เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโต ตัวนิ่งงัน มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

“ทำไม ไม่อยากไปหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มถามอย่างจงใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากตั่งโดยไม่ทันได้สวมรองเท้า ดวงตากลมโตของนางส่องเป็นประกาย ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “จริงหรือ ข้าเข้าครัวได้จริงหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ อุ้มนางวางลงบนตั่ง คุกเข่าลง ช่วยนางสวมรองเท้าจนเสร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มหวานให้นางจนตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว พูดอย่างเอาอกเอาใจว่า “แน่นอนสิ ข้าเตรียมของไว้เสร็จแล้ว เดี๋ยวข้าช่วยจุดไฟ เจ้าลงมือทำนะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโผเข้ากอดคอเขา ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น “อี้เซวียน เจ้าดีที่สุดเลย”

 

 

นานๆ ทีเขาถึงจะได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมีอาการตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจไม่แพ้กัน แต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งครัดว่า “ทำอาหารได้ แต่ต้องระวัง ห้ามสะดุดหรือชนโดนอะไร ไม่เช่นนั้นต่อไปเจ้าอย่าคิดว่าจะได้เข้าครัวอีก”

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารัว “ข้าระวังอยู่แล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแกะมือนางออก แล้วโอบไหล่นางเดินไปจนถึงห้องครัว

 

 

แม่ครัวและสาวใช้ที่ช่วยก่อไฟถูกหวงฝู่อี้เซวียนไล่ออกไป ตอนนี้ทั้งครัวเหลือเพียงพวกเขาสองคน ห้องจึงโล่งสบายไม่อึดอัด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองวัตถุดิบที่หวงฝู่อี้เซวียนเตรียมไว้แล้วรอบหนึ่ง คิดลำดับการทำอาหารในใจไว้เรียบร้อย

 

 

ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนก็ถลกแขนเสื้อขึ้นยัดลงไปบริเวณเอว คุกเข่าลง นำฟืนกองหนึ่งมายัดลงไปในเตา และก่อไฟอย่างชำนาญ

 

 

ทั้งสองคนทำงานอย่างรู้ใจกัน อาหารทั้งสี่อย่างจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหงื่อท่วมไปทั้งใบหน้า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนดับไฟในเตาทั้งหมด ลุกขึ้นยืน หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา เช็ดเหงื่อให้นางอย่างเห็นใจจนนางสะอาด “ที่เหลือให้ชิงหลวนและจูหลีทำเถอะ เรากลับห้องไปเช็ดล้าง เตรียมตัวกินข้าวกันเถอะ”

 

 

แม้จะรู้สึกสะใจที่ได้ทำอาหารทั้งสี่อย่างพร้อมกันทีเดียว แต่การทำอาหารด้วยการโค้งลำตัวตลอดเวลาก็ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหนื่อยเช่นกัน นางจึงพยักหน้า เดินกลับห้องไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากล้างหน้าและมือสะอาดแล้ว ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองคนก็ยกอาหารเข้ามา

 

 

“ไปเอาจานอีกสองใบมา” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง

 

 

ชิงหลวนไปห้องครัวเล็กนำจานมาอย่างรวดเร็ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแบ่งอาหารทั้งสี่อย่างใส่จานอีกสองใบ พูดว่า “จานหนึ่งพวกเจ้าเอาไปกิน อีกจานให้โจวอัน แล้วก็พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ที่นี่แล้ว ไปกินข้าวเถอะ”

 

 

ชิงหลวนและจูหลีดีใจใหญ่ ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังทำอาหารเมื่อครู่นี้ พวกเขาสองสามคนที่ยืนอยู่ในเรือนได้กลิ่นอาหารจนน้ำลายไหล โดยเฉพาะโจวอัน เขาถือโอกาสตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันสังเกตแอบย่องไปหน้าประตูห้องครัว และแอบมองเข้าไปหลายครั้ง เขาอยากจะเข้าไปกินสักสองสามคำ ตอนนี้ดีเลย นายหญิงแบ่งให้พวกเขาเยอะขนาดนี้ พวกเขาจะได้กินจนอิ่มหนำสำราญ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทั้งสองคนยกอาหารออกไปแล้วส่ายหัว อี้เซวียนรู้ว่าพวกเขาก็อยากกินอาหารที่นางทำมาก ตอนที่เตรียมวัตถุดิบก็เลยเตรียมไว้ปริมาณมากกว่าปกติ

 

 

อาหารที่ตัวเองทำเองนั้นหอมเย้ายวนใจนัก เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ก็กินอาหารคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อยทันที หวงฝู่อี้เซวียนแหมือนได้รับโรคติดต่อ เขาเองก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน จนสุดท้ายทั้งสองกินอิ่มจนพุงกาง

 

 

หลังจากสั่งให้ชิงหลวนและจูหลีเก็บถ้วยชาม และทั้งสองพักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว ก็ไปเดินเล่นในจวน

 

 

อากาศเดือนสิบนั้นไม่หนาวไม่ร้อน มีลมอ่อนๆ พัดโชยมาเป็นครั้งคราว ทั้งสองรู้สึกสบายมาก หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามกว่า จึงกลับห้องของตน

 

 

หลังจากสั่งคนเตรียมน้ำอาบน้ำไว้ ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำ เช็ดผมจนแห้งเสร็จ ก็อุ้มนางขึ้นวางลงบนเตียง จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็รีบอาบน้ำ เสร็จแล้วจึงนอนลงข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว มือหนึ่งเท้าศีรษะไว้ อีกมือหนึ่งเล่นผมของนาง ถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ รู้ไหมว่าวันนี้ข้าโกรธอะไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะลึมสะลือใกล้จะหลับแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำถามของเขาก็เบิกตาโต ตอบตามตรงว่า “ข้ารู้ เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่ระวังแล้วล้มหรือชนอะไรเข้า แล้วจะกระเทือนไปโดนลูก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้กลัวเจ้าจะหกล้มหรือชนสิ่งของหรอก แต่ข้าโกรธที่เจ้าไม่บอกว่าเจ้าอยากทำอะไร เจ้าจำไว้ ไม่ว่าเจ้าขออะไรก็ตาม ขอแค่เจ้าและลูกไม่เป็นอันตราย ข้ายอมให้เจ้าทำได้หมด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไปครู่หนึ่ง พลันรู้สึกใจชื้น ยันตัวเองขึ้นไปจูบเขาทีหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว ต่อไปหากมีเรื่องอะไรข้าจะบอกเจ้าหมดเลย”

 

 

ดวงตาหวงฝู่อี้เซวียนเป็นประกาย พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “สามีเจ้าดีขนาดนี้ จูบแค่ทีเดียวจะพอหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งเล็กน้อย รีบนอนกลับลงไป ห่มผ้าห่มกลับไปเหมือนเดิม เอนศีรษะไปข้างหนึ่ง พูดว่า “ข้าหลับแล้ว เมื่อครู่นี้แค่ละเมอไป”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะรดข้างคอนาง เมิ่งเชี่ยนโยวอายจนหน้าแดง ถลึงตาใส่เขา

 

 

แต่ในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียน ท่าทางของนางกลายเป็นการยั่วยวนอย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่ทันรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวปริปากพูด ก็ประทับริมฝีปากของตนลงไปทันที

 

 

และในค่ำคืนนี้ ภายใต้การใช้ ‘อำนาจโดยมิชอบ’ ของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบสนองความต้องการของเขาอย่างจำใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพึงพอใจแล้ว ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกล้านัก แม้แต่อาหารเช้าและอาหารเที่ยงของวันที่สองก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนป้อนให้ในขณะที่ยังมึนงงไม่ได้สติอยู่

 

 

เมิ่งซื่อและหวังเยียนพาเจ้าเด็กน้อยมาจวนอ๋อง หลังจากเด็กน้อยสร้างเสียงหัวเราะและความครึกครื้นอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไปแล้ว ก็ยังไม่พบเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนให้เหตุผลว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหนื่อย ตนจึงไม่อยากปลุกนาง แต่ก็ป้อนอาหารนางแล้ว บอกพวกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง

 

 

เมิ่งซื่อก็เชื่อสนิทใจ ไม่ได้ถามต่อ

 

 

พระชายาฉีรู้สึกผิดปกติ หลังจากส่งเมิ่งซื่อและครอบครัวกลับไปแล้ว ก็เดินไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียนทันที ถามชิงหลวนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “โยวเอ๋อร์ยังไม่ตื่นหรือ”

 

 

หลังจากชิงหลวนคารวะแล้ว ก็ตอบตามจริงว่า “นายหญิงยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาฉีขมวดคิ้ว เดินเข้าไปในห้องทันที เห็นหวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องอ่านหนังสือการแพทย์อย่างสบายใจ นางเดินขึ้นไป บิดหูเขาและลากออกจากห้องมา

 

 

ชิงหลวนและจูหลีตกใจ สบตาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากไปอย่างรวดเร็วไปยืนเฝ้าหน้าประตูใหญ่แทน

 

 

พระชายาฉีถามเสียงต่ำด้วยความโมโหว่า “บอกมา เมื่อคืนเจ้าทำโยวเอ๋อร์เหนื่อยใช่ไหม”

 

 

สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนพลันแดงก่ำขึ้นทันที ตามด้วยหูและคอของเขา

 

 

พระชายาฉีจะไม่รู้ได้อย่างไร ปล่อยมือที่บิดหูเขาออก ตบตีเขาสองสามที “ตอนนี้ร่างกายโยวเอ๋อร์ยังไม่สะดวก เจ้าอดทนหน่อยไม่ได้หรือไง หากกระทบกระเทือนลูกจะทำอย่างไร”

 

 

“เสด็จแม่ เราเพิ่งแต่งงานโยวเอ๋อร์ก็มีครรภ์แล้ว เสด็จแม่จะให้ข้าทนเก้าเดือนเลยหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ

 

 

พระชายาฉีชะงัก ใช่ เซวียนเอ๋อร์ยังหนุ่มยังแน่น หากยังไม่แต่งงานก็คงดี เหมือนเพิ่งเริ่มได้ลิ้มลองกลิ่นรสของเนื้อสัตว์ก็ไม่ให้กินเนื้อเสียแล้ว ดูท่าจะทำเขาลำบากไปหน่อย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ “พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่โยวเอ๋อร์เป็นแม่ลูกสอง แม้พวกเจ้าจะ… แต่ก็ไม่ควรทำเกินเลย เจ้าดูสิ โยวเอ๋อร์นอนทั้งวันยังไม่ตื่นเลย”

 

 

“เสด็จแม่ พวกเราไม่ได้ พวกเรา…” หวงฝู่อี้เซวียนหน้าแดง อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้พูดอะไร

 

 

ตั้งแต่เล็กพระชายาฉีไม่เคยเห็นลูกชายตนแสดงออกแบบนี้ นางรู้สึกแปลกใจ กำลังจะปริปากถาม เสียงตกใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นจากในห้อง อุ้ย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสะดุ้ง ร่างกายพลันเด้งกลับไปที่ห้องทันที เสียงร้อนรนก็ดังขึ้นตามมา “โยวเอ๋อร์ มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”

 

 

พระชายาฉีก็รีบเดินตามเข้าไปเช่นกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่ท้องของตนด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่านางไม่สบายท้อง หัวใจหล่นวูบ เหงื่อซึมออกมาทางหน้าผาก

 

 

พระชายาฉีผลักเขาออกไปด้วยความร้อนรน “ยังไม่รีบเรียกคนไปเรียกหมอหลวงเจียงมาอีก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตั้งสติได้ ปริปากกำลังจะเรียกโจวอัน เสียงชื่นมื่นใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นข้างหูเขา “อี้เซวียน เสด็จแม่ พวกท่านดูสิ ท้องข้าโตขึ้นภายในคืนเดียวน่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก ค่อยๆ ก้มหน้าลง มองไปที่ผ้าห่ม บริเวณท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวโก่งขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ

 

 

พระชายาฉีดึงหวงฝู่อี้เซวียนออก พูดด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “ข้าขอดูหน่อย ท้องโตขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แต่กลับใส่ไม่ได้แล้ว จึงพบว่าท้องข้าใหญ่ขึ้นเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาฉีวางมือลงบนผ้าห่ม ลูบบริเวณท้องของนางด้วยความตื่นเต้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ใช่ ท้องโตขึ้นจริงๆ ด้วย จากวันนี้ไปเจ้าใส่เสื้อหลวมหน่อยได้แล้วล่ะ แม่เตรียมไว้ให้เจ้าสองสามชุดแล้ว จะสั่งคนไปนำเสื้อมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

 

 

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เสด็จแม่”

 

 

“หลิงหลง ไปนำเสื้อตัวที่หลวมๆ มาหน่อย” พระชายาฉีสั่ง

 

 

หลิงหลงขานรับ เดินไปหยิบเสื้ออย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็หยิบมาวางลงบนเตียงของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

พระชายาฉีคลี่เสื้อตัวหนึ่งออก ยิ้มพูดว่า “แม่เจ้าบอกว่าเจ้าชอบลายดอกไม้เล็กๆ ข้าก็เลยทอไว้ให้ตัวหนึ่ง เจ้าลองสวมดูก่อนว่าพอดีไหม ถ้าไม่พอดีแม่จะทำให้เจ้าใหม่เลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดขอบคุณ ยังคงนอนอยู่บนเตียง

 

 

พระชายาฉีเข้าใจทันที นางลุกขึ้นและเดินออกไป “แม่รอดูอยู่ข้างนอกนะ เจ้าใส่เสร็จแล้วเรียกข้าได้เลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลุกนั่งขึ้น ผ้าห่มบนตัวร่วงหล่นลง ปรากฏรอยจูบบริเวณไหล่และลำคอของนาง

 

 

สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนลุกเป็นประกายอีกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจนตัวหดเกร็ง “เสด็จแม่อยู่ข้างนอก เจ้าอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ใส่เสื้อผ้าให้นางเงียบๆ ประคองนางลงมาจากเตียง และประคองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหนึ่งอย่างระมัดระวัง ส่วนตนก็ไปพับเก็บเครื่องนอนเรียบร้อย จึงตะโกนออกไปข้างนอกว่า “เสด็จแม่ ท่านเข้ามาเถอะ โยวเอ๋อร์ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วขอรับ”

 

 

พระชายาฉีเดินเข้าไปในห้องอย่างอดใจรอไม่ไหว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ยิ้มพูดชื่นชม “เสด็จแม่ ฝีมือดีมากเลยเจ้าค่ะ เสื้อผ้าใส่ได้พอดีเลย”

 

 

พระชายาฉีมองหน้ามองหลังอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างพอใจว่า “ต้องทำอีกสักสองสามชุด รอท้องหลายเดือนกว่านี้ค่อยใส่”

 

 

ดีที่มีเมิ่งซื่อมาเล่าเรื่องแปลกๆ ในชนบทให้พระชายาฉีฟัง มองดูเด็กๆ เล่นกันครื้นเครง เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเมิ่งซื่อไม่มา นอกจากจะปักเย็บเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เวลาที่เหลือนางก็คงรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ห้ามปราม พูดขอบคุณว่า “ขอบคุณเสด็จแม่เจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาฉีโบกมือ “ขอบคุณอะไรกัน แม่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จะได้ถักทอเสื้อผ้าฆ่าเวลาไปพลางๆ ”

 

 

เสียงรายงานของชิงหลวนดังขึ้นจากข้างนอก “นายท่าน ไท่จื่อส่งคนมาส่งข่าวแล้วขอรับ บอกว่าได้ความเรื่องของคุณชายเมิ่งแล้วขอรับ”