนพระองค์อีกหลายแส้ แต่หลังจากนั้นก็คร้านจะโบยตีพระองค์อีกแล้ว 

 

 

แต่กลับทำเสมือนพระองค์ทรงเป็นอากาศธาตุ 

 

 

ครั้งนี้นางพาตู๋กูเจวี๋ยลงมาในทะเลตะวันตก พระองค์ก็แอบตามมาอย่างเงียบๆแต่แรกแล้ว 

 

 

ตลอดเวลานั้นมีอยู่หลายๆครั้งที่ทรงแทบจะทนไม่ไหวคิดจะลงมือบ้าง….แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอดทนอยู่ได้ 

 

 

นางแข็งแกร่งมาก ยังแข็งแกร่งกว่าที่พระองค์ได้คาดคิดเอาไว้มากนัก 

 

 

นางก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว ต่อไปจะต้องมีอนาคตอีกยาวไกล พระองค์มิอาจทำเหมือนดังเช่นครั้งก่อนๆ เอาแต่ปกป้องอยู่ตลอดเวลา จำเป็นจะต้องเรียนรู้การปล่อยมือดูบ้าง 

 

 

วันนี้ ก็เช่นกัน 

 

 

หลงเซียวยืนอยู่ข้างพระองค์ อย่างมิค่อยเข้าใจฝ่าบาทของตนเองเท่าไรนัก ทั้งๆที่ทรงห่วงใยจะเป็นจะตาย แต่กลับไม่กล้าเผยพระพักตร์ออกไป 

 

 

ได้แต่แอบดูการประลองอยู่ตรงนี้ 

 

 

พอไทเฮาน้อยบาดเจ็บขึ้นมานิดหนึ่ง ก็เห็นสายพระเนตรของพระองค์มีเส้นโลหิตแดงเกิดขึ้นมาในทันที 

 

 

แต่ว่าถึงตอนนี้ก็ยังทรงอดทนเอาไว้ได้ 

 

 

“นั่นคือตัวอะไรกัน?” 

 

 

เยี่ยอิงมิได้สนใจคนผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย นางคิดแต่จะจับสตรีผู้นี้กลับไปคลอดบุตรให้พี่ชายเท่านั้น 

 

 

“เขาไม่ใช่ตัวอะไร” ตู๋กูซิงหลันทำปากยื่น “บุตรชายผู้นี้เก่งกาจอย่างไม่ต้องหาเหตุผล เกรงว่าแม้แต่พี่ชายของเจ้าก็ยังสามารถสับได้ราวกับแตงโม คนเผ่ามังกรทมิฬของเจ้าบุกมาคนหนึ่ง เขาก็สามารถสังหารได้คนหนึ่ง มาคู่หนึ่งก็สามารถสังหารได้ทั้งสองคน เอาเป็นว่าจะอย่างไรข้าก็ไม่กลัว เพราะว่าขอแค่มีเขาอยู่ เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่อาจแตะต้องข้าได้แม้แต่เส้นผมสักเส้น” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเบื่อหน่ายกับการตามตื้อในระยะนี้ของจีเฉวียนเต็มทีแล้ว ที่สาดน้ำครำใส่รอบนี้ เพราะคิดจะหาเรื่องให้กับโอรสสวรรค์ที่ว่างจนเบื่อโลกผู้นั้นทำบ้าง 

 

 

เยี่ยอิงได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ชักจะไม่ยินดีขึ้นมา 

 

 

พี่ชายคือเทพบุรุษในใจของนาง นี่ถึงกับกล้าคุยโม้ว่ามีคนที่สามารถสับเขาได้เหมือนผ่าแตงโม? 

 

 

นัยตาของนางจุดประกายหนาวเย็นขึ้นมา ฝ่ามือกำเป็นหมัดยกขึ้นมาอย่างช้าๆ พลังมังกรในร่างอัดแน่นจนคลุ้มคลั่งอยู่ภายในร่าง 

 

 

“จำเอาไว้นะ ก็ที่จะมาหาเรื่องข้า อย่าลืมไปผ่านด่านบุตรชายของข้ามาก่อน หากทำไม่ได้ ชาตินี้พวกเจ้าก็อย่าได้หวังจะแตะต้องข้าได้เลย” 

 

 

ดูนางทำหน้าทำตาเข้าสิ พูดเสียราวกับว่าเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ทำเอาพวกเขาอดจะลังเลไม่ได้ นี่พวกตนกำลังโอหังเกินไปหรือไม่ 

 

 

ฮ่องเต้ของเผ่ามนุษย์แต่ละคน ยังเหนือล้ำยิ่งกว่าอีกคนหนึ่งจริงหรือ? 

 

 

ขนาดอยู่ต่อหน้าเผ่ามังกรทมิฬก็ยังสามารถโอ้อวดได้ถึงเพียงนี้? 

 

 

ตอนนี้ ชือหลีและตู๋กูเจวี๋ยต่างก็เข้าใจแล้ว …..ตู๋กูซิงหลันกำลังลากความแค้นไปทางจีเฉวียนนั่นเอง 

 

 

ชือหลีอยู่ในวังมังกรตะวันตกมาพักใหญ่แล้วจึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องใดขึ้นกัน 

 

 

นางมองดูตู๋กูเจวี๋ยแวบหนึ่ง คิดจะฟังคำอธิบาย 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กระซิบที่ริมหูนางอย่างจะให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นหอบเอาแสงจันทรากลับไป ทำร้ายจิตใจของน้องข้า นี่เป็นการแก้แค้นเขา” 

 

 

ชือหลีประหลาดใจอย่างที่สุดขึ้นมา….นี่ช่างทำให้ผู้คนต้องปวดฟันกันใหญ่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน….กำลังหวั่นไหวใจอยู่ชัดๆ และเพราะว่าโกรธจนไม่มีที่ระบายถึงได้ทำลงไปเช่นนี้ 

 

 

สตรีนั้น….ยามที่ชอบใครสักคน ก็สามารถจะเปลี่ยนเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยได้อย่างง่ายดาย 

 

 

โดเฉพาะคนอย่างตู๋กูซิงหลัน ที่ยามปกติมีแต่ความเย็นชา แต่ว่าพอตกหลุมรักขึ้นมา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นย่อมรุนแรงกว่าคนทั่วไปหลายต่อหลายเท่า 

 

 

มิน่าเล่านางจึง….. 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันลากเชื้อไฟแห่งความชิงชังไปเรื่อยนั้น ดวงตาสีครามของเยี่ยอิงก็ยิ่งทียิ่งแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ทันใดนั้นเอง ได้ยินเสียงนางคำรามขึ้นมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กลายร่างเป็นมังกรยักษ์สีครามตัวหนึ่งในทันที! 

 

 

ทั่วทั้งร่างแผ่กระจายความกดดันที่สุดจะเย็นยะเยือกออกมา แรงกดดันทำให้เผ่ามังกรทั้งหลายจำต้องคุกเข่าลงไปบนพื้น แม้แต่ชือหลีเองก็ไม่แตกต่าง! 

 

 

นางถลึงตาทั้งคู่ เล็บมังกรที่แข็งแกรงดุจเหล็กกล้าตะปบลงมา ทำให้แผ่นยันต์สีเหลืองของตู๋กูซิงหลันฉีกขาดจนกลายเป็นผุยผงไปจนหมด! 

 

 

จากนั้นก็เห็นนางกางกรงเล็บมังกรที่แหลมออกมาพุ่งเข้าใส่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ด้วยพลังที่ทั้งดุดันทั้งโหดเ**้ยมและหนาวเย็นสุดหยั่ง! 

 

 

พลังที่กระจายของมาจากร่างนั้นแทบจะทำให้วังมังกรทั้งหลังทะลายลงมาแล้ว! 

 

 

แผ่นหินด้านบนขนาดใหญ่ถล่มลงมาใส่หัวเรื่อยๆ กระแทกกับพื้นจนกลายเป็นหลุมบ่อมากมาย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน เส้นผมที่สยายยาวของนางถูกพลังของเยี่ยอิงพัดจนปลิวไปด้านหลัง 

 

 

กรงเล็บมังกรของเยี่ยอิงมีขนาดใหญ่กว่าดาบยักษ์ของนางอีก พอสะบัดลงมาแต่ละที ก็มุ่งเป้าตะครุบลงไปบนอกของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขยับร่างหลบหลีก ก็เห็นลู่เวยที่อยู่ด้านข้างพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต กอดขาของนางเอาไว้แนบแน่น ส่งเสียงตะโกนว่า “องค์หญิงเพคะ ข้าช่วยท่านจับนางเอาไว้แล้ว ท่านรีบฆ่านางเลย!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเตะนางกระเด็นออกไปในครั้งเดียว แต่เพราะการขัดขวางในชั่ววินาทีของลู่เวย ทำให้กรงเล็บของเยี่ยอิงพุ่งเข้ามาถึงตัวของนาง จะหลบอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว! 

 

 

แววตาของนางวาววาบขึ้นมา ทันใดนั้นประกายแสงสีทองก็พุ่งเข้ามาตรงหน้านางด้วยความเร็วกว่าสายฟ้าฟาด 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………………. 

 

 

ตอนต่อไป “บุรุษที่หนุนหลังซิงซิง”