เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าออกไปข้างนอก มือขวาพยุงหลังเอวไว้ทันที ทั้งตัวดูอวบอ้วนและเดินเซไปมา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้นก็รีบขึ้นไปโอบนางไว้ และพาเดินออกจากห้องไป
พระชายาฉีมองแผ่นหลังของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความดีใจ รู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ดีจัง อีกไม่กี่เดือน จวนอ๋องก็จะมีเสียงร้องเสียงหัวเราะของเด็กน้อยแล้ว
ชายสวมชุดดำตัวสูงใหญ่นายหนึ่งยืนอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นทั้งสองออกมา ก็คำนับคารวะ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”
“ไท่จื่อบอกหรือยังว่าลูกพี่ลูกน้องของข้าได้ตำแหน่งอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน ถามด้วยเสียงหอบเล็กน้อย
ชายชุดดำตอบอย่างนอบน้อมว่า “ไท่จื่อทรงตรัสให้ข้าบอกซื่อจื่อเฟยว่า คุณชายเมิ่งและเพื่อนของท่านจะได้เป็นนักประวัติศาสตร์ในสำนักราชบัณฑิตขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า “ขอบพระคุณไท่จื่อ เจ้าแจ้งแก่เขาว่า หากวันใดมีเวลาว่างจะขอเชิญท่านมาดื่มในจวน”
ชายชุดดำขานรับ หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
“ข่าวดีน่าจะส่งไปถึงหนานเฉิงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เช้าหลังจากเรากินข้าวเช้ากันแล้วกลับบ้านกันเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขอร้อง
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่ท้องน้อยๆ ที่ยื่นออกมาของนาง ก็รู้สึกลังเลใจ เมิ่งเชี่ยนโยวเดาความคิดเขาออก จึงพูดขึ้นว่า “ที่บ้านก็มีเพียงข่าวใหญ่ข่าวเดียวแล้ว รอพี่เมิ่งเหรินได้ขึ้นรับตำแหน่งแล้ว ท่านแม่ก็จะมาหาเราที่จวนทุกวัน ถึงตอนนั้นเราก็ไม่ต้องไปหนานเฉิงอีกแล้ว”
“พรุ่งนี้รีบไปรีบกลับแล้วกัน ไม่นอนที่บ้านนะ” ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวยื่นออกมาแล้ว คำพูดของหมอหลวงเจียงดังขึ้นในหัวหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้ง นอกจากรู้สึกยินดีด้วยแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นกังวลด้วย ในจวนมียามากมายหลายชนิด หากเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอะไรไป ก็สามารถใช้ได้ทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวขานตอบว่า “ได้ พวกเรารีบไปรีบกลับ”
ไม่คิดว่าวันที่สองเมิ่งเชี่ยนโยวจะนอนตื่นสาย เมื่อนางลืมตาขึ้น ก็เห็นฟ้าข้างนอกที่สว่างจ้า นางจึงรู้ว่าสายมากแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ลุกขึ้น เรียกชิงหลวนเข้ามาถาม ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงอย่างที่คาดไว้
ชิงหลวนเทน้ำอุ่นให้นางแก้วหนึ่ง ส่งไปให้นาง “ซื่อจื่อเห็นว่าท่านหลับสบาย สั่งพวกข้าอย่ารบกวนท่าน เขาไปหนานเฉิงคนเดียวแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกนั่งขึ้น รับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว แล้วส่งแก้วเปล่าคืนให้ชิงหลวน
“ซื่อจื่อทำข้าวต้มไว้ด้วยเจ้าค่ะ อุ่นไว้อยู่บนเตาในห้องครัว นายหญิงอยากทานตอนนี้หรือรอหลังเช็ดล้างหน้าเสร็จเจ้าคะ”
“ข้าหิวพอดี เจ้าไปยกมาเลย ข้าจะลุกจากเตียงเดี๋ยวนี้แหละ”
ชิงหลวนไม่ได้เดินออกไปอย่างเคย แต่กลับเรียกไปข้างนอกว่า “จูหลี เจ้าไปยกข้าวต้มในห้องครัวมาให้นายหญิงหน่อย”
จูหลีขานรับจากด้านนอก
ชิงหลวนส่งเสื้อผ้าตัวหนึ่งของเมิ่งเชี่ยนโยวที่แขวนอยู่ในห้องให้ “ซื่อจื่อสั่งไว้ตอนไปว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากเขาไม่อยู่ในจวน ให้พวกเราคอยรับใช้ท่านตอนตื่นนอนเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโบกมือ รับเสื้อผ้ามาใส่ “ข้าไม่ได้เป็นคุณหนูขนาดนั้น เรื่องพวกนี้ข้าทำเองก็ได้ เจ้าไปนำอ่างใส่น้ำมาให้ข้าล้างหน้าหน่อย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คำสั่งของซื่อจื่อเราต้องทำตาม ไม่อย่างนั้นซื่อจื่อกลับมาข้ากับจูหลีต้องแย่แน่ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวใส่เสื้อซับด้านในเสร็จแล้ว เปิดผ้าห่มออกลงจากเตียง ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งเขา แล้วคำสั่งข้าล่ะ ไม่ฟังแล้วหรือ”
ชิงหลวนคลี่เสื้อนอกออก ส่งสัญญาณให้นางกางแขนออกและสอดแขนเข้าไป “ตอนนี้มีซื่อจื่อคอยหนุนหลัง หากท่านพูดไม่ถูกต้อง เราก็คงไม่ฟังจริงๆ นะเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกางแขนออกอย่างไม่มีทางเลือก ยิ้มแล้วด่าว่า “แม่ตัวดี อย่าลืมนะว่าเรื่องแต่งงานของเจ้ากับเหวินซงยังไม่ตกลงเลย หากเจ้าไม่ฟังข้า ข้าไม่ตกลงให้พวกเจ้าหมั้นหมายกันแน่”
ชิงหลวนไม่รู้สึกเกรงกลัว พูดพลางมัดเสื้อให้ว่า “ข้าอยากจะให้ท่านไม่จัดแจงหมั้นหมายจะแย่ หากเป็นเช่นนี้ข้าจะได้มีเหตุผลอยู่ดูแลข้างๆ ท่านไงเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะอึก เงียบไปนาน
ชิงหลวนเม้มปากแอบยิ้ม หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าให้นางเสร็จแล้ว ก็เดินยิ้มออกไปข้างนอกเติมน้ำใส่อ่างเข้ามา
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้างทำความสะอาดหน้าและมือเสร็จ จูหลีก็ยกข้าวต้มและกับข้าวสองสามอย่างเข้ามา
เมื่อนางกินเสร็จ ชิงหลวนและจูหลีก็เก็บถ้วยชามไป จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พาพวกนางไปเดินเล่นในสวนดอกไม้หลังเรือน
วันนี้หวงฝู่อวี้ยังคงไม่ได้ออกจากบ้านเช่นเคย เขาอยู่ในจวนเป็นเพื่อนหลินหันเยียน เมื่อเห็นว่าวันนี้อากาศดี จึงพานางออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลังเรือนเช่นกัน เสียงหัวเราะสดใสของหลินหันเยียนดังขึ้น ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรให้หลินหันเยียนฟังบ้าง
ฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันหยุดชะงักลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นำชิงหลวนและจูหลีเดินกลับไป
ชิงหลวนและจูหลีสบตากันครู่หนึ่ง ส่ายหัวขึ้นพร้อมกัน คุณชายรองไม่ได้ออกจากจวนไปหลายวันแล้ว การงานในร้านค้าของจวนก็ไม่ได้เข้าไปดูแลเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ซื่อจื่อเลย นายหญิงเองก็ไม่พอใจหรอก
ในสวนดอกไม้ หลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงหันไปมองที่ทางเข้าของสวนดอกไม้พร้อมกัน แต่กลับไม่พบใคร
หลินหันเยียนขมวดคิ้วสงสัย “พี่อวี้ เมื่อครู่ข้าเหมือนได้ยินเสียงเท้าเลย มีใครมาหรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้มองกลับมาที่นางที่หน้าตาซูบเซียว พลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “น่าจะเป็นบ่าวรับใช้ในจวนที่เข้ามาทำความสะอาด แต่ได้ยินเสียงของเราก่อน ก็เลยถอยกลับไปน่ะ”
หลินหันเยียนหันไปมองทางเข้าสวนดอกไม้ที่ว่างเปล่าอีกครั้ง แล้วพยักหน้า “ร่างกายข้าดีขึ้นเยอะแล้ว วันนี้พี่พาข้าไปเข้าพบพระชายาเถอะ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “หลายวันมานี้เสด็จแม่ดูแลแต่เจ้า สมควรไปขอบคุณเสียหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนทิศทาง อยากจะไปเดินเล่นในจวน แต่คิดไปคิดมาก็เปลี่ยนไปเรือนของพระชายาฉี
พระชายาฉีนั่งอยู่บนตั่งในห้องกำลังปักเย็บเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็วางมือจากงานทั้งหมดลง เดินยิ้มไปต้อนรับถึงประตู “เซวียนเอ๋อร์ล่ะ ไม่ได้มากับเจ้าหรือ”
“เขาไปหาท่านแม่ที่หนานเฉิงแล้วเจ้าค่ะ ข้านอนตื่นสาย เขาไม่ได้ปลุกข้า ข้าจึงมาหาเสด็จแม่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
“ไปนั่งบนตั่งเถอะ แสงแดดกำลังดีเลย อาบแดดแล้วสบายตัวมาก”
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นด้ายและเข็มบนตั่ง ก็รู้ว่าพระชายาฉีกำลังถักเย็บเสื้อให้ตนอีกแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ เสื้อผ้าข้าเยอะพอแล้ว ท่านอย่าทำอีกเลย สายตาจะเสียเอานะเจ้าคะ”
พระชายาฉีส่งสัญญาณให้หลิงหลงเก็บผ้าและเข็มด้ายลงไป “แม่ไม่มีอะไรทำน่ะ ก็เลยทำเสื้อผ้าสองสามตัวให้เจ้าเป็นการฆ่าเวลา รอลูกออกมาเมื่อไหร่ แม่คงไม่มีเวลามาดูแลเจ้าแล้วนะ”
พระชายาฉีเห็นตนเองเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตนจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจแต่อย่างใด จงใจพูดหยอกล้อว่า “เสด็จแม่มีหลานชายหลานสาวแล้ว ก็จะไม่เอาลูกสะใภ้อย่างข้าแล้วใช่ไหมเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรู้ว่านางพูดหยอกเล่น ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามีเซวียนเอ๋อร์รักอยู่ แม้ข้าอยากจะแย่งก็แย่งมาไม่ได้หรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง
พระชายาฉีกำลังจะเปลี่ยนเรื่องมาถามไถ่สุขภาพของนาง เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “เสด็จแม่อยู่ไหมขอรับ ร่างกายเยียนเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว จึงมาขอบคุณเสด็จแม่ขอรับ”
สีหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันหายไป
สีหน้าของพระชายาฉีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางนั่งนิ่งไม่ขยับ พูดเสียงดังว่า “หลิงหลง เชิญองค์ชายรองและคุณหนูหลินเข้ามา”
หลิงหลงขานรับ เปิดม่านประตู หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนเดินเรียงกันเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ก็ยิ้มคารวะพระชายาฉีก่อนแล้วก็ยิ้มพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ระหว่างทางที่มาเยียนเอ๋อร์ยังพูดกับข้าอยู่เลยว่าวันไหนมีเวลาว่างจะเข้าไปขอบคุณท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบางๆ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก สุขภาพคุณหนูหลินไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
หลินหันเยียนถอนสายบัวให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอ่อนโยนว่า “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าไม่มียาที่ซื่อจื่อเฟยมอบให้ ข้าคงอยู่ได้ไม่ถึงทุกวันนี้ บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่านนั้น หันเยียนไม่ลืมแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งนิ่ง ทำท่าประคองตัวเล็กน้อย “คุณหนูหลินเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่งเถอะ”
หลังจากหลินหันเยียนกล่าวขอบคุณ ก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสุภาพ
“สีหน้าคุณหนูหลินดีขึ้นมากเลย ร่างกายคงไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหม ไม่ทราบว่าเจ้าวางแผนอนาคตอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หลินหันเยียนชะงัก สีหน้าพลันซีดเผือด มือไม้อ่อนไปหมด
หวงฝู่อวี้เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร รีบอธิบายว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เยียนเอ๋อร์…”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบตามอง หวงฝู่อวี้ใจหล่นวูบ คำพูดถูกกลืนกลับไปหมด
หลินหันเยียนกัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออกสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบร้อน รอฟังคำตอบจากนาง
พระชายาฉีรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี รู้ว่านางไม่ถามสุ่มสี่สุ่มห้า จึงไม่ได้ช่วยพูดแก้สถานการณ์
ทั้งห้องเงียบสนิท บรรยากาศน่าอึดอัดยิ่งนัก
หลินหันเยียนแทบจะกัดริมฝีปากของตนจนแตก นัยน์ตาเหมือนจะร้องไห้ ผ่านไปนาน กว่าจะพูดออกเสียงสั่นเครือว่า “ข้ายังไม่รู้เจ้าค่ะ”
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเย็นชา พูดอย่างคมคายว่า “จะว่าไปคุณหนูหลินก็เป็นสตรีจากตระกูลชั้นสูง พูดจาหรือทำสิ่งใดไม่ควรลังเลและไม่มีความเด็ดขาดเช่นนี้ ร่างกายของเจ้าก็ดีขึ้นแล้ว ควรจะวางแผนสำหรับอนาคตบ้างแล้ว”
น้ำตาเม็ดโตของหลินหันเยียนไหลลงมา
หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าและเยียนเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ข้าจะตบแต่งนางแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเขา ถามอย่างไม่เกรงใจว่า “แล้วอย่างไรต่อล่ะ”
หวงฝู่อวี้ชะงัก “แล้ว แล้วอะไรขอรับ”
“เจ้าลืมพระราชโองการของไทเฮาไปแล้วหรือ เจ้าตบแต่งคุณหนูหลินไม่ได้ ทำได้เพียงอุปถัมภ์นาง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตรงไปตรงมาอย่างไม่ไว้หน้า
สีเลือดฝาดบนใบหน้าของหลินหันเยียนหายไป หน้านางซีดเผือดเหมือนกระดาษสีขาว
หลายวันมานี้ หวงฝู่อวี้อยู่กับหลินหันเยียนตลอดเวลา คอยดูแลนาง ให้คำปรึกษานาง จนลืมพระราชโองการของไทเฮาไปนานแล้ว เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น เขาจึงนึกขึ้นได้ และลุกพรวดขึ้นมาทันที พูดเสียงดังว่า “เสด็จแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเยียนเอ๋อร์จะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ ข้าก็จะตบแต่งนางเพียงผู้เดียว”
“ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!” เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วโป้งชื่นชมเขา
สีหน้าหวงฝู่อวี้แดงระเรื่อ ยิ้มแห้งๆ ให้สองสามที ครั้นกำลังจะปริปากพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นว่า “ข้าอยากจะถามว่าคุณชายรองมีวิธีอะไรมาสู้กับไทเฮาหรือ”
คำพูดของหวงฝู่อวี้จุกอยู่ในลำคอ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขา รอฟังคำตอบจากเขาอย่างตั้งใจ
หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายลงไปสองสามอึก พูดติดอ่างว่า “ข้า ข้า ข้า…” พูดข้าอยู่นานแต่ก็ไม่มีคำพูดต่อจากนั้นออกมา
“หากอยากจะทำให้บรรลุเป้าหมาย เอาชนะไทเฮา ก็ต้องมีความสามารถพอที่จะเอาชนะท่านได้ ปากเอาแต่พูดไม่ได้หรอก ในเมื่อไทเฮาออกราชโองการแล้ว ต้องไม่อนุญาตให้เจ้ารับคุณหนูหลินเป็นภรรยาเพียงคนเดียวแน่ ข้าขอพูดอะไรตรงๆ สักคำนะ ไทเฮาอาจจะช่วยเจ้าหาเมียหลวงไว้แล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ ผลที่ตามมาของการขัดราชโองการเจ้าเคยคิดถึงบ้างไหม”
หวงฝู่อวี้นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก ตอนนั้นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็พบเจอสิ่งกีดขวางมากมาย สุดท้ายก็แต่งงานกันจนได้ เขาจึงคิดว่าตัวเองก็ทำได้ แต่ตอนนี้เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ เขาก็เพิ่งสำเหนียกตัวว่าตนไม่ได้มีความสามารถที่จะเอาชนะไทเฮาได้เลย ไม่ว่าจะตำแหน่งเขาที่เป็นเพียงลูกอนุ หรือทรัพย์สินเงินทองที่เขาเองก็ไม่มี หากไม่ใช่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่ให้เขาดูแลงานการค้าขายในจวน เขาก็คงเป็นเพียงลูกเมียน้อยในจวนอ๋องที่ไร้ประโยชน์
หลินหันเยียนก้มหน้า น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนเสื้อผ้า
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นเหนือศีรษะนาง “คุณหนูหลิน ที่ข้าพูดไปไม่ใช่จะแทงใจดำ แต่ข้าแค่พูดตามความจริง ตอนนี้สถานการณ์ที่พวกเจ้าประสบอยู่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าแอบอยู่ในเรือนไม่ไปไหนแล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป”
“ในฐานะที่ข้าและอี้เซวียนเป็นพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องบางเรื่องเราช่วยแบกรับได้ แต่บางเรื่องก็ไม่ได้ ก็เหมือนกับเรื่องของพวกเจ้า เราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก พวกเจ้าต้องแก้ไขปัญหาทุกอย่างเอง หวังว่าคุณหนูหลินจะไม่โทษพวกเรา”
หลินหันเยียนเงยหน้าขึ้น ขยี้จมูกเบาๆ พูดสะอึกสะอื้นว่า “ข้ารู้เจ้าค่ะ แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจริงๆ ข้า ข้า…” พูดไม่ทันจบ น้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง
ในใจพระชายาฉีนั้นรู้สึกโชคดีมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นางคิดว่านิสัยของหลินหันเยียนมีส่วนคล้ายตนเอง เป็นประเภทเจออะไรก็ไม่ย่อท้อ ค่อนข้างหัวแข็ง ดื้อดึง แต่บัดนี้เพิ่งรู้ว่านางเป็นเพียงเด็กน้อยที่ถูกตามใจจนเสียคน ไม่ได้เหมือนตัวเองแม้แต่นิดเดียว โชคดีที่ตอนนั้นเซวียนเอ๋อร์บอกให้ยกเลิกงานแต่งนี้ ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยอย่างนางเช่นนี้ ตัวเองคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสุขสงบแน่