หมอหลวงเจียงผู้อาวุโสและเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงนั้น ก็ถูกโจวอันหิ้วมาจวนอ๋องภายใต้สายตาที่ทั้งสงสารและอิจฉาของหมอหลวงในสำนักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาชินกับวิธีเช่นนี้แล้ว จึงไม่ได้วินวอนและดิ้นรนอีก เขาผ่อนคลายร่างกายตน ปล่อยให้โจวอันหิ้วเขามา เขาหลับตาตลอดทางพลางคิดแผนการว่าหากเจอซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยแล้ว ตนจะขอแลกผลประโยชน์อะไรได้บ้าง
เมื่อเท้าทั้งสองข้างของตนได้แตะพื้นดั่งเหยียบบนปุยนุ่นแล้ว เขาก็ส่ายศีรษะของตนที่วิงเวียนอยู่พักหนึ่ง จนตนเองสามารถยืนอย่างมั่นคงแล้ว ก็พูดแนะนำด้วยความ ‘หวังดี’ ว่า “ท่านจอมยุทธ์ ครั้งหน้ายังเร็วได้อีกนะ แขนขาของข้ายังรับไหว”
โจวอันนำกล่องยาที่อยู่ในมืออีกข้างของตนเองคืนให้เขาอย่างไร้สีหน้า ทำมือผายออกเพื่อเชิญเขา
หมอหลวงเจียงรับกล่องยามา สะพายเสร็จก็จะพูดอะไรขึ้นอีก “ท่านจอมยุทธ์…”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงของเขาในห้องตั้งนานแล้ว พูดตำหนิด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก หรือจะให้ข้าหิ้วเจ้าเข้ามาเอง”
หากซื่อจื่อหิ้วคนเข้ามาด้วยตนเอง ร่างกายอายุปูนนี้ของตนคงใช้การไม่ได้อีก ร่างหมอหลวงเจียงสั่นระริกไปทั้งตัว เขารีบขานรับเสียงสูงว่า “มาแล้ว มาแล้วขอรับ ข้าจะไสหัวเข้าไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมื่อพูดจบ เขาก็สาวเท้าเข้าไปในห้องทันที
เขาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยิ้มมองมาที่เขาอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง หมอหลวงเจียงชะงัก จนลืมคารวะ ถามอย่างลองเชิงว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับดังขึ้นข้างหูเขา “ซื่อจื่อเฟยไม่ได้ไม่สบายตรงไหน”
หมอหลวงเจียงตกใจจนขาสั่นระริก “ซื่อจื่อ ท่าน ท่านไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าบึ้งตึงทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
หมอหลวงเจียงงงไปหมด ยืนนิ่งอยู่กับที่
หวงฝู่อี้เซวียนชี้ไปที่กล่องด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ามาดูนี่สิ นี่ของจริงหรือเปล่า”
หมอหลวงเจียงปิดปากแน่น ไม่กล้าพูดอะไรอีก เดินไปที่โต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นของในกล่อง ดวงตาก็เบิกโตทันที “ซื่อ ซื่อ ซื่อ ซื่อจื่อ นี่ นี่ นี่ นี่…”
“พูดภาษาคน!” หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว พูดตำหนิอย่างหงุดหงิด
“ซื่อจื่อ นี่คือดอกบัวสีเลือด ดอกบัวสีเลือดเชียวนะขอรับ” หมอหลวงเจียงแก้ลิ้นที่พันกันออก สีหน้าตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก มือทั้งสองข้างก็สั่นระริกด้วยความดีใจ
มือทั้งสองข้างที่กอดอกอยู่ข้างหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็สั่นอย่างอดไม่ได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยายามพูดเสียงปกติ สั่งว่า “เจ้าดูดีๆ ซิ ดอกบัวสีเลือดนี่ของจริงหรือปลอมกันแน่”
สีหน้าตื่นเต้นของหมอหลวงเจียงหายไป แล้วแสดงความลำบากใจ “ซื่อจื่อ พูดตามตรงขอรับ ข้าเองเข้าสำนักหมอหลวงมาหลายปี ก็ยังไม่เคยเจอดอกบัวสีเลือดของจริง ข้าแค่เคยอ่านเจอบันทึกของมันในตำราโบราณ ข้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นของจริงหรือปลอมขอรับ”
สีหน้าตื่นเต้นของหวงฝู่อี้เซวียนหดหายไปเล็กน้อย เขาเม้มปากไม่ได้พูดอะไร
หมอหลวงเจียงแอบเหลือบมองสีหน้าเขา พูดลองเชิงว่า “แต่ว่า ข้าได้ยินว่าดอกบัวสีเลือดช่วยสมานแผล และรักษาคนให้ฟื้นจากความตายได้ หากอยากรู้ว่าเป็นของจริงหรือปลอม เราทดลองดูก็ได้ขอรับ”
“ทดลองอย่างไร”
หมอหลวงเจียงเสนอแนะ “เรื่องนี้ไม่ยาก หาคนบาดเจ็บมาคนหนึ่ง เด็ดดอกบัวสีเลือดออกมาเล็กน้อย นำไปตุ๋น แล้วให้เขาทานลงไป จากนั้นก็รอดูว่ามีประโยชน์อย่างที่เขาว่าหรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งนะ”
ก่อนหน้านี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นด้วยเลย แต่เมื่อเห็นทั้งสองสนทนากันอย่างออกรส ก็เริ่มรู้สึกสนใจ นางอยากรู้ว่าดอกบัวสีเลือดนี้มีประสิทธิภาพเช่นนั้นจริงหรือเปล่า จึงยิ้มพูดขึ้นว่า “บัดนี้บ้านเมืองสงบสุข จะหาคนบาดเจ็บมานั้นไม่ง่ายเลยเจ้าค่ะ ลองหาสัตว์มาทดลองแทนดูไหม หากเป็นของจริง แน่นอนว่าก็จะไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นของปลอม ก็ไม่ต้องฆ่าชีวิตคนตายด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าจะนำดอกบัวสีเลือดพันปีมาทดลองกับสัตว์ หมอหลวงเจียงก็รู้สึกเสียดายนัก แม้เขาจะไม่เคยเจอดอกบัวสีเลือด แต่สีและลักษณะก็เหมือนกับที่บรรยายไว้ในตำราโบราณ เขาจึงมั่นใจเกือบเต็มร้อยแล้วว่านี่คือดอกบัวสีเลือดของจริง แต่เนื่องจากเขาอยู่ในวังมาหลายปี จึงติดนิสัยละเอียดรอบคอบ ทำให้เขาไม่กล้าให้คำรับรองง่ายๆ จึงเสนอให้หาคนมาทดลอง
เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากตอบตกลง หมอหลวงเจียงก็รีบพูดห้ามเขา “ซื่อจื่อ มิได้ขอรับ แม้การใช้สัตว์มาทดลองจะไม่ทำลายชีวิตคน แต่สัตว์ไม่มีปาก พูดไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร หากมนุษย์ดื่มเข้าไปแล้วเจอผลข้างเคียงจะแย่เอานะขอรับ ข้าคิดว่าหาคนมาทดลองจะเหมาะสมกว่านะขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ก็มีเหตุผลนะ เจ้ารอสักครู่ ข้าจะสั่งโจวอันไปหาคนมาเดี๋ยวนี้”
หมอหลวงเจียงรีบพูดห้าม “ไม่ต้องไปหาหรอกขอรับ หากซื่อจื่อไม่มีความเห็นอะไร ข้าขอเป็นคนทดลองเอง” พูดจบก็ถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้น “ซื่อจื่อสั่งคนกรีดแขนข้าได้เลยขอรับ”
หมอหลวงเจียงอายุห้าสิบกว่าแล้ว ผมก็ขาวหมดแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะได้เกษียณตนเองกลับไปอยู่บ้านเกิดแล้ว หากให้เขาเป็นคนทดลอง แล้วดอกบัวสีเลือดเป็นของปลอม ก็เท่ากับทำลายชีวิตเขาที่เหลืออยู่เลย เพราะเมื่อโจวอันลงดาบ คงได้เห็นถึงกระดูกเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ได้ มือของหมอหลวงเจียงใช้เพื่อจับชีพจรดูแลคนชนชั้นสูงในวัง หากเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นมา เท่ากับว่าเราทำลายชีวิตท่านเลยนะ”
เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน หมอหลวงเจียงกลับเริ่มร้อนรน “ไม่เป็นไรขอรับ หากเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่เกษียณตัวเองกลับไปอยู่บ้านเกิดล่วงหน้า ซื่อจื่อเฟยอย่าปฏิเสธอีกเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขายืนหยัดเช่นนี้ก็หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว มองหมอหลวงเจียงแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ “หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เรื่องเกษียณตนเองกลับบ้านเกิด ข้าจะเป็นคนจัดแจงให้เรียบร้อยเอง”
หมอหลวงเจียงสงบลง ใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นกังวลเลย ก็รู้สึกแปลกใจ จึงตั้งใจสังเกตเขาอยู่พักหนึ่ง
หมอหลวงเจียงรู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเก็บสีหน้าตน “ซื่อจื่อ เราเริ่มกันเถอะขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนละสายตาที่คอยสังเกตเขา ลุกขึ้นยืน เด็ดดอกบัวสีเลือดหนึ่งกลีบออกมาด้วยตนเอง เรียกชิงหลวนเข้ามา “เจ้าไปเฝ้าคนในครัวตุ๋นยาจนเสร็จแล้วยกมา”
ชิงหลวนขานรับ ไปที่ห้องครัว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็ยกซุปยาสีแดงเลือดถ้วยเล็กถ้วยหนึ่งกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวทำใจไม่ได้ จึงถามขึ้นอีกครั้ง
“ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยเป็นหมอ จะได้สัมผัสผลของดอกบัวสีเลือดด้วยตนเอง ได้โปรดให้ข้าน้อยสมความปรารถนาเถอะขอรับ” หมอหลวงเจียงขอร้อง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ลังเลอีก เรียกโจวอันเข้ามา สั่งให้เข้ากรีดแขนของหมอหลวงเจียง
โจวอันชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หมอหลวงเจียงทำอะไรลงไปจนถูกนายท่านของตนลงโทษรุนแรงเช่นนี้ แต่เขาจะขัดขืนคำสั่งของนายท่านไม่ได้ เขาจับมือหมอหลวงเจียงขึ้นมา พูดว่า “ขออภัยขอรับ” แล้วมีดเล่มเล็กในมือก็กรีดลงไปบนแขนของหมอหลวงเจียง
หมอหลวงเจียงเจ็บจนเนื้อตัวสั่นเทา เหงื่อไหลท่วมทั้งตัวจนซึมไปทั่วแผ่นหลัง หวงฝู่อี้เซวียนส่งยาให้เขาด้วยตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็แอบถือโอกาสตอนที่ชิงหลวนไปตุ๋นยา นำยาห้ามเลือดมาขวดหนึ่ง กำไว้ในมือ เดินไปข้างหมอหลวงเจียง เผื่อเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น
หมอหลวงเจียงรับยาด้วยมือที่สั่นเทา และดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว จากนั้นก็วางถ้วยยาลงบนโต๊ะ ดวงตาจ้องมองแผลของตนเอง
ทันใดนั้น ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ไม่เพียงเลือดที่หยุดไหลเท่านั้น แต่เนื้อหนังที่ถูกกรีดออกก็ค่อยๆสมานกลับมาด้วย จนสุดท้ายเหลือเพียงรอยมีดตื้นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าหมอหลวงเจียงถูกมีดกรีดจริงๆ
หมอหลวงเจียงดีใจยิ่งนัก ตื่นเต้นจนหนวดเคราชันขึ้นมา เขายกแขนที่ยังมีรอยมีดกรีดตื้นๆ ขึ้น น้ำเสียงดีใจก็เปลี่ยนไป “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย เป็นของจริงขอรับ ดอกบัวสีเลือดนี่เป็นของจริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าจะมีผลลัพธ์ราวปาฏิหาริย์เช่นนี้ ในใจก็ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก อารมณ์ที่สงบเมื่อครู่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะโบยบินอย่างมีความสุข
หวงฝู่อี้เซวียนกลับสงบนิ่ง ใบหน้ายังคงไร้สีหน้าใดๆ แต่มือทั้งสองข้างที่สั่นระริกไพล่อยู่ข้างหลังนั้น กลับเผยให้เห็นว่าเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ผ่านไปนาน หวงฝู่อี้เซวียนจึงพูดเบาๆ ว่า อืม ยื่นมือออกไปปิดกล่องลง มองไปที่หมอหลวงเจียง สั่งกำชับเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องวันนี้ห้ามบอกใคร”
หมอหลวงเจียงพยักหน้าหงึกๆ ดอกบัวสีเลือดพบได้ยากในรอบพันปี เป็นสิ่งของที่ผู้คนมากมายอยากจะครอบครอง อย่าว่าแต่ชนชั้นผู้น้อยแลย แม้แต่คนที่มีตำแหน่งสูงก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา เขารู้ดีว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นร้ายแรงขนาดไหน อย่างไรเสียเขาจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนกลับไปเป็นปกติ ถามขึ้นว่า “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
หมอหลวงเจียงส่ายหน้า ตอบตามจริงว่า “ไม่มีขอรับ ข้ากลับรู้สึกเลือดไหลเวียนดีขึ้น เหมือนร่างกายกลับเป็นเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว กระปรี้กระเปร่ามากขอรับ” พูดจบ ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อขอรับ ข้ามีข้อเสนอแนะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
“ว่ามา”
“เมื่อถึงคราซื่อจื่อเฟยคลอดลูก ซื่อจื่อให้คนตุ๋นยาดอกบัวสีเลือดมาให้ซื่อจื่อเฟยดื่มก่อนหนึ่งถ้วย น่าจะช่วยให้ทรมานน้อยลงนะขอรับ”
ช่วงนี้หวงฝู่อี้เซวียนมีเวลาว่างไม่ได้ทำอะไร จึงถือโอกาสศึกษาการแพทย์ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับ เขาจึงรู้ว่าผู้หญิงเวลาคลอดลูกนั้นเจ็บปวดทรมานเพียงใด หากดอกบัวสีเลือดมีประโยชน์เช่นนี้ คำเสนอแนะของหมอหลวงเจียงก็นำมาใช้ได้ เขาจึงพยักหน้า “ขอบใจ”
หมอหลวงเจียงรู้สึกประหลาดใจและตื้นตันใจพร้อมกัน หากอยากได้ยินคำขอบคุณจากปากของเหล่าคนเชื้อสายราชวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์นั้น ยากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา แต่วันนี้ตนแค่เสนอข้อเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ ให้ แล้วได้รับคำขอบคุณจากซื่อจื่อ จะให้เขาไม่ตื้นตันได้อย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยมีดตื้นๆ บนแขนของเขา ก็ทนมองไม่ได้ นางเดินกลับไปข้างเตียงของตน เปิด**บและนำยาที่ช่วยรักษาแผลเป็นออกมา ยื่นให้หมอหลวงเจียงพร้อมยาห้ามเลือดที่อยู่ในมือของตนก่อนหน้านี้แล้ว “ขวดใหญ่นี้คือยาห้ามเลือด เป็นสมุนไพรที่ข้าและซื่อจื่อนำมาจากในวัง ส่วนขวดเล็กนี้เป็นยารักษาแผลเป็น รอยแผลบนแขนของท่านตื้นมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็จะหายดีเจ้าค่ะ”
ยาห้ามเลือดนั้นหมอหลวงเจียงไม่ทราบ แต่ยารักษารอยแผลเป็นนั้นหมอหลวงเจียงได้ยินมานานแล้ว ยาชนิดนี้นอกจากในร้านเต๋อเหรินแล้ว ร้านยาทุกร้านในเมืองหลวง รวมถึงร้านยาหลวงก็ไม่มี มูลค่าสูงลิบลิ่ว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับให้ตนเองอย่างไม่ลังเล ขณะที่รู้สึกประลาดใจก็รู้สึกนับถือนางยิ่งนัก ที่แท้ซื่อจื่อเฟยเป็นคนคิดค้นยารักษาแผลเป็นนี่เอง มิน่าล่ะ สำนักหมอหลวงเคยส่งคนไปสืบข่าวหลายครั้ง ก็ไม่เคยได้ความเลยว่าผู้เก่งกล้าสามารถที่คิดค้นยาตัวนี้คือท่านใด
เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นว่าเป็นของมูลค่าสูงทั้งนั้น เขาก็รับไว้แล้วยิ้มอย่างดีใจ จากนั้นก็สะพายกล่องยาตนเองขึ้น “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยขอกล่าวลาขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “โจวอัน ใช้รถม้าในจวนส่งหมอหลวงเจียงกลับไป”
หมอหลวงเจียงน้ำตาแทบคลอเบ้า ไม่ง่ายเลยนะ กว่าตนจะได้รับสวัสดิการอย่างคนปกติทั่วไป
โจวอันขานรับ หันหลังเดินออกไป
หมอหลวงเจียงเดินตามหลังไป
ชิงหลวงและจูหลีก็ตามออกไปเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนยก**บที่อยู่บนโต๊ะเดินไปข้างเตียง เปิด**บยาขึ้น แล้วเก็บยากลับไป “จากวันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใคร รวมถึงเจ้า ห้ามแตะต้อง**บใบนี้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเสียดายยาห้ามเลือดขวดนั้น จึงยิ้มพูดว่า “ข้าเห็นว่าหมอหลวงเจียงอายุมากแล้ว รู้สึกทนไม่ได้ที่…”
“เมื่อเจ้าคลอดแล้ว สมุนไพรเหล่านี้เจ้าจะไปมอบให้ใครก็ได้ ไม่ว่าจะให้ใคร ข้าไม่ขัดขวางแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ได้ หากวันใดเจ้าต้องใช้ขึ้นมา…”
“ไม่หรอก มีดอกบัวสีเลือดนี่อยู่ ข้าจะต้องได้คลอดลูกอย่างปลอดภัยแน่นอน ต่อไปเจ้าก็จะได้หลับอย่างสบายใจแล้ว”
ท้องใหญ่ขึ้นทุกวัน ทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมากลางดึก ก็รู้สึกได้เสมอว่าหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ได้นอน บางคืนกำลังพลิกอ่านหนังสือการแพทย์อยู่ ไม่ก็กำลังนอนมองตนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ นางรู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นห่วงตน นางรู้สึกสงสารยิ่งนัก แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะกลัวว่าเขาจะยิ่งเป็นห่วงตนเอง
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ลูบศีรษะนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้าคือชีวิตของข้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าเกิดอันตรายใดๆ แม้แต่น้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวโอบเอวของเขาไว้ เอนศีรษะพิงบนหน้าอกเขา “คนโง่ ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป จะเป็นอะไรไปได้อย่างไรล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเงียบไม่พูดอะไร กอดนางไว้เงียบๆ
ในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น
จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ อยู่ในเรือนไหมขอรับ”