ตอนที่ 332 การกระทำที่อบอุ่นหัวใจ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก ถามว่า “เหตุใดหลินฉงเหวินจึงทำเช่นนี้ หรือว่าเขาทนไม่ได้ที่หลินหันเยียนทำเขาเสียหน้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนำตั๋วเงินปึกหนึ่งและโฉนดบ้านแผ่นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “ข้าก็คิดไม่ออกเหมือนกัน นอกจากหลินจ้งจะคุยเรื่องนี้กับข้าแล้ว ยังให้ตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงกับข้า บอกว่าเป็นเงินออมทั้งหมดตลอดหลายปีนี้ของเขา ให้เราช่วยหลินหันเยียนเก็บไว้ เผื่อวันใดอวี้เอ๋อร์มีภรรยาเอก ไม่สามารถดูแลหลินหันเยียนได้อีก ให้เรานำตั๋วเงินและโฉนดบ้านนี้ให้นาง เพื่อให้นางมีที่ไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความคิดหนึ่งก็แวบผ่านเข้ามาในหัว นางตกใจเบิกตาโต “ครอบครัวของฮูหยินหลินโกหกพวกเขาใหญ่โตขนาดนี้ ทำเอาหลินฉงเหวินขายหน้า และกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง พวกเขาคงไม่ใช่คิดหาทางออกไม่ได้ จนจะฆ่าพวกเขาทั้งตระกลูหรอกนะ”

 

 

การคาดเดาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ชิงหลวน เรียกโจวอันเข้ามา”

 

 

ชิงหลวนขานรับ เดินลงไปชั้นล่าง ออกจากเหลาจวี้เสียนไปเรียกโจวอัน

 

 

โจวอันเดินตามเข้ามา

 

 

“เจ้าส่งองครักษ์ลับไปเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของตระกูลหลิน หากมีอะไรผิดปกติ ให้รีบมารายงานข้าเร็วที่สุด” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง

 

 

โจวอันขานรับ ถอยออกไป แล้วสั่งการต่อไปอย่างรวดเร็ว

 

 

หน้าผากของจั่งกุ้ยมีเหงื่อซึม ยกอาหารมาให้ด้วยตนเอง เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็รู้สึกทันทีว่าบรรยากาศในห้องไม่ค่อยดีนัก ใจของเขาพลันกระตุก ก้มหน้ายกอาหารทีละจานวางลงบนโต๊ะ แล้วยืนอย่างนอบน้อมตรงประตู รอให้ทั้งสองออกคำสั่ง

 

 

“เจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้หรอก ลงไปเถอะ” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงเย็นชา

 

 

จั่งกุ้ยที่กำลังถือถาดอาหารอยู่ก็รีบออกจากห้องทันที เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วถอนหายใจ เดินลงไปด้วยความเร็ว

 

 

ชิงหลวนและจูหลีเห็นเขาเผ่นไปอย่างรวดเร็วแบบนี้ก็ตกตะลึง สบตากันครู่หนึ่ง แล้วยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจับตะเกียบขึ้น คีบอาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวชอบใส่ในถ้วยของนางอย่างที่เคยทำทุกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาไม่ได้ตำหนิตนเอง กลับยิ่งรู้สึกขนหัวลุก นางแอบมองเขาแวบหนึ่ง คิดในใจว่าจะสารภาพผิดและพูดจาหว่านล้อมเขาหน่อยดีไหม หวงฝู่อี้เซวียนกลับสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “บอกว่าหิวแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รีบกินล่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง รวบรวมความกล้าหาญพูดขึ้นว่า “อี้เซวียน ข้า…”

 

 

สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนยังคงเหมือนเดิม พูดเสียงอ่อนโยนว่า “กินข้าวก่อนเถอะ มีอะไรเราค่อยกลับไปคุยในจวน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้ง ตกใจจนตะเกียบที่อยู่ในมือร่วงลงบนโต๊ะ นางเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง

 

 

มุมปากหวงฝู่อี้เซวียนเผยอขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มพลางหยิบตะเกียบขึ้นมายื่นกลับไปใส่ในมือนางเหมือนเดิม “รีบกินเถอะ อาหารเย็นชืดหมดแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกสติกลับมาได้ รีบอธิบายขึ้นว่า “อี้เซวียน ข้า…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ อาหารที่หวงฝู่อี้เซวียนคีบก็อยู่ตรงปากนางพอดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนคำพูดลงไป อ้าปากและเคี้ยวอาหารเข้าไปอย่างว่าง่าย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอย่างพอใจ ใช้สายตาถามว่า หรือว่าต้องการให้ตนป้อนนางกินข้าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบส่ายศีรษะ ก้มหน้าอ้าปากกินอาหารในถ้วยของตนคำใหญ่

 

 

น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนหวานจนเหมือนน้ำผึ้งที่กำลังจะหยดลงมา “กินช้าๆ ระวังสำลัก ไม่มีใครแย่งเจ้ากินหรอก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ได้อีกต่อไป วางตะเกียบลง กลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไปทั้งหมด สารภาพผิดว่า “อี้เซวียน ข้าผิดไปแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางตะเกียบลง เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างสบาย น้ำเสียงอบอุ่น “ทำอะไรผิดไปล่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบตอบว่า “ผิดที่ไม่ควรไปทำสิ่งที่เจ้าไม่อนุญาตให้ทำ”

 

 

สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนพลันเปลี่ยนไปทันที เหลือบมองนางด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงที่ปะปนไปด้วยความโมโหว่า “กินข้าว!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจนางอีก เขานั่งตัวตรง หยิบตะเกียบขึ้นมากินต่อทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปริปากอยากจะพูด แต่ก็กลืนคำพูดลงไป ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก นางก้มหน้าลงและกินอาหารของตนต่อ

 

 

อาหารมื้อนี้ผ่านไปด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นและความสุขกายของหวงฝู่อี้เซวียน กับความผวากลัวของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเช็ดปากให้นางด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ตัวเองพกไว้อย่างเคย เมื่อเช็ดสะอาดแล้ว ก็โอบนางเบาๆ เดินออกจากเหลาจวี้เสียนไป

 

 

จั่งกุ้ยไปส่งถึงหน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขาสองคนขึ้นรถม้าจากไปไกล จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนเขาเฝ้ารอให้นายหญิงมาตรวจตราอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้ภาวนาขอให้นายหญิงอย่ามาอีกเลย เขาเองก็แก่แล้ว หัวใจคงรับแรงกระตุ้นแบบนี้ไม่ไหว

 

 

ในรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดาความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ออก นางก็ไม่กล้าแหย่เขา นั่งตรงข้ามเขาอย่างเงียบๆ

 

 

“ไปหนานเฉิงหรือกลับจวนอ๋อง” หวงฝู่อี้เซวียนถาม

 

 

เมื่อนึกถึงเหวินเปียวและคนอื่นๆ อยู่ที่สำนักคุ้มภัยหมด ครอบครัวของเหวินเปียวและเหวินเหลียนยังอยู่ที่หนานเฉิงยังไม่ทราบเรื่องนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตัดสินใจว่า “กลับหนานเฉิงเถิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตามใจนาง สั่งโจวอันไปหนานเฉิง

 

 

เมิ่งซื่อดีใจเมื่อเห็นลูกสาวกลับมา ใจอยากจะพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปคุยในห้องตนเองอย่างเดียว

 

 

“ท่านแม่ ข้าขอไปหาภรรยาของเหวินเปียวที่เรือนบ่าวรับใช้หน่อยเจ้าค่ะ เดี๋ยวกลับมาคุยกับท่านนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด

 

 

“ข้าไปกับเจ้าแล้วกัน ให้อี้เซวียนกลับไปพักผ่อนที่ห้องพวกเจ้าเถอะ” เมิ่งซื่อกล่าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพยักหน้า

 

 

ทั้งสองคนมาถึงที่เรือนบ่าวรับใช้ เมื่อเห็นครอบครัวเหวินเปียวและเหวินเหลียน “ไท่จื่อช่วยลบล้างความไม่เป็นธรรมคืนให้สำนักคุ้มภัยแล้ว เหวินเปียวพวกเขากลับไปที่สำนักกันแล้ว พวกเจ้าสองคนก็เก็บของหน่อยเถอะ ข้าจะให้โจวอันส่งพวกเจ้าไปที่นั่น”

 

 

ครอบครัวเหวินเปียวชะงัก

 

 

เหวินเหลียนเบิกตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ

 

 

คนในครอบครัวเหวินเปียวตาค่อยๆ แดงขึ้น แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมา พูดเสียงสะอื้นว่า “นายหญิง เรา พวกเรา…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก รีบเก็บของกลับไปหาพวกเขาเถอะ”

 

 

ฮือ… ครอบครัวเหวินเปียวร้องพลางเช็ดน้ำตา แล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้อง

 

 

เหวินเหลียนก็เพิ่งตั้งสติกลับมาได้ เมื่อคิดได้ว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาได้สำนักคุ้มภัยกลับมาแล้วจริงๆ จึงถอนสายบัวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

 

 

“เหวินเหลียน ต่อไปเจ้าจะได้กลับไปเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยแล้วนะ ไม่ต้องถึงขั้นถอนสายบัวเช่นนี้หรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ

 

 

เหวินเหลียนยิ้มอ่อน แต่ในใจกลับรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ตัวเองก็เป็นแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง จะเรียกว่าคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตท่าทีของนาง แต่กลับไม่ได้บอกเรื่องที่ตนนำใบซื้อตัวส่งคืนให้เหวินเปียวแล้ว นางยิ้มพูดว่า “เจ้าก็ไปเก็บสัมภาระเถอะ”

 

 

เหวินเหลียนขานรับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนเมิ่งซื่อออกจากเรือนบ่าวรับใช้ไป เมื่อมาถึงห้องของเมิ่งซื่อ นางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าทั้งหมดให้นางฟัง

 

 

เมิ่งซื่อดีใจแทนพวกเขาอย่างสุดซึ้ง “หลายปีมานี้ พวกเขาทั้งบ้านผ่านทุกข์ผ่านโศกมามากมาย ถึงเวลาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียทีนะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยกับเมิ่งซื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกง่วง จึงผล็อยหลับไปในห้องของเมิ่งซื่อ

 

 

หลังจากตื่นมา เวลาก็ผ่านไปชั่วยามกว่าแล้ว

 

 

“ครอบครัวเหวินเปียวและเหวินเหลียนเข้ามากล่าวลา ข้าเห็นเจ้าหลับสนิทอยู่ ก็เลยไม่ได้ปลุกเจ้า” เมิ่งซื่อที่กำลังทอเสื้อผ้าเด็กอยู่ข้างๆ ยิ้มพูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขยี้ตาเบาๆ ยังคงนอนอยู่บนเตียงขี้เกียจลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียว่า “ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบเห็นความอาลัยอาวรณ์ที่เรียกน้ำตาแบบนี้”

 

 

“เซวียนเอ๋อร์ก็มาเหมือนกัน เห็นเจ้ายังไม่ตื่น ก็เลยไปหากัวเฟยแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ อืม ด้วยความงัวเงีย

 

 

เมิ่งซื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง จึงหยุดทอผ้า เดินไปหน้านาง แตะหน้าผากนาง “ทำไมไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดขึ้นว่า “เปล่าเจ้าค่ะ แต่รู้สึกเหนื่อย คันท้องด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อถลกเสื้อผ้านางขึ้น เกาท้องนางให้เบาๆ สองสามที ยิ้มพูดว่า “ดูท่าจะออกมาแล้วล่ะ ต่อไปเจ้าคงเหนื่อยแย่เลยนะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำตาเคลิ้มอย่างสบายตัว

 

 

รอจนเมิ่งซื่อเก็บมือกลับ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แล้วลงจากเตียงมองดูท้องฟ้า “ดึกแล้ว พวกเราก็ควรกลับไปแล้ว ท่านแม่ พรุ่งนี้หากท่านแม่ไม่มีธุระอะไร ก็ไปจวนอ๋องเถอะเจ้าค่ะ เสด็จแม่อยู่คนเดียวเหงาจะแย่ พูดถึงท่านแม่อยู่บ่อยครั้งเลยเจ้าค่ะ”

 

 

ที่เมิ่งซื่ออยู่เมืองหลวงต่อก็เพื่อดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว อยากจะอยู่เฝ้าดูแลนางทุกวันจะแย่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก แต่ก็มีความกังวลอยู่บ้าง “เรื่องของคุณชายรองและคุณหนูหลินยังไม่คลี่คลายเลย ข้าไปตอนนี้ จะไม่ลำบากพวกเจ้าหรือ”

 

 

“ทุกวันนี้หลินหันเยียนใช้น้ำตาแทนน้ำเปล่าล้างหน้า เสด็จแม่เองก็กังวลใจเรื่องนี้อยู่เช่นกัน พรุ่งนี้ท่านพาเซิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ไปด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะส่งคนไปรับซ่งเอ๋อร์มาด้วย พวกเขาสามคนจะได้ช่วยให้จวนอ๋องครึกครื้น และช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเสด็จแม่ด้วย”

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้า “ได้เลย ข้าพาพี่สะใภ้รองไปด้วย พี่สะใภ้รองเจ้าปากหวาน รู้จักพูด ต้องทำให้พระชายาดีใจแน่ๆ”

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นจากข้างนอก “ท่านแม่ โยวเอ๋อร์ตื่นหรือยังขอรับ”

 

 

“ตื่นแล้ว กำลังจะไปตามเจ้ากลับจวนอ๋องเลย เจ้าเข้ามาเถอะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นสภาพเพิ่งตื่นของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็พูดว่า “สองสามวันนี้จวนอ๋องไม่มีธุระอะไร เรานอนที่นี่คืนหนึ่งก็ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก เสด็จแม่กลุ้มใจอยู่ พวกเรากลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านเถอะ อีกอย่างจะได้เล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟังด้วย”

 

 

เมื่อนึกถึงสีหน้าอมทุกข์ของพระชายาฉี หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

 

 

เมิ่งซื่อส่งพวกเขาออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ จนรถม้าจากไปไกลลิบ จึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวน

 

 

ณ จวนอ๋อง ในเรือนของหวงฝู่อวี้

 

 

ร่างกายของหลินหันเยียนนั้นฟื้นฟูแล้ว ภายใต้การชี้แนะและการประคับประคองของหวงฝู่อวี้ ใบหน้านางจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น พูดว่า “การป่วยครั้งนี้ของข้า โชคดีที่มีซื่อจื่อเฟย ข้าควรไปขอบคุณด้วยตัวเองหน่อยไหม”

 

 

หวงฝู่อวี้กุมมือนางไว้ ปัดเศษผมที่ปรกบนหน้าอกนางออกไปด้านหลัง “ไม่ต้องหรอก พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่คนนอก เจ้าอย่าเกรงใจมากไปเลย”

 

 

หลินหันเยียนเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้คิดมากอะไร นางยิ้มพยักหน้า “อื้ม ตามใจพี่อวี้เจ้าค่ะ”

 

 

หวงฝู่อวี้แอบถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าพี่ใหญ่ไม่ได้รู้สึกดีมากกับเยียนเอ๋อร์ เป็นไปได้อย่าปรากฏต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่เลยยิ่งดี ช่วงนี้เขาและหลินหันเยียนจึงไม่ได้ออกจากเรือนเลย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับถึงบ้าน เดินตรงไปที่เรือนของพระชายาฉีทันที และเล่าเรื่องที่หลินจ้งนำตั๋วเงินและโฉนดบ้านให้นางฟัง

 

 

พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก “แม้เยียนเอ๋อร์ทำผิด แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกขับออกจากตระกูล สองสามีภรรยาหลินฉงเหวินทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน”

 

 

“เสด็จแม่อย่าคิดมากไปเลยขอรับ ข้าส่งคนไปคอยเฝ้าสังเกตแล้ว หากหลินฉงเหวินดูผิดปกติเมื่อไหร่ เราจะทราบข่าวได้ทันที ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาทางรับมือก็ได้ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

พระชายาฉีพยักหน้าเบาๆ “ก็ดีเหมือนกัน ไทเฮาก็ไม่พอใจเยียนเอ๋อร์อยู่แล้ว หากตระกูลหลินคิดทำอะไรเลวๆ อีก ไม่แน่ไทเฮาอาจจะหมั้นหมายให้อวี้เอ๋อร์เลยก็ได้ ถึงตอนนั้นจวนอ๋องของเราก็จะไม่สงบสุขอีก”

 

 

ทั้งสองพยักหน้า

 

 

“โยวเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ รอห้องครัวเตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว ข้าจะสั่งคนไปเรียกพวกเจ้า” พระชายาฉีพูด

 

 

“ไม่เป็นไรขอรับ เสด็จแม่ วันนี้พวกเราอยากกินในเรือนของเราเอง เราจุดเตาในครัวเล็กของเราเองเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างตกใจ

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า “ได้ โยวเอ๋อร์อยากกินอะไร สั่งแม่ครัวในห้องครัวได้เลยนะ”

 

 

ทั้งสองกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนถามว่า “คืนนี้อยากกินอะไร”

 

 

เมื่อตอนเที่ยงห่วงแต่เรื่องกลัวอย่างเดียว นางกินไปได้แค่นิดเดียว ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเริ่มรู้สึกหิว บอกชื่อเมนูที่ตนชอบกินไปสี่อย่าง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นไปห้องครัว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งพักผ่อนบนตั่งที่อยู่ด้านหน้าหน้าต่าง สัมผัสไอแดดยามเย็นอย่างเคลิบเคลิ้ม

 

 

เมื่อเด็ดผักล้างจนสะอาด และหั่นเนื้อหมูที่ต้องใช้จนเสร็จ หลังจากล้างมือของตนจนสะอาด หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับห้องของตน ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเองกำลังหรี่ตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม ใบหน้านางง่วงเหมือนกำลังจะหลับ หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นว่า “ข้าเตรียมวัตถุดิบเสร็จแล้ว เจ้าไปทำเถอะ”