บทที่ 587 พวกเราคุยกันหน่อย

The king of War

“สวัสดีครับคุณฉิน เจ้านายของพวกเราขอเชิญครับ!”

ผู้ชายวัยกลางคนที่แต่งกายชุดสูทเดินลงจากที่นั่งข้างคนขับ เดินลงจากรถ ตรงมาที่ข้างกายฉินซี ทำท่าทางเชิญขึ้นรถไป

ฉินซีขมวดคิ้วนิดหนึ่ง มองไปยังด้านในรถ เพียงแต่มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

ดึกขนาดนี้ เธอย่อมจะไม่ขึ้นรถของคนอื่นไปง่ายๆ โดยเฉพาะยังเป็นรถหรูซึ่งราคาเป็นสิบล้านคันหนึ่งด้วย

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับบ้านแล้ว!”

ฉินซีตอบไปอย่างเรียบนิ่ง จากนั้นหลบผู้ชายวัยกลางคน แล้วอยากออกไป

“คุณฉิน คุณไม่ต้องกลัว เจ้านายของพวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายครับ”

ชั่วขณะนั้นชายวัยกลางคนร้อนใจแล้ว รีบเข้ามาขวางทางของฉินซีเอาไว้แล้ว

ฉินซีขมวดคิ้ว บนหน้าปรากฏความไม่พอใจระดับหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด “ฉันไม่สนใจเจ้านายของพวกคุณ!”

ภายนอกเธอดูโกรธเคืองมาก แต่ภายในใจกลับสับสนวุ่นวายเอามากๆ

วันนี้เพิ่งมาถึงเมืองเยี่ยนตู เธอไปเยี่ยมเยือนหลายกิจการมากแล้ว และโทรศัพท์มากเหลือเกินด้วย ปัจจุบันนี้แบตมือถือก็ใช้หมด ปิดเครื่องไปโดยอัตโนมัติแล้ว

ใครจะรู้ว่าเจ้านายในรถหรูคันนั้น เป็นใครกัน

ตอนนี้ต่อให้อยากโทรศัพท์หาหยางเฉิน ล้วนไม่มีทาง

“คุณฉิน!”

ตอนที่ผู้ชายวัยกลางคนอธิบาย ภาพชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากในรถแล้ว เรียกไปทางฉินซีทีหนึ่ง

ตอนที่ฉินซีมองเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคน สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

เพราะเธอรู้ว่า อีกฝ่ายเป็นผู้นำของตระกูลอวี๋เหวิน อวี๋เหวินเกาหยาง และก็เป็นบิดาของหยางเฉิน

ตอนที่ฉินซีรู้สึกตกใจ อวี๋เหวินเกาหยางก็มองทางฉินซีด้วยท่าทางอ่อนโยน

“ฉันอยากคุยกับเธอหน่อย เธอว่าจะได้หรือเปล่า?”

อวี๋เหวินเกาหยางเอ่ยปากกะทันหัน ในน้ำเสียงเต็มไปได้ความรักและเมตตา

ทันใดนั้นฉินซีประหม่าขึ้นมาอยู่บ้าง โดยเฉพาะนี้เป็นครั้งแรกที่เธอเจอพ่อสามี

เพียงแค่ เธอรู้ดีว่าหยางเฉินมีความเกลียดต่อตระกูลอวี๋เหวิน และไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ กับตระกูลอวี๋เหวิน

ขณะที่ฉินซีลังเลไม่แน่ใจ อวี๋เหวินเกาหยางหัวเราะพลางพูดว่า “เธอไม่ต้องประหม่า ฉันแค่อยากคุยทั่วไปกับเธอน่ะ”

“งั้นก็ได้ค่ะ!”

ฉินซีไม่ลังเลอีกต่อไป เธอสัมผัสได้ว่า สายตาที่ตื่นตกใจของผู้คนมากมายมองเข้ามาแล้ว รีบตามอวี๋เหวินเกาหยางขึ้นรถไป

“คุณฉินจะไปที่ไหนกัน? ฉันจะได้ถือโอกาสเข้าไปส่งเธอด้วย”

อวี๋เหวินเกาหยางยิ้มถามขึ้น

“ชุมชนหลงจิ่งค่ะ!”

ฉินซีบอกบ้านของเธอและหยางเฉินซึ่งอยู่ที่เมืองเยี่ยนตูออกไป

รถค่อยๆ แล่นออกไป จากโรงแรมเยี่ยนตูไปยังเขตคฤหาสน์ชุมชนหลงจิ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง

อวี๋เหวินเกาหยางไม่ได้รีบร้อนพูดถึงเรื่องของหยางเฉิน แต่ว่าสอบถามฉินซีไปแบบเรื่อยเปื่อย

“เรียกคุณฉินดูห่างเหินกันเกินไป ฉันเรียกเธอว่าเสี่ยวซีได้มั้ย?”

อวี๋เหวินเกาหยางถามขึ้นกะทันหัน

ฉินซีมองการอคอยในสายตาของอวี๋เหวินเกาหยาง อดปฏิเสธไม่ได้อยู่บ้าง จึงพยักหน้า “ได้ค่ะ!”

ได้รับความเห็นชอบของฉินซี บนหน้าอวี๋เหวินเกาหยางเห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นพอสมควร เพียงแต่ถูกเขาปิดซ่อนเอาไว้อย่างดีแล้ว

“ฉันได้ยินว่า ที่เธอมาเมืองเยี่ยนตูครั้งนี้ อยากจะเปิดตลาดของซานเหอกรุ๊ปที่เมืองเยี่ยนตู?” อวี๋เหวินเกาหยางถามอีก

ฉินซีพยักหน้า “ซานเหอกรุ๊ปเป็นกิจการที่หนูสร้างมาเองกับมือ และเป็นเหมือนลูกของหนูด้วย หนูอยากให้ซานเหอกรุ๊ปกลายเป็นกิจการชั้นนำของโลกค่ะ”

“ไม่เลว มีปณิธาน!” อวี๋เหวินเกาหยางพยักหน้าพูดจาชมเชย

อวี๋เหวินเกาหยางนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ถ้าเธอไม่ถือสา ฉันสามารถนำโครงการบางส่วนของตระกูลอวี๋เหวิน ส่งให้ซานเหอกรุ๊ปมาทำได้ บางทีอาจทำให้เธอยืนหยัดที่เมืองเยี่ยนตูได้เร็วขึ้น”

แน่นอนว่าฉินซีอยากจะรีบทำให้ซานเหอกรุ๊ปยืนหยัดที่เมืองเยี่ยนตูได้ไวๆ แต่เธอก็รู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างหยางเฉินและอวี๋เหวินเกาหยาง เธอยิ้มเยาะส่ายหน้าแล้ว “ขอบคุณคุณลุงอวี๋เหวินนะคะ หนูเพียงอยากพึ่งพาความสามารถของตัวเอง มาพัฒนาซานเหอกรุ๊ปค่ะ”

อวี๋เหวินเกาหยางหัวเราะแล้ว “เครือข่ายคือส่วนหนึ่งของความสามารถ โดยเฉพาะเป็นด้านธุรกิจ ไม่มีเครือข่าย ทำอะไรก็มีอุปสรรคมากมาย”

ฉินซีไม่สะดวกปฏิเสธไปตรงๆ ยิ้มพูดแบบขอไปที “ถ้ามีความต้องการอะไร หนูจะไปหาคุณลุงอวี๋เหวินค่ะ”

ขับรถมาตลอดทาง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก

ฉินซีนั่งอย่างสงบเสงี่ยมมาตลอด ในใจกังวลอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายตรงหน้า เป็นถึงผู้นำของตระกูลอวี๋เหวิน หนึ่งในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู

นอกจากสถานะนี้แล้ว ยังเป็นพ่อสามีในนามของเธอด้วย

ไม่ว่าความสัมพันธ์ในตอนนี้ของหยางเฉินและตระกูลอวี๋เหวินจะเป็นอย่างไร แต่ว่าความจริงที่หยางเฉินคือสายเลือดตระกูลอวี๋เหวิน ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

ดีที่อวี๋เหวินเกาหยางก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ เพียงแค่คุยเรื่องทั่วไปกับเธอแบบง่ายๆ

ไม่นาน ถึงหน้าประตูเขตคฤหาสน์ชุมชนหลงจิ่ง อวี๋เหวินเกาหยางถามว่า “พวกเธอพักอยู่คฤหาสน์หลังไหน พวกเราจะพาเธอเข้าไป”

ฉินซีรีบส่ายหน้าทันที “หนูลงรถตรงนี้ก็พอแล้วค่ะ ขอบคุณคุณลุงอวี๋เหวินนะคะ”

เธอขึ้นรถของอวี๋เหวินเกาหยาง เป็นเพราะอวี๋เหวินเกาหยางเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าให้หยางเฉินเห็นอวี๋เหวินเกาหยางเข้า ใครก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อวี๋เหวินเกาหยางเหมือนมองความคิดของฉินซีออก หัวเราะนิดหน่อย “ไม่เป็นไร เธอสามารถบอกหยางเฉินได้ เรื่องที่พวกเราเจอกัน”

ฉินซีกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เวลานี้ประตูรถถูกคนเปิดออกจากข้างนอก ฉินซีเดินลงจากรถไป

“คุณลุงอวี๋เหวินคะ งั้นหนูไปก่อนนะคะ!” ฉินซีบอกลาแล้วเตรียมตัวกลับไป

“นี่คือเบอร์โทรของฉัน ถ้ามีตรงไหนที่ต้องการให้ฉันช่วยเหลือ ติดต่อฉันได้ทันทีนะ”

อวี๋เหวินเกาหยางยิ้มหยิบนามบัตรที่มีเพียงหมายเลขโทรศัพท์ใบหนึ่งออกมา ยื่นให้ฉินซีแล้ว

ฉินซีกำลังอยากจะไปรับไว้ ในเวลานี้เอง ภาพคนคนหนึ่งก็เข้ามาฉับพลัน ถือโอกาสหยิบนามบัตรที่อวี๋เหวินเกาหยางยื่นเข้ามาเอาไว้ในมือแล้ว จากนั้นบีบเป็นก้อนโดยตรง งอนิ้วแล้วดีดเข้าไปในถังขยะด้านข้าง

“ภรรยาของผม ไม่ว่าตอนไหนก็ตาม ไม่ต้องการความช่วยเหลือของคุณทั้งนั้น”

เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น

ผู้มาเยือนก็คือหยางเฉิน มองอวี๋เหวินเกาหยางแบบเยือกเย็นแวบหนึ่ง จากนั้นดึงมือของฉินซีไว้เดินไปยังด้านใน

หยางเฉินเดิมทีช่วงบ่ายวันนี้คิดจะไปที่ตระกูลอวี๋เหวินด้วยตนเองสักเที่ยวหนึ่ง เพียงแต่เพราะเรื่องของตระกูลอ้ายทำเสียเวลาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ไป

นึกไม่ถึง อวี๋เหวินเกาหยางจะมาด้วยตนเองเลย

เพียงแต่ฉินซียังอยู่ข้างกาย เขาไม่ยอมให้ฉินซีมองเห็นการสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันระหว่างเขาและอวี๋เหวินเกาหยาง

“หยางเฉิน แกไม่ยอมเจอฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”

อวี๋เหวินเกาหยางถามไปยังภาพด้านหลังของหยางเฉินขึ้นทันที ในน้ำเสียงมีการอ้อนวอนระดับหนึ่ง

เวลานี้ ฉินซีก็ตื่นเต้นอย่างมากเช่นกัน เดิมทีเธอไม่คิดจะบอกหยางเฉิน ว่าเป็นอวี๋เหวินเกาหยางมาส่งเธอกลับ แต่ว่านึกไม่ถึง ถูกหยางเฉินเจอเข้าแล้ว

ฝีเท้าของหยางเฉินหยุดชะงักทันใด สายตามองทางฉินซีแล้ว ฉินซีคิดว่าหยางเฉินอยากตำหนิตนเอง จึงกังวลอยู่บ้าง

“ที่รัก คุณกลับบ้านก่อน ผมมีบางอย่างอยากพูดกับเขา” หยางเฉินพูดขึ้นกะทันหัน

เห็นหยางเฉินไม่ได้ตำหนิตนเอง ฉินซีถึงแอบโล่งอกไปทีหนึ่ง มองทางอวี๋เหวินเกาหยางแวบหนึ่งแล้ว และมองหยางเฉินพลันบอกว่า “อย่านานเกินไปนะ”

หยางเฉินพยักหน้า มองฉินซีออกไป เขาถึงเดินมาทางอวี๋เหวินเกาหยาง

เห็นหยางเฉินเดินมาทางตนเอง อวี๋เหวินเกาหยางหน้าตาดีใจเต็มที่

เพียงแต่ หยางเฉินเพิ่งเดินมาถึงข้างกายเขา ก็ถามด้วยเสียงเย็นชา “บอกผมมา อวี๋เหวินปิง ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่อวี๋เหวินปิงถูกผู้อาวุโสที่สวมเสื้อคอจีนคนหนึ่งช่วยชีวิตไป หยางเฉินก็กระสับกระส่ายมาตลอด