เขาถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าอยากให้อะไรเขาล่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมัวแต่ดีใจจนไม่ทันสังเกตอาการของเขา นางตอบกลับว่า “ยาที่เราทำครั้งที่แล้วให้พี่ใหญ่สักหน่อยเถอะ”

 

 

“ไม่ได้!” หวงฝู่อี้เซวียนตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดทันที “ยาพวกนั้นสำรองไว้ใช้เมื่อเจ้าคลอดลูก ให้เขาไม่ได้หรอก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบเขา “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าไม่เป็นไรหรอก เราอาจจะไม่ได้ใช้ยาพวกนั้นก็ได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอม จึงไม่กล้าดึงดันอีก “แต่พี่ใหญ่ช่วยเราไว้ขนาดนี้ เราควรตอบแทนเขาหน่อยไม่ใช่หรือ”

 

 

“เราให้เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์อยู่กับเขาแล้ว และยังให้สำนักคุ้มภัยแก่เขาอีก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การตอบแทนหรอกหรือ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”

 

 

น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนขึงขัง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ดึงดันอีก นางยิ้มแล้วโอบคอเขา “ถ้าอย่างนั้น พี่ใหญ่ก็ได้เปรียบเลยสินะ เราไม่ต้องให้ยาเม็ดเขาแล้วล่ะ”

 

 

สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนค่อยผ่อนคลายลง ครั้นกำลังจะก้มหน้าลงไปจูบนาง รถม้าก็หยุดกะทันหัน

 

 

ลำตัวทั้งสองคนเอนไปข้างหน้า หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “โจวอัน เจ้าคุมรถม้าอย่างไรกัน”

 

 

“เรียน ซื่อจื่อขอรับ คุณชายหลินมาขวางหน้ารถม้ากะทันหัน ข้าจึงจำเป็นต้องหยุดรถ” โจวอันรีบอธิบาย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว

 

 

เสียงของหลินจ้งดังขึ้นจากข้างนอก “ซื่อจื่อ ข้าน้อยแซ่หลินมีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน หากเชิญท่านไปคุยที่จิ่วโหลวใกล้ๆ นี้จะได้ไหมขอรับ”

 

 

ที่หลินจ้งมาหาตน ก็คงไม่พ้นเรื่องของหลินหันเยียน หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในอ้อมกอดของตน และส่งสายตาขอความเห็นจากนาง

 

 

“ไปเหลาจวี้เสียนเถอะ ข้าอยากกินอาหารของที่นั่น วันนี้จะได้กินให้หนำใจเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พูดออกไปข้างนอกว่า “คุณชายหลิน ไปเหลาจวี้เสียนเถอะ ที่นั่นสะอาด คนบางตา เหมาะแก่การคุยธุระกัน”

 

 

วันนี้ที่มาหาหวงฝู่อี้เซวียน ลึกๆ แล้วหลินจ้งก็ประหม่า เขาเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่สนใจตน แต่เมื่อได้ยินเขาตอบตกลง ก็ดีใจยิ่งนัก รีบประสานมือคำนับ “ได้ขอรับ ข้าจะขี่ม้าไปจองห้องไว้ก่อน ซื่อจื่อตามมาทีหลังได้เลยขอรับ”

 

 

ไม่ทันรอคำตอบของหวงฝู่อี้เซวียน หลินจ้งก็กระโดดขึ้นควบม้าและมุ่งหน้าไปทางเหลาจวี้เสียน

 

 

เมื่อได้ยินเสียงม้าจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นว่า “แม้สองสามีภรรยาราชเลขาหลินจะเล่ห์เหลี่ยมจัด แต่ลูกชายและลูกสาวคู่นี้ก็ไม่ได้แย่นะ เสียดายที่ราชเลขาหลินถูกลดขั้นไปถึงสามขั้น กลายเป็นแค่พลทหารชั้นผู้น้อย คงจะยากหากหลินจ้งจะได้เลื่อนตำแหน่ง”

 

 

“หากมีความสามารถจริงก็ได้เลื่อนตำแหน่งอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีตำแหน่งราชเลขาติดตัวอยู่ หลินจ้งใช้ชีวิตอยู่รอดในค่ายทหารได้ไม่ยากหรอก”

 

 

ขณะที่ทั้งสองคุยกัน รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนมาถึงหน้าประตูเหลาจวี้เสียน

 

 

เมื่อจั่งกุ้ยร้านเห็นสัญลักษณ์อ๋องฉีบนรถม้า ก็รีบออกมาต้อนรับทันที เขายืนรอข้างนอกอย่างนอบน้อม “ยินดีต้อนรับท่านซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยขอรับ”

 

 

ชิงหลวนเดินไปเปิดม่านรถ หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก่อน แล้วหันหลังไปประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “จั่งกุ้ย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาด้วย”

 

 

จั่งกุ้ยยิ้ม “ตั้งแต่ที่ซื่อจื่อเฟยมีข่าวดี ซื่อจื่อก็ไม่เคยห่างท่านเลย คนในเมืองหลวงรู้กันหมด ข้าน้อยเองก็เช่นกันขอรับ”

 

 

“คุณชายหลินจองห้องส่วนตัวไว้ใช่ไหม” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม

 

 

จั่งกุ้ยรีบตอบทันที “ขอรับ เพิ่งมาสักครู่นี้ จองห้องส่วนตัวชั้นสองที่อยู่ด้านในสุดขอรับ บอกว่าจะคุยธุระสำคัญ”

 

 

“อย่างนั้นเจ้าเตรียมห้องส่วนตัวข้างๆ อีกห้องให้หน่อย วันนี้ข้าและซื่อจื่ออยากกินมื้อเที่ยงที่นี่”

 

 

จั่งกุ้ยขานรับ เดินนำทั้งสองขึ้นไปห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เปิดประตู เชิญทั้งสองเข้าไป แล้วยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ รอให้ทั้งสองสั่งอาหาร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ไปสองสามอย่าง

 

 

จากนั้นจั่งกุ้ยก็รีบไปห้องครัวทันที บอกพ่อครัวใหญ่ว่านายหญิงมา และขอให้เขาลงมือทำอาหารเอง

 

 

นายหญิงไม่ได้มานานแล้ว พ่อครัวใหญ่ตื่นเต้นลนลานเล็กน้อย รีบสั่งคนเตรียมอาหาร

 

 

จั่งกุ้ยยืนรอพลางปาดเหงื่ออยู่หน้าประตูห้องครัว จู่ๆ นายหญิงก็มาโดยไม่ได้บอกกล่าว และไม่ทราบว่ามาทำไมอีก

 

 

ในห้องส่วนตัว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าไปเถอะ คุณชายหลินรออยู่ รอพวกเจ้าคุยกันเสร็จ อาหารก็น่าจะเสร็จพอดี”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น “หากอาหารมาแล้ว เจ้ากินก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเปิดประตูแล้วเดินออกไป

 

 

หลังจากได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูจากห้องข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องของตนอย่างเบามือ และมองออกไปข้างนอก

 

 

ชิงหลวนและจูหลีคิดว่านางมีคำสั่ง ครั้นจะเรียก “นาย…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วชี้ขึ้นมาข้างหน้าปากทำเสียง จุ๊ จู๊ ส่งสัญญาณให้ทั้งสองอย่าส่งเสียงดัง

 

 

ทั้งสองหยุดพูด แล้วมองมาที่นางอย่างสงสัย

 

 

หลังจากสอดส่องไปทั่วแล้วไม่เห็นหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ห้าวหาญขึ้นมาทันที นางค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง พูดเสียงเบากับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าทั้งสองตามข้าไปห้องครัว”

 

 

ตั้งแต่วันแต่งงาน ระยะเวลาเกือบสามเดือนมานี้ หวงฝู่อี้เซวียนไม่อนุญาตให้เมิ่งเชี่ยนโยวลงครัวเลย จนนางคันมือจะแย่อยู่แล้ว นางจะพลาดโอกาสดีอย่างวันนี้ไปได้อย่างไร เมื่อสั่งทั้งสองเสร็จ ก็จับกระโปรงขึ้น เดินจ้ำอ้าวลงไปข้างล่าง

 

 

ชิงหลวนและจูหลีคอยรับใช้อยู่ข้างกายทุกวัน จึงรู้ดีว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่อนุญาตให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าครัว เมื่อได้ยินว่านางจะไปห้องครัว ก็รู้ความประสงค์ของนางทันที พวกนางรีบประกบและดึงแขนเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “นายหญิง หากซื่อจื่อรู้เข้า ท่านจะไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างไม่แยแสว่า “พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีวิธีรับมือกับเขาอยู่แล้ว”

 

 

ทั้งสองยังคงไม่ปล่อยมือ เกลี้ยกล่อมนางต่อ “นายหญิง ตอนนี้ท่านท้องหลายเดือนแล้ว ร่างกายไม่เหมือนเคย หากไปห้องครัวแล้วชนอะไรเข้า มีแต่จะเสียใจนะเจ้าคะ เราอยู่ในห้องต่อไปเถอะ รอคนยกอาหารขึ้นมาเถอะนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มใจร้อน เพราะไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคุยกับหลินจ้งนานแค่ไหน “ทำไมพวกเจ้าจู้จี้อย่างนี้ หากไม่ปล่อยข้าอีก กลับไปข้าจะให้เหวินซงและกัวเฟยมาตบแต่งพวกเจ้า ส่งพวกเจ้าออกเรือนไปทันที”

 

 

ทั้งสองคนชะงัก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสะบัดมือพวกนางออกและลงไปข้างล่างทันที

 

 

ชิงหลวนและจูหลีทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินตามนางลงไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

ในครัววุ่นไปหมด พ่อครัวใหญ่กำลังตะโกนให้คนหั่นผัก ก่อไฟ

 

 

จั่งกุ้ยรออยู่นอกห้องครัวอย่างกังวลใจ เดินวนกลับไปกลับมา ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาชิงหลวนและจูหลีมา เขาตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง รีบเดินขึ้นไปหา “นายหญิง ท่านมาแล้วหรือ อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว แล้วจะยกขึ้นไปให้ท่านขอรับ”

 

 

“จั่งกุ้ยไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้ข้าเกิดฮึกเหิม อยากมากินอาหารที่เหลาจวี้เสียน ซื่อจื่อจึงมากับข้า” เมื่อเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ และสีหน้าซีดเผือกของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าเขาคิดเยอะไป จึงยิ้มพลางอธิบาย

 

 

จั่งกุ้ยกลับไม่เชื่อ ซื่อจื่อไม่เคยห่างจากซื่อจื่อเฟยเลย แต่ตอนนี้ซื่อจื่อเฟยมาที่ห้องครัวโดยที่ไม่มีซื่อจื่อด้วย แสดงว่าพวกเขามาตรวจตราเหลาจวี้เสียนแน่ๆ แม้เขาไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีต่อนายหญิง และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็บริหารเหลาจวี้เสียนอย่างดี แต่ก็อาจมีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง หากถูกนายหญิงพบเข้า…

 

 

เหงื่อบนใบหน้าของจั่งกุ้ยไหลเป็นทาง ขณะที่เขายังไม่ทันได้สติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นว่า “มีครัวเล็กไหม”

 

 

จั่งกุ้ยพยักหน้าตามสัญชาตญาณ หลังจากพยักหน้าเสร็จก็เพิ่งคิดได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวถามอะไร จึงรีบถามกลับอย่างระมัดระวังว่า “นายหญิง ท่านถามทำไมขอรับ”

 

 

“ก็จะทำอาหารน่ะสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างรื่นรมย์

 

 

จั่งกุ้ยตกใจจนเข่าสั่น พยายามพยุงลำตัวตนเองไว้ ถามอย่างไม่มั่นใจว่า “นายหญิงจะลงครัวเองหรือขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า

 

 

เข่าทั้งสองข้างของจั่งกุ้ยอ่อนระทวย พยุงลำตัวของตนไว้ไม่ได้อีกแล้ว พลุบ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดขอร้องอย่างน่าสงสารว่า “นายหญิง ปล่อยข้าน้อยไปเถอะขอรับ”

 

 

ร่างกายของซื่อจื่อเฟยไม่เหมือนเดิม หากระหว่างที่ทำอาหารเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อย่าว่าแต่เขาเลย คนทั้งเหลาจวี้เสียนก็คงถูกลงโทษเหมือนกัน นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ที่หนักกว่านี้คือพวกเขาทุกคนอาจไม่ได้เห็นพระอาทิตย์บ่ายนี้แล้วก็ได้ เขาไม่ยอมเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้หรอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ ถามว่า “จั่งกุ้ย นี่เจ้า…”

 

 

“นายหญิงอยากทานอะไร ท่านสั่งเลยขอรับ แต่ท่านจะลงมือทำเองไม่ได้ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา แม้ข้าน้อยจะมีสิบกะโหลกก็ชดใช้ให้ไม่ได้นะขอรับ” จั่งกุ้ยคุกเข่าบนพื้น พูดขอร้องอีกครั้ง “นายหญิงกลับไปรอในห้องเถอะขอรับ ข้ารับรองได้ว่า อีกไม่เกินชั่วยาม อาหารทุกจานจะปรากฎตรงหน้าท่านและซื่อจื่อขอรับ”

 

 

พ่อครัวใหญ่ได้ยินเสียงจากหน้าประตู จึงออกมาดู เห็นจั่งกุ้ยคุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตกใจ ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็เห็นว่ามีเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้วย เขาก็ตกใจจนคุกเข่าลงบนพื้นเช่นกัน “นายหญิง ท่านมีคำสั่งอะไรขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด นางแค่คันไม้คันมือแอบลงมาทำครัว ไม่ได้จะมาเอาชีวิตพวกเขาเสียหน่อย ต้องตกใจกันขนาดนี้ไหม นางเอ่ยปากขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นเถอะ หากคนอื่นเห็นจะเอะใจเอา”

 

 

ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าศีรษะของตนแล้ว จั่งกุ้ยคุกเข่านิ่งไม่ขยับ

 

 

พ่อครัวใหญ่ไม่รู้เรื่อง เห็นจั่งกุ้ยไม่ขยับ เขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นเช่นกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มโมโห “จั่งกุ้ย เจ้าคิดจะไม่ให้ข้าเข้าครัวเลยหรือ”

 

 

จั่งกุ้ยรีบอธิบาย “นายหญิง รอท่านคลอดลูกแล้ว ถึงตอนนั้นท่านจะมาเหลาจวี้เสียนทุกวันข้าน้อยก็จะไม่ยุ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้หรอกขอรับ หากข้าน้อยให้ท่านเข้าไป ความโทสะของซื่อจื่อคงเผาข้าน้อยเป็นผุยผง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง ฮึ “ซื่อจื่อจะโมโหยังไง ก็ต้องฟังข้าอยู่ดี พวกเจ้าวางใจเถอะ หากเขากล้าโมโห ข้ามีวิธีรับมือกับเขาเอง”

 

 

จั่งกุ้ยและพ่อครัวใหญ่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่อ้าปากค้างและเบิกตามองนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ใจ กำลังจะเอ่ยปากโน้มน้าวให้จั่งกุ้ยยอมให้นางเข้าไป เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “จริงหรือ”

 

 

ลำตัวเมิ่งเชี่ยนโยวแข็งเกร็ง ค่อยๆ หันไปอย่างช้าๆ เห็นหวงฝู่อี้เซวียนยืนสีหน้าไม่พอใจอยู่ข้างหลังตน ความโมโหแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแช่งด่าหลินจ้งในใจ อย่างน้อยหลินหันเยียนก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าไม่เอะใจถามอะไรมากกว่านี้หน่อยหรือ ไม่ใช่ต้องคอยตอแยหวงฝู่อี้เซวียนสักครึ่งชั่วยาม ขอร้องให้เขาไว้ชีวิตหลินหันเยียนให้อยู่ต่อในจวนอ๋องหน่อยหรือ หากเป็นเช่นนั้น นางก็จะมีเวลาทำอาหารให้เสร็จสักจาน แต่นางกลับทำสีหน้ายิ้มอ้อน เดินขึ้นไปกอดแขนหวงฝู่อี้เซวียน “เร็วจัง คุยเสร็จแล้วหรือ ข้าคิดว่าต้องรอนาน ก็เลยลงมาดู กำลังจะกลับขึ้นไปพอดีเลย”

 

 

“จริง…หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนลากเสียงยาว ถามอย่างเชื่องช้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขนลุกขนชัน รีบพยักหน้า “จริงสิ ไม่เชื่อลองถามจั่งกุ้ยกับพ่อครัวใหญ่ดูสิ”

 

 

เหงื่อบนใบหน้าจั่งกุ้ยไหลเร็วกว่าฝน นายหญิงให้เขาช่วยพูดโกหก แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่าเขาไม่กล้า ซื่อจื่อได้ยินทั้งหมดแล้ว หากเขาพูดโกหกก็เหมือนกับฆ่าตัวตายชัดๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับถามเพื่อยืนยันความจริงกับพวกเขา “ซื่อจื่อเฟยพูดจริงหรือ”

 

 

จั่งกุ้ยเกลียดร่างกายตนเองที่แข็งแรง ไม่เหมืนคนอื่น เจออะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็สลบไป หากเป็นอย่างนั้นเขาจะได้ไม่ต้องตอบคำถามของซื่อจื่ออีก

 

 

พ่อครัวใหญ่ยังคงงงงวยอยู่ท่ามกลางสถานการณ์นี้ เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนถาม ก็ตอบทันทีว่า “จริงตามนาย…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ร้องเสียง โอ้ย ขึ้นมา

 

 

ทุกคนตกใจ ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร ก็ได้ยินน้ำเสียงโมโหของพ่อครัวใหญ่ถามว่า “เจ้าหยิกข้าทำไม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาในใจ

 

 

ชิงหลวนและจูหลีก้มศีรษะหัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ได้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหน้านิ่ง

 

 

จั่งกุ้ยก้มหน้า แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้พูดอะไร

 

 

พ่อครัวใหญ่พูดจบก็รู้สึกเสียใจ ปกติจั่งกุ้ยเป็นคนหนักแน่นและน่าเชื่อถือ วันนี้กลับแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขาต่อหน้านายหญิง ต้องเป็นเพราะเขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปแน่ๆ เขาจึงรีบก้มศีรษะ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกวาดมองพวกเขา แล้วหันหลังเดินกลับไป ไม่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังเขาไปติดๆ

 

 

ชิงหลวนและจูหลีสบตากันครู่หนึ่ง จนห่างพวกเขาไปหลายก้าว จึงเดินตามไปอย่างช้าๆ

 

 

เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาแล้ว จั่งกุ้ยจึงค่อยๆ บังคับขาที่อ่อนระทวยของตนให้ลุกยืนขึ้นมา

 

 

พ่อครัวใหญ่ยังคงตกอยู่ในภวังค์ หลังจากลุกตามขึ้นมาแล้วก็ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

 

 

จั่งกุ้ยเหลือบมองเขา และพูดขึ้นแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาเขากลัวจนขนหัวลุก “กะโหลกของเจ้าเกือบจะได้เปลี่ยนที่อยู่แล้ว”

 

 

เมื่อกลับถึงห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปประจบประแจงเขา นางยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ ทำไมคุยกันเร็วจัง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยสายตาเย็นชา ตอบว่า “หลินจ้งบอกข้าว่า หลินฉงเหวินจะลบชื่อของหลินหันเยียนออกจากหนังสือลำดับญาติ เพื่อตัดขาดกับนางจริงๆ”