หลินหันเยียนเอาแต่ร้องไห้ ไม่พูดอะไร

 

 

หวงฝู่อวี้ปวดใจยิ่งนัก รู้สึกเสียใจที่มาขอบคุณพระชายาฉีวันนี้ หากรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะพูดแบบนี้ต่อหน้า ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่พาเยียนเอ๋อร์มาหรอก แม้เขาจะรู้ว่าที่นางพูดไปก็พูดด้วยความหวังดีทั้งนั้น แต่ร่างกายเยียนเอ๋อร์ก็เพิ่งหายดี อารมณ์ก็เพิ่งสงบลงได้ เขาไม่อยากให้เยียนเอ๋อร์ถูกระทบกระเทือนอีกแล้ว

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ลุกขึ้น คารวะพระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยว “เสด็จแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ ร่างกายเยียนเอ๋อร์ยังไม่ฟื้นฟูดี เราขอกลับก่อนนะขอรับ เมื่อข้ามีเวลาจะไปหาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคอยสังเกตพวกเขาตลอดเวลา จดจำสีหน้าพวกเขาไว้ รู้ว่าหวงฝู่อวี้รู้สึกปวดใจ อยากจะปกป้องหลินหันเยียน นางจึงพูดเพียงเท่านี้ ส่วนต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่พวกเขาสองคนแล้วว่าจะทำอย่างไร นางจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

พระชายาฉีเริ่มไม่พอใจ น้ำเสียงไม่ได้อ่อนโยนอย่างเมื่อครู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าประคองคุณหนูหลินกลับไปพักผ่อนเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องมาแล้วล่ะ”

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงัก

 

 

หลินหันเยียนเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มองพระชายาฉีอย่างไม่เชื่อสายตา

 

 

พระชายาฉีพูดจบ ไม่แม้แต่จะดูปฏิกิริยาของทั้งสอง สั่งหลิงหลงว่า “ส่งคุณชายรองและคุณหนูหลินออกไปเถอะ”

 

 

หลิงหลงก็สัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองของพระชายาฉี นางขานตอบและเดินขึ้นไปข้างหน้า ผายมือเชิญทั้งสองออกไป “คุณชายรอง คุณหนูหลิน บ่าวจะส่งพวกท่านออกไปเจ้าค่ะ”

 

 

หวงฝู่อวี้เรียกสติกลับคืนมา ปริปากอยากจะพูดอะไร แต่เห็นพระชายาฉีไม่สนใจพวกเขา ก็เหลือบมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดก็ถูกกลืนกลับไปหมด เขาจึงประคองหลินหันเยียนที่นิ่งอึ้งอยู่ คารวะทีหนึ่งแล้วเดินจากไป

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสองออกจากเรือนไป เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มพูดว่า “เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์ยังเด็ก อย่าถือสาเอาความมากเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดเกลี้ยกล่อม

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ โบกมือ ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ “ไม่พูดเรื่องพวกเขาแล้ว ถามเรื่องของเจ้าหน่อย ช่วงนี้ร่างกายเจ้ามีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ สุขภาพข้าดีมาก เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

“จะให้ข้าไม่เป็นห่วงได้อย่างไร ตอนนั้นท้องเจ้าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ก็ตั้งท้องแฝดอีก ไม่รู้ว่าร่างกายเจ้าจะรับไหวหรือเปล่า”

 

 

“ข้ารู้ร่างกายตัวเองดี ตอนนี้แข็งแรงจะตายไป ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ดูแลสุขภาพของท่านให้ดี รอดูหลานชายของท่านเถอะ”

 

 

“ข้าไม่เอาหลานชายหรอกนะ วุ่นวายจะตายไป หลานสาวดีกว่า รู้จักเอาใจใส่ หากได้หลานสาวทั้งสองคน ไม่เพียงแต่ลูกทั้งสองของเจ้าที่แม่จะตามใจ แต่จะคอยตามใจเจ้าด้วย” เมื่อพูดจบก็รู้สึกไม่ถูกต้อง ขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ถ้าได้เป็นหลานสาวสองคน ก็ต้องคลอดอีก แม่ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เจ้าคลอดชายหนึ่งหญิงหนึ่งดีกว่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนดวงตากลมโตเป็นเส้นเดียว “เสด็จแม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้ากำหนดได้นะ ท่านทำข้าลำบากใจเสียแล้ว”

 

 

พระชายาฉีก็หัวเราะ ความขุ่นเคืองเมื่อครู่ก็หายไป ยิ้มพูดว่า “แม่ก็แค่พูดไปเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าคลอดได้หญิงหรือชาย ก็เป็นหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทั้งนั้นแหละ”

 

 

ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่กลับมา พระชายาฉีจึงสั่งหลิงหลงไปห้องครัวเฝ้าคนทำซุปรังนกให้เมิ่งเชี่ยนโยวดื่ม

 

 

พ่อบ้านเดินเข้ามาในเรือน รายงานว่า “พระชายาฉี ซื่อจื่อเฟย ข้างนอกมีผู้เฒ่าคนหนึ่งและสามีภรรยาคู่หนึ่งพาลูกมาด้วย บอกว่าแซ่ฮั่ว มาขอบคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”

 

 

น่าจะเป็นนายท่านฮั่วและสองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสั่งว่า “ไปบอกพวกเขาว่าเราไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ตอนนั้นที่นายท่านฮั่วช่วยคนในสำนักคุ้มภัยว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนพวกเขาแล้วกัน และขอให้พวกเขาจงทำดีต่อไป”

 

 

ผู้ดูแลบ้านขานรับ เดินออกไปแจ้งสารต่อ สักพักก็กลับเข้ามา “ซื่อจื่อเฟย ผู้เฒ่าคนนั้นบอกว่านอกจากมาขอบคุณแล้ว ยังนำสมุนไพรที่ช่วยฟื้นคืนชีพมาให้ท่านด้วย”

 

 

ไม่ทันรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ พระชายาฉีก็รีบสั่งว่า “รีบไปเชิญพวกเขาไปที่เรือนรับรอง ซื่อจื่อเฟยจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

 

 

ผู้ดูแลบ้านขานรับอีกครั้ง แล้วรีบเดินออกไป

 

 

พระชายาฉีเร่งเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ยังนั่งอยู่ทำไม รีบไปสิ หากเป็นสมุนไพรคืนชีพจริง ต้องใช้เงินเท่าไหร่พวกเราก็ยอมจ่าย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าตนจะเป็นอะไรไปตอนคลอดลูก นางจึงไม่ดึงดันบอกว่าไม่เอา นางลุกขึ้นยืน ยิ้มพูดว่า “เสด็จแม่ ใจเย็นๆ นะเจ้าคะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

 

 

“ชิงหลวน จูหลี ดูแลนายหญิงของพวกเจ้าให้ดี” โอกาสแบบนี้พระชายาฉีไม่เหมาะสมที่จะไปด้วย จึงสั่งทั้งสองคนเสียงดัง

 

 

ชิงหลวนและจูหลีเดินเข้ามา คอยประกบตามอยู่ด้านซ้ายและขวาของนางจนมาถึงเรือนรับรอง

 

 

นายท่านฮั่วและสองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงยืนรออยู่หน้าเรือนรับรอง เมื่อได้ยินเสียง ก็หันหลังกลับ เห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบคารวะทันที “ข้าน้อยขอคารวะซื่อจื่อเฟยขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าประคอง “นายท่านฮั่ว ที่นี่คนกันเองทั้งนั้น มารยาทพวกนี้ก็ละไว้เถอะ”

 

 

นายท่านฮั่วกล่าวขอบคุณ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินผ่านไป นั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มพลางผายมือออกพูดว่า “ทุกท่าน เชิญนั่งเถอะ”

 

 

นายท่านฮั่วโค้งตัวคำนับ “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยขอยืนขอรับ”

 

 

“นายท่านฮั่ว ก่อนหน้านี้เราเคยไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นคนสนิทกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก เชิญนั่งเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเชิญอีกครั้ง หากตนไม่นั่งลงอีก ก็ไม่รู้จักกาลเทศะแล้ว หลังจากนายท่านฮั่วกล่าวขอบคุณแล้ว ก็นั่งลงบนเก้าอี้

 

 

สามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงที่อุ้มลูกอยู่ก็นั่งลง

 

 

“วันนี้ข้าน้อยมาขอบคุณซื่อจื่อเฟยที่ช่วยเหลือลูกเขยของข้าน้อย มีคำสั่งแต่งตั้งลูกเขยส่งมาแล้ว เขาได้เข้าทำงานในสำนักราชบัณฑิต ข้าน้อยรู้ว่าในนี้มีคุณงามความดีของซื่อจื่อเฟย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มพูดว่า “เรื่องนี้เป็นคุณงามความดีของข้าและซื่อจื่อจริง ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่ตอนนั้นท่านช่วยชีวิตของสำนักคุ้มภัยไว้แล้วกัน แม้สำนักราชบัณฑิตจะเป็นที่ทำการปกครองของเขตชิงสุ่ย เป็นที่ที่ข้าราชบริพารต่างพากันประจบสอพลอ หวังว่าลูกเขยของท่านจะไม่หลงระเริง จนทำเรื่องที่ไม่ควรทำ โปรดจำไว้ว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ไท่จื่อประทานให้นะ”

 

 

เพียงประโยคเดียวมีความหมายสองอย่าง นอกจากเป็นการเตือนสองสามีภรรยาอย่าทุจริตและติดสินบนแล้ว ยังเป็นการบอกเป็นนัยว่า ไท่จื่อรู้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าแล้ว ขอแค่เจ้าตั้งใจทำ เมื่อไท่จื่อรับตำแหน่งเป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าย่อมได้รับใช้ในตำแหน่งที่สูงขึ้น

 

 

นายท่านฮั่วสามารถขยับขยายกิจการที่บ้านได้ใหญ่โตขนาดนี้ จึงเป็นคนฉลาดทันคนเป็นธรรมดา จะไม่รู้ความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวได้อย่างไร เขารีบลุกขึ้นยืน คุกเข่าต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง ลำตัวสั่นเล็กน้อยพร้อมก้มศีรษะติดพื้นพูดว่า “ขอบคุณซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยขอรับ”

 

 

ฮั่วเซียงหลิงและสามีของเขารู้สึกช้าไป เมื่อคิดได้อีกทีก็รีบคุกเข่าและก้มศีรษะติดพื้นอย่างดีใจ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ/เจ้าค่ะ”

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ”

 

 

ทุกคนกล่าวขอบคุณ นั่งกลับบนเก้าอี้อย่างมีความสุข

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้มอ่อนโยน โบกมือให้เด็กน้อย “มานี่สิ!”

 

 

เด็กน้อยเงยหน้ามองฮั่วเซียงหลิง ใช้สายตาถามนางว่าไปได้ไหม

 

 

ฮั่วเซียงหลิงพยักหน้า “ไปเถอะ เชื่อฟังนะ อย่าชนโดนซื่อจื่อเฟยล่ะ”

 

 

เด็กน้อยพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ก้าวเท้าน้อยๆ ของตนที่ส่ายไปมาอย่างไม่มั่นคงเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าอุ้มเขา นางยิ้มพลางโค้งตัวลง หยอกเล่นเขาอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็ไม่กลัวคน พูดทำเสียงอ้อแอ้เล่นด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจมาก จับมือน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มของเขา สั่งว่า “ชิงหลวน ข้าจำได้ว่าในห้องคลังมีกำไลข้อมือของเด็กอยู่ เจ้าไปเอามาหน่อยสิ”

 

 

ชิงหลวนขานรับ ไปห้องคลัง ผ่านไปครู่หนึ่งก็นำกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งกลับมา ส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดกล่อง ข้างในมีกำไลเล็กๆ สองอันประกายแสงวิบวับอยู่ นางนำกล่องวางลงบนโต๊ะ หยิบออกมาอันหนึ่ง กำลังจะสวมให้เด็กน้อย

 

 

นายท่านฮั่วรีบห้าม “ซื่อจื่อเฟย ไม่ได้นะขอรับ สิ่งของนี้ล้ำค่าเกินไป”

 

 

ฮั่วเซียงหลิงตกใจ

 

 

เด็กน้อยมองนิ่ง

 

 

“สิ่งนี้ข้าซื้อตอนเดินดูของประดับเล่น ข้าเห็นสวยดี จึงซื้อมา ไม่ได้แพงมากและก็ไม่ได้มีค่าอะไรด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดพลางสวมกำไลให้เด็กน้อย

 

 

เด็กน้อยชอบมาก หันหลันกลับวิ่งไปหาฮั่วเซียงหลิง ยื่นมือน้อยๆ ของตนออกไป อวดให้นางดู “ท่านแม่ สวยจังเลย”

 

 

ในเมื่อซื่อจื่อเฟยเป็นคนสวมให้เองแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถถอดออกส่งคืนกลับไปได้ นายท่านฮั่วและสองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงจึงได้แต่กล่าวขอบคุณ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ

 

 

นายท่านฮั่วโบกมือ บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็นำกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งเข้ามา

 

 

นายท่านฮั่วรับมา และโบกมือให้บ่าวรับใช้ถอยลงไป มือหนึ่งยกกล่องไว้ อีกมือเปิดกล่องออก ดอกบัวสีแดงสดดอกหนึ่งวางอยู่ข้างใน

 

 

ชิงหลวนและจูหลีเกือบจะร้องออกเสียง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา

 

 

นายท่านฮั่วพูดแนะนำ “นี่คือดอกบัวสีเลือด ตำนานเล่าขานกันว่ามีฤทธิ์ช่วยสมานแผล และฟื้นคืนชีพได้ เมื่อสิบปีก่อน ข้าขึ้นเขาทางเหนือเพื่อไปเก็บสมุนไพรและวัตถุดิบ บังเอิญเก็บได้ วันนี้ขอมอบให้ซื่อจื่อเฟย เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยลูกเขยข้า”

 

 

เสียงของชิงหลวนเต็มไปด้วยความดีใจ “นายหญิง!” พวกนางเคยได้ยินชื่อของดอกบัวสีเลือด ร้อยปีถึงจะมีหนึ่งต้น เล่ากันว่าไม่ว่าใครบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ขอเพียงยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย เมื่อทานดอกบัวสีเลือดเข้าไปแล้วจะกลับเป็นปกติทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินความตื่นเต้นดีใจของชิงหลวน นางรู้ว่าดอกบัวสีเลือดอาจจะมีประโยชน์เช่นนั้นจริง สีหน้านางเหมือนเดิม ยิ้มและโบกมือปฏิเสธ “นายท่านฮั่ว ดอกบัวสีเลือดนั้นหายากและแพงเกินไป ข้ารับไว้มิได้หรอก ท่านนำกลับไปเถอะ”

 

 

นายท่านฮั่วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นกล่องไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ดอกบัวสีเลือดนี่ หากเป็นคนอื่น แม้จะนำทรัพย์สินเงินทองนับสิบล้านมาแลก ข้าก็ไม่ให้หรอก แต่ตอนนี้ข้าขอมอบให้ท่านจากใจจริง หนึ่งคือเพื่อขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือลูกเขยข้า สองคือเพื่อขอบคุณที่ท่านเมตตาใจกว้าง หลังจากที่ลูกสาวข้าทำผิดแล้วยังอภัยให้พวกเราทั้งบ้าน”

 

 

“นายท่านฮั่วพูดเกินไปแล้วล่ะ คุณหนูฮั่วไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับพวกเราอยู่แล้ว ท่านมิต้องเก็บมาคิดมากหรอก”

 

 

“ความผิดพลาดของลูกสาวข้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรอภัย นอกจากซื่อจื่อเฟยจะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเอาความกับเราแล้ว ยังโปรดเมตตาช่วยเหลือลูกเขยข้าเข้าสำนักราชบัณฑิตอีก บุญคุณนี้ข้าน้อยตายไปก็ไม่ลืม ท้องของซื่อจื่อเฟยเคยได้รับบาดเจ็บ ได้ยินว่าตอนนี้ยังตั้งครรภ์ลูกแฝดอีก เมื่อท่านคลอด ดอกบัวสีเลือดนี้อาจจะช่วยท่านได้นะขอรับ ขอท่านรับไว้เถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่อยากรับไว้

 

 

ชิงหลวนและจูหลีร้อนรนจนทนไม่ไหว ขยิบตาให้เมิ่งเชี่ยนโยวตลอดเวลา

 

 

นายท่านฮั่วจึงคุกเข่ากอดกล่องลงพื้น พูดจาขู่เข็ญว่า “หากซื่อจื่อเฟยไม่รับดอกบัวสีเลือดนี้ไว้ ข้าจะคุกเข่าไม่ลุกไปไหนขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งแต่ไหนมา นางเพิ่งเคยเจอคนบังคับให้ตนรับของขวัญไว้แบบนี้

 

 

สองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงสบตากันครู่หนึ่ง คุกเข่าลงบนพื้น พูดพร้อมกันว่า “ซื่อจื่อเฟยโปรดรับไว้เถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่พยักหน้า “ได้ ข้ารับดอกบัวสีเลือดไว้แล้วกัน แต่ของขวัญนี้ล้ำค่าเกินไป ข้าจะรับไว้อย่างเดียวไม่ได้ เอาอย่างนี้ ข้าสัญญากับพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง” พูดถึงตรงนี้ ก็ชี้ไปที่เด็กน้อยพูดขึ้นว่า “เมื่อเขาถึงอายุเข้าเรียน ข้าและซื่อจื่อจะส่งเขาเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน”

 

 

นายท่านฮั่วไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทนอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ทั้งสามจึงตื่นเต้นและดีใจมาก รีบกล่าวขอบคุณทันที “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”

 

 

ชิงหลวนเดินไป รับกล่องในมือของนายท่านฮั่วมาอย่างดีใจ กอดกล่องไว้อย่างแนบแน่น

 

 

เมื่อส่งของขวัญถึงมือแล้ว และยังได้รับของตอบแทนที่คาดไม่ถึงเช่นนี้อีก ทั้งสามคนก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาลุกขึ้นยืน กล่าวลาไปอย่างดีอกดีใจ แม้แต่ชาสักคำก็ไม่ได้จิบ

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งผู้ดูแลบ้านส่งทั้งสามจากไปแล้ว ก็กลับเรือนของตัวเองไป

 

 

ชิงหลวนกอดกล่องไว้เดินตามหลังไปอย่างตื่นเต้น เมื่อกลับถึงห้อง ก็รีบเปิดกล่องอีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว มองตาไม่กะพริบไปที่ดอกบัวสีเลือด

 

 

สีหน้าของจูหลีก็ไม่ได้ต่างไปจากนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายศีรษะ ในสมัยปัจจุบันนั้น นางไม่เคยได้ยินชื่อดอกบัวสีเลือดเลยด้วยซ้ำ มันอาจจะช่วยรักษาโรคได้ แต่…สิ่งที่นายท่านฮั่วพูดนั้นก็เกินจริงไปเสียหน่อย

 

 

เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าห้อง ภาพเบื้องหน้าที่ชิงหลวนและจูหลีกำลังล้อมดูกล่องที่อยู่บนโต๊ะ และวิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยิ้มมองดูพวกเขาก็ปรากฎต่อหน้าเขา

 

 

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขา ก็ลุกขึ้นแล้วยิ้มถาม

 

 

ชิงหลวนและจูหลีรีบปิดกล่องลงทันที หลังจากคารวะแล้วก็ถอยออกไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองกล่องที่อยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของในจวนของตน ก็ถามขึ้นว่า “ข้างในนี้คืออะไรหรือ”

 

 

“นายท่านฮั่วให้มาน่ะ บอกว่าเป็นดอกบัวสีเลือด ช่วยฟื้นจากความ…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รอนางพูดจบก็รีบเปิดกล่องออกทันที เมื่อเห็นว่าข้างในคือดอกบัวสีเลือด น้ำเสียงของเขาก็เผยความตื่นเต้น “โจวอัน ไปเรียกหมอหลวงเจียงมา”