ตอนที่ 417 นี่ไปหาเรื่องกับจอมมารตนใดเข้าแล้ว?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

คราวนี้ไม่เพียงแต่แผ่พลังในร่างออกมา แม้แต่เส้นผมและเสื้อผ้าของทั้งสองก็พลิ้วขึ้นไป

 

 

ทั้งสองห่างกันประมาณหนึ่งจั้ง แต่กลับเกิดพลังบดกระแทกปานจะเคี้ยวเลือดเนื้อให้แหลกเหลวกระจายออกไปรอบด้าน

 

 

ลู่กว่างยังติดอยู่ในอาณาเขตนี้ด้วย เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกำลังถูกบดขยี้จนใกล้จะแตกสลาย บีบอัดจนหายใจไม่ออก มีแต่ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เขายื่นมือออกไป พยายามคืบคลานออกไปอย่างสุดแรง

 

 

แรงบดขยี้ด้านหลังยังไล่ตามมา เขาคืบคลานอย่างเชื่องช้า จึงได้เห็นว่าสองขาของตนเองกำลังถูกบดขยี้จนกลายเป็นก้อนเนื้อที่แหลกเหลว!

 

 

เขาเจ็บปวดจนมีแต่เหงื่อท่วมศีรษะ ไม่กล้าหันศีรษะกลับไป ต้องเค้นกำลังจนถึงที่สุดถึงได้หลุดพ้นจากพื้นที่ต่อสู้ พอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าร่างท่อนล่างของตนเองนั้นไม่มีอีกแล้ว

 

 

เหลือแต่เพียงร่างท่อนบนที่ไม่มีกระดูกมังกรแล้วกำลังดิ้นรนอย่างอ่อนแรง

 

 

ดูแล้วช่างอนาถอย่างที่สุด

 

 

ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้ว ทุกคนหันไปมองดูแต่ตู๋กูซิงหลันและเยี่ยอิง

 

 

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า…..ฮ่องเต้หญิงของเผ่ามุนษย์ผู้หนึ่งจะสามารถประมือกับองค์หญิงของเผ่ามังกรได้ โดยไม่มีเสียเปรียบ?

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยเองก็ตกตะลึงไปแล้ว เขานึกไม่ถึงเลยว่าน้องสาวของตนเองจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้

 

 

“องค์หญิง!” ชาวมังกรทมิฬเองก็อดจะประหลาดใจไม่ได้ ยามปกติแล้ว หากว่าองค์หญิงทรงลงมือ มีแต่จะได้เห็นเลือดโดยไม่ไว้ชีวิต

 

 

แต่ว่ามนุษย์ผู้นี้ นางกลับสามารถ…..

 

 

บนแผ่นดินนี้มีผู้ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

 

ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?

 

 

 ตู๋กูซิงหลันมิได้ประมาทแม้แต่น้อย นางกุมดาบยักษ์เอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ใช้กระบวนท่าออกไปอย่างดุดัน ต้านทานดาบโซ่ที่ร้อยต่อกันของเยี่ยอิงเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือแผ่นยันต์เอาไว้ คิดจะปิดฉากการต่อสู้อย่างรวดเร็ว

 

 

เยี่ยอิงเห็นนางหยิบยันต์ขึ้นมา ก็ดึงดาบโซ่ที่ร้อยต่อกันกลับไป จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างวูบหนึ่ง คนก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน

 

 

พอนางตวัดฝ่ามือขึ้นมา ทันใดนั้น ก็เห็นที่ด้านหลังของนางปรากฏเงาร่างของมังกรสีครามขนาดใหญ่

 

 

เงามังกรตัวนั้นคำรามอย่างกึกก้อง ก็กลายเป็นพลังที่รุนแรงสายหนึ่งบนฝ่ามือของเยี่ยอิง พุ่งเข้าใส่ร่างของตู๋กูซิงหลัน

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกดาบยักษ์ขึ้นมาขวาง พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นพลิกมือขึ้นสกัดเอาไว้

 

 

ไหนเลยจะรู้ว่าพลังฝ่ามือของเยี่ยอิงกลับสามารถทะลวงดาบยักษ์เข้ามาได้ ทั้งยังกระแทกเข้าสู่ร่างของนาง

 

 

พลังรุนแรงอย่างยิ่ง!

 

 

เป็นพลังที่รุนแรงราวกับถังดินปืนนับสิบใบระเบิดออกมาพร้อมกัน!

 

 

นางถูกกระแทกจนลอยละลิ่วออกไป

 

 

ยังโชคดีที่กระดูกในร่างกายผ่านการหลอมรวมกับหยกสรรพชีวิตมาแล้วรอบหนึ่ง จึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ว่าบริเวณทรวงอกก็ยังมีรอยขีดข่วนอยู่หลายรอย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก

 

 

นางถอยหลังไปอีกหลายก้าว ค่อยยืนขึ้นได้อย่างมั่นคง

 

 

นัยตาสีดำคู่นั้นใสกระจ่างอย่างปราศจากฝุ่นละอองและผงธุลีใดๆ จับจ้องไปยังเยี่ยอิง

 

 

ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า…..องค์หญิงผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

 

 

จะอย่างไรก็สมกับที่เป็นเผ่ามังกรทมิฬ เผ่าที่ครั้งหนึ่งเคยผงาดขึ้นมาต่อสู้กับเหล่าทวยเทพเบื้องบน

 

 

เยี่ยอิงมองดูนาง ฝ่ามือนี้นางใช้กำลังออกไปถึงแปดส่วน ต่อให้เบื้องหน้ามีฉลามยักษ์รออยู่ ก็มีหวังต้องถูกฝ่ามือนี้ทำลายจนร่างแหลกกระดูกหัก

 

 

แต่ว่าสตรีผู้นี้ กลับเพียงแค่ผิวถลอกเล็กน้อย?

 

 

นางหรี่ตาลง เลือดในดวงตาสูบฉีดอย่างคึกคัก นั่นเป็นความตื่นเต้นยินดีอย่างบอกไม่ถูก

 

 

นางยิ่งเกิดความรู้สึกว่า สตรีผู้นี่จะต้องสามารถคลอดทารกศักดิ์สิทธิ์ให้กับพี่ชายได้อย่างแน่นอน

 

 

เหล่าสตรีก่อนหน้านี้ล้วนอ่อนแอเกินไปแล้วไม่คู่ควรกับพี่ชาย!

 

 

“ข้าผู้เป็นองค์หญิงจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” นางจับจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน กล่าวโดยน้ำเสียงที่ปราศจากความอบอุ่นแม้แต่น้อย “จงเชื่อฟังวาจา ไปเป็นอนุให้พี่ชายของข้าแต่โดยดี แล้วเจ้าจะไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน”

 

 

นางพูดพลางก็เดินเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันเรื่อยๆ

 

 

ดาบโซ่ที่ร้อยติดกันในมือเมื่ออยู่ภายใต้แสงของไข่มุกราตรีก็ยิ่งเรืองแสงเย็นยะเยือกที่ลึกล้ำสุดหยั่งออกมา

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยเกือบจะสะอึกออกไปด้านหน้าเพื่อบังตู๋กูซิงหลันเอาไว้อยู่แล้ว

 

 

น้องเล็กจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อย่างไรก็ยังเป็นมนุษย์…..แล้วจะไปปะทะกับเผ่ามังกรที่อยู่ในตำนานได้อย่างไร?

 

 

“อย่าได้สร้างความยากลำบากให้กับนาง!” ชือหลีดึงตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับ “อาหลันมิได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด!”

 

 

ตอนนี้หากพวกนางทั้งสองเข้าไป ก็มีแต่จะทำให้ตู๋กูซิงหลันยุ่งยากกว่าเดิม

 

 

ตู๋กูซิงหลันกล้าลงมือ แสดงว่าต้องเตรียมการไว้พร้อมแล้ว

 

 

ชือหลีคลุกคลีอยู่กับ ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของนางมาตั้งนาน ย่อมเข้าใจนิสัยของนางดี

 

 

“แต่ว่า…..” จะให้ตู๋กูเจวี๋ยไม่ห่วงใยน้องสาวของตนเองได้อย่างไรกัน ดูสิขนาดขาทั้งสองข้างของลู่กว่างก็ยังขาดไปแล้ว ……เมื่อครู่น้องเล็กก็พึ่งจะถูกกระแทกออกมา….

 

 

ถูกกระแทกจนลอยออกมาเช่นนั้น เกรงกว่ากระดูกคงหักไปหลายชิ้นแล้วละมั้ง!

 

 

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น!” สายตาของชือหลีสงบนิ่ง “พวกเราต้องเชื่อใจนาง!”

 

 

ตอนนี้สิ่งที่นางสามารถทำได้นั้น คือป้องกันไม่ให้เยี่ยอิงลงมือในที่ลับกับตู๋กูซิงหลัน ถึงแม้ว่านางไม่อาจเข้าร่วมกาารต่อสู้ในครั้งนี้ แต่จะต้องดูให้แน่ใจได้ว่าด้านหลังของตู๋กูซิงหลันนั้นปลอดภัยจริงๆ

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยก็มิได้พูดอะไรขึ้นมาอีก

 

 

เขาอายุปานนี้แล้ว นี่พึ่งจะเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจที่ไม่ฟังคำสั่งท่านปู่ให้เรียนวรยุทธ์…..หากว่าเขามีวรยุทธ์เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ ตอนนี้ย่อมสามารถช่วยเหลือน้องเล็กได้บ้าง

 

 

ในใจของเขามีแต่ความกังวล ขณะที่มองดูเยี่ยอิงเดินเข้าไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และทันใดนั้นก็หยุดลง

 

 

ขณะที่นางยืนห่างไปจากตู๋กูซิงหลันประมาณหนึ่งเมตร ใบหน้าก็เปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรงทันที

 

 

ในขณะเดียวกันรอบตัวของนางก็ผุดยันต์สีเหลืองขึ้นมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ยันต์เหล่านั้นร้อยเรียงกันดุจลูกโซ่อยู่เบื้องหน้าเยี่ยอิง กักขังนางเอาไว้ภายในทั้งร่าง

 

 

สายตาของเยี่ยอิงเย็นชากว่าเดิม นางยกขาขึ้นมา แต่ขาก็เหมือนถูกตรึงเอาไว้โดยไม่อาจขยับได้แม้แต่นิดเดียว

 

 

ยันต์สีเหลืองที่ล้อมอยู่หมุนวนจนทำเอาสมองของนางมึนงงไปหมดแล้ว

 

 

บนร่างเหมือนมีภูเขากดทับลงมา บี้จนหายใจไม่ออก

 

 

พอมองออกมาระหว่างช่องว่างของยันต์สีเหลือง นางก็เห็นสาวน้อยในชุดสีแดงตลอดร่าง กุมดาบยักษ์เอาไว้อีกครั้ง พลางมองดูนางด้วยสายตาลึกล้ำ

 

 

และเย็นชาอย่างถึงขีดสุด!

 

 

เยี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองถูกลบหลู่อย่างรุนแแรง แววตาของนางมีแต่หมอกเลือดเข้มข้น “เจ้าวางกับดักข้า?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ ค่อยๆจัดแจงเสื้อผ้าและเส้มผมให้ตนเองอย่างช้าๆ ตอบอย่างจริงจังกลับไปว่า “นี่เรียกว่าการทหารไม่หน่ายอุบายไง?”

 

 

ตอนที่ถูกกระแทกออกมานั้น นางก็ซัดยันต์สีเหลืองลงไปบนพื้นโดยรอบ ขอเพียงนางก้าวเข้ามาในอาณาเขต ก็จะติดอย่ในหุบเขาห้ายอด[1]

 

 

หากนางไม่คลายพันธนาการ ต่อให้เป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหนก็คลายไม่ออกอยู่ดี

 

 

อ๋อ ยกเว้นอาจารย์ของนาง

 

 

เยี่ยอิงกุบดาบโซ่ที่ร้อยเรียงกันเอาไว้ คิดจะสะบัดออกไป แต่ว่าคราวนี้ แม้แต่จะยกมือขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่ายากลำบากแล้ว

 

 

ดาบโซ่ที่ร้อยต่อกับถูกฟาดไปทางยันต์สีเหลืองที่หมุนวนไปมาอยู่นั้น

 

 

ทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าเป็นเพียงแค่ยันต์สีเหลือง แต่ว่ากลับแข็งแกร่งดุจกำแพงเหล็กกล้า พอฟาดฟันลงไปดาบโซ่ก็ถูกสะท้อนกลับมาในทันที ทั้งยังบาดมือของนางเป็นแผลแห่งหนึ่ง

 

 

“เจ้าทำอะไรลงไป? รีบปลดปล่อยองค์หญิงของพวกเราเดี๋ยวนี้นะ!” คนเผ่ามังกรทมิฬตะโกนอย่างโกรธแค้น เมื่อครู่พวกเขายังไม่ทันได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น องค์หญิงก็ถูกกักขังเอาไว้แล้ว

 

 

ยันต์สาปแช่งพวกนี้ เผ่ามนุษย์มักใช้มันกำราบภูติผี ตอนนี้ถึงกับนำมาใช้กับองค์หญิง?

 

 

นี่มิเท่ากับว่าเป็นการดูถูกองค์หญิงหรอกหรือ?

 

 

ตู๋กูซิงหลันคร้านจะสนใจพวกเขา นางยืนอยู่นอกอาณาเขตของอาคม นัยตาเปล่งประกาย ความหยิ่งทนงบนหัวคิ้วที่โก่งงามราวกับจะบินเหิน พอกวาดตาไปเพียงแค่ครั้งเดียว ก็ทำให้ชาวมังกรทมิฬเหล่านั้นหนาวยะเยือกขึ้นมา

 

 

หากว่าสายตาของนาง…สามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่สัมผัสได้จริงละก็ เกรงว่าพวกเขาทุกคนที่อยู่ตรงนี้คงจะถูกสังหารเรียบร้อยไปแล้ว!

 

 

 หลิ่วฮุ่ยและลู่เวยก็กอดกันจนตัวสั่นเทา

 

 

สวรรค์โปรด!

 

 

นี่พวกนางไปหาเรื่องกับจอมมารตนใดเข้าแล้ว? แม้แต่องค์หญิงเยี่ยอิงก็ยังกำราบนางไม่ได้หรือ?

 

 

 

 

——

 

 

[1] 五指山: หุบเขาที่พระยูไลใช้กักตัวซุนหงอคงถึงห้าร้อยปี

 

 

 

 

…………………………………

 

 

ตอนต่อไป “จีเฉวียนมิใช่ตัวอะไร”