GGS:บทที่ 888 ข้าวสีน้ำเงิน

 

ซูจิ้งได้ส่งเมล็ดพันธุ์ต้นยาสูบแห่งไชร์จำนวนมากไปยังสถานีเพาะพันธุ์ใบยาสูบแห่งรัฐ หลังจากนั้นเขาได้ติดต่อกับเตียนจงยี่ให้ปลูกข้าวสีน้ำเงินในทันที

เขานั้นได้ทดลองมาแล้วครั้งจนพบว่าทั้งต้นใบยาสูบแห่งไชร์และต้นข้าวสีน้ำเงินนั้นทั้งสองอย่างนี้สามารถจะเติบโตได้ด้วยดินธรรมดาก็จริง แถมยังให้เมล็ดดกสุดๆเสียอีก

แต่เมล็ดเหล่านั้นสามารถงอกออกมาได้เฉพาะกับดินจอมเขมือบหรือไม่ก็เศษแร่เวทมนต์เท่านั้น

ต่อให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นสามารถงอกออกมาได้บนดินธรรมดาก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น แถมพวกมันจะกลายเป็นเพียงใบยาสูบและเมล็ดข้าวธรรมดาเท่านั้นเองและไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้อีกต่อไป

นี่คือเหตุผลเขานั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีการแอบลักลอบเอาไปปลูกเองได้อย่างสบายใจ

 

ตามปกตินั้นวิธีการที่เหล่าบริษัทการเกษตรนิยมใช้ในการป้องกันไม่ให้สายพันธุ์ของพวกเขาถูกนำไปขยายพันธุ์มากจนเกินไปนั้นก็คือการทำหมัน(ฉายแสง)เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น

ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นสามารถงอก เติบโต และให้ผลผลิตได้ก็จริง แต่ไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้ นี่จึงทำให้พวกเขาสามารถขายเมล็ดพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ

ซูจิ้งเองก็ใช้วิธีนี้โดยการควบคุมดินจอมเขมือบให้ทำให้ต้นพันธุ์ของเขาเกิดผลแบบเดียวกัน

เหนือสิ่งอื่นใดนั้นตัวเขาต้องการที่จะลองลิ้มชิมรสข้าวเหล่านี้ดูซะก่อนที่จะตัดสินใจปลูกเป็นแปลงใหญ่ต่อไป

 

ซูจิ้งได้กระเป๋าหนังงูที่เต็มไปด้วยเมล็ดข้าวสีน้ำเงินตรงไปยังพื้นที่ร้านค้าในหมู่บ้านตระกูลจูที่อยู่ใกล้ๆ ที่นั่นมีร้านที่รับสีข้าวอยู่และแน่นอนว่าที่นี่เป็นร้านที่ดีระดับหนึ่ง ขนาดชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นก็ยังมาใช้บริการ

“คุณซู คุณต้องการสีข้าวพวกนี้หรือครับ” เจ้าของร้านที่เป็นชายผิวสีคล้ำอาจะประมาณสี่สิบปีถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

แม้แต่คนในร้านค้าเล็กๆที่กำลังมีคนกำลังเล่นไผ่นกกระจอก และโป๊กเกอร์ก็ยังหันมามองด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมรู้จักซูจิ้งเป็นอย่างดีเพราะซูจิ้งนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านนี้แล้ว

เท่าที่พวกเขารู้มาบ้านของซูจิ้งนั้นไม่มีการปลูกข้าวแต่อย่างใด ต่อให้มีแต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนรวย

เขาสมควรที่จะไปซื้อข้าวชั้นหนึ่งกินมากกว่าที่จะหาข้าวมาสีเองแบบนี้

“ใช่แล้วครับ แล้วก็อย่าเรียกผมว่าคุณซูเลย คุณกับผมเองก็เห็นหน้าค่าตาแถมยังรู้จักกันพอสมควร เรียกผมว่าอาจิ้งดีกว่าครับ” ซูจิ้งพูดในขณะที่ทำท่าจะยกถุงข้าวขึ้นมา

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า” เจ้าของร้านก้าวเข้ามาเพื่อที่หวังว่าจะช่วยซูจิ้งถือถุงข้าวที่เขาเห็นซูจิ้งนำมา

“ผมว่าผมทำเองดีกว่าครับ” ซูจิ้งพูดพลางถือกระเป๋าหนังงูไปยังข้างในร้านราวกับกำลังหยิบหมอนก็ไม่ปาน นี่ทำให้เจ้าของร้านถึงกับจ้องและเดินตามหลังไปต้อยๆ

ตัวเขานั้นคือชาวนาที่มีร่างกายแข็งแรงและมั่นใจในพลังของตัวเองพอสมควร

แต่หลังจากเขาเห็นซูจิ้งหิ้วกระเป๋าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวอยู่เต็มและดูก็รู้ว่าหนักมากแต่เขาหิ้วได้อย่างสบายๆทำให้เขาหมดความมั่นใจเรื่องนี้ไปเลย

เอาจริงๆเรื่องออกแรงสำหรับซูจิ้งถือได้ว่าสุดแสนจะเป็นงานสบาย อย่าว่าแต่ต้องยกหินที่หนักกว่าห้าร้อยชั่งเลย ตัวเขานั้นหลังจากฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งไปทำให้เขาในตอนนี้มีน้ำหนักหมัดอยู่ที่ 1,650 กิโลกรัมไปแล้ว

แต่นี่ก็เป็นขีดจำกัดของการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งแล้วเหมือนกัน หากว่าเขานั้นสามารถฝึกตำราวิถีแห่งมังกรได้มากกว่านี้ล่ะก็ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

น่าเสียดายที่เขานั้นยังไม่พร้อมเพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสมบัติชิ้นไหนก็ตามที่มีความสามารถในการเสริมความแข็งแกร่ง

ร่างกายของเขานั้นไม่ว่าจะใช้สมบัติเหล่านั้นยังไงก็ไม่สามารถพัฒนาร่างกายได้อีกแล้ว มีเพียงทางเดียวคือต้องหาสมบัติชิ้นใหม่เท่านั้น

 

หลังจากซูจิ้งนำกระเป๋าเข้าไปในร้านเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านที่รู้สึกตัวก็ได้รีบเข้ามาช่วยในทันที หลังจากได้เปิดกระเป๋าออกมา เจ้าของร้านเองก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ใน สักพักเขาก็ถามออกมาโดยยังไม่มองหน้าซุจิ้งว่า “…ทำไมข้าวพวกนี้ถึงได้เรียว ยาว แถมยังมีสีน้ำเงินอีกล่ะ นี่มันข้าวอะไรกันเนี่ย”

“ข้าวสายพันธุ์ใหม่น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

“อ้อ…”เจ้าของร้านเองก็ไม่ได้ใส่ใจและแปลกใจอีกต่อไป เขานั้นได้ทำการเทข้าวใส่ในเครื่องสีอย่างชำนาญ แต่หลังจากที่เขาเริ่มสีข้าวแล้ว ความไม่ใส่ใจก็เปลี่ยนเป็นความสงสัยในทันที

เขานั้นเป็นเจ้าของร้านสีข้าวแน่นอนว่าเขาต้องสัมผัสกลิ่นข้าวที่ถูกสีอยู่เป็นประจำ นี่ทำให้เขานั้นหันไปมองเม็ดข้าวสารที่สีออกมาแล้วในทันที

สีของข้าวนั้นเนื้อใสประดุจดั่งหยกที่มีสีน้ำเงินก็ว่าได้ กลิ่นของข้าวที่ออกมานั้นรู้สึกได้เลยว่าไม่เหมือนกับข้าวอย่างอื่นที่เคยสีมาแม้แต่ครั้งเดียว

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเลยที่ได้สูดกลิ่นและผงข้าวที่เกิดจากการสีพวกนี้เข้าไปแล้วไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย

กลับกันเขานั้นยังรู้สึกหิวในทันทีเลยทีเดียว หิวถึงขนาดที่ว่าท้องนั้นร้องโครกครากออกมาในทันที

“ข้าวนี่อร่อยสุดๆ!!” เขานั้นตกใจในทันที ด้วยประสบการณ์อันยาวนานของเขาและการตอบรับของร่างกายทำให้เขาสามารถบอกได้แม้จะไม่ได้กินก็ตาม

“โห่ ไม่เลวเลยนี่ครับ” ซูจิ้งยิ้มออกมาและนี่ทำให้เขามั่นใจได้เลยว่าข้าวสีน้ำเงินที่น่าจะมาจากวัดพุทธที่ไหนสักที่ในห้วงเวลาพระเจ้าแห่งฝั่งตะวันตกนั้นสุดยอดจริงๆ

 

“นี่มัน…กลิ่นอะไรเนี่ย”

“นี่มันกลิ่นข้าวนี่ หรือว่าจะเป็นข้าวสวย”

คนที่อยู่ในร้านไพ่นกกระจอกข้างๆ ทันทีที่พวกเขาได้กลิ่นถึงกับหยุดยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ พวกเขาได้รีบมองหาที่มาของกลิ่นนี้ในทันที

จนในที่สุด ทั้งหมดก็หันไปมองที่ร้านสีข้าวเป็นทางเดียวกัน ในเมื่อนี่เป็นกลิ่นข้าวก็ต้องมาจากร้านสีข้าวอยู่แล้ว

“นี่มันข้าวพันธุ์อะไรกันเนี่ย กลิ่นหอมมาก”

“เดี๋ยวนะ ทำไมข้าวนั้นถึงได้เรียวยาวและสีออกน้ำเงินแบบนั้นกันล่ะ ฉันไม่เคยเห็นข้าวแบบนั้นมาก่อนเลย”

“คุณซู…..คุณ พอ จะ ขาย ข้าว พวก นี้ ให้ ผม ได้ รึ เปล่า พวก มัน กิ โล ละ เท่า ไหร่ ครับ” เหล่าคนที่เห็นข้าวสีน้ำเงินนี้ต่างก็เหมือนเห็นสัตว์ประหลาดในหมู่พันธุ์ข้าวเลยทีเดียว

ในขณะที่มีคนตระโกนถามราคามานั้น ข้าวทั้งหมดก็ได้ถูกสีเสร็จพอดี หลังจากหยุดเครื่อง ซูจิ้งก็ได้พูดตอบกลับคนที่ตะโกนถามเมื่อกี้ด้วยน้ำเสียงสบายๆและรอยยิ้มว่า

“นี่เป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่น่ะ ตอนนี้ยังไม่มีวางขายในตลาดหรอก แต่ถ้าผมไม่ผิดพลาดล่ะก็อีกไม่นานผมจะทำการปลูกขายอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกคุณค่อยซื้อกินดีกว่า” ซูจิ้งตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

ความจริงคำพูดนี้ของซูจิ้งที่ว่าผิดมหันต์เลยทีเดียว นั่นก็เพราะต่อให้ข้าวพวกนี้มีการผลิตมากพอที่จะขายออกมาจำนวนมาก

แต่ราคาของพวกมันจะสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคว้าเอาไว้ได้ง่ายๆ ในอนาคตพวกเขานั้นยอมกินข้าวพวกนี้เฉพาะวันสำคัญหรือในงานเลี้ยงฉลองเท่านั้น

เจ้าของร้านได้มองกองข้าวที่สีออกมาแล้วในขณะที่กลิ่นของข้าวนั้นยังคงหอมฟุ้งอยู่ทั้งที่ยังไม่ได้หุง กลิ่นแบบนี้ย่อมเป็นข้าวที่อร่อยอย่างแน่นอน

เอาจริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเจ้าของร้านหรอก แม้แต่บรรดาคนที่เล่นไพ่นกกระจอกที่โดนไล่ออกไปแบบอ้อมด้วยคำพูดของซูจิ้งเมื่อกี้เองก็ยังรู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้ประสบการณ์อะไรแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นสักพัก ซูจิ้งก็ได้เก็บทั้งข้าวสาร และข้าวเปลือก แยกใส่กระเป๋าเก็บไป แม้แต่เศษแป้งที่เหลือจากการสีข้าวซูจิ้งก็ยังโกยไปไว้ในกระเป๋าเล็กไว้ได้จนเกลี้ยงเกลา

หลังจากเขานั้นมั่นใจว่าเก็บเกี่ยวทุกสิ่งอย่างที่เป็นของเขาไปหมดแล้ว ซูจิ้งก็ได้นำของทั้งหมดขึ้นรถและได้ขับรถจากไป

เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นข้าวที่แสนหอมหวลกับเจ้าของร้านสีข้าวและเหล่าคนเล่นไพ่นกกระจอกที่กรูกันเข้าไปยังกับสูดดมกลิ่นข้าวที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างบ้าคลั่ง

 

เมื่อซูจิ้งไปถึงบ้าน เขาได้รีบล้างข้าวสีน้ำเงินประมาณครึ่งกิโลด้วยน้ำสะอาดแล้วนำไปใส่หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเพื่อจะหุงในทันที

ถึงแม้ว่าก่อนหุงนั้นข้าวสีน้ำเงินพวกนี้จะหอมฟุ้งอยู่แล้ว แต่หลังจากหุงข้าวพวกนี้เสร็จ

กลิ่นของพวกมันได้หอมฟุ้งเสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก หอมชนิดที่เขาสูดเข้าไปนิดเดียวท้องของเขาก็ลั่นจนแทบจะเทียบได้ว่าลั่นบ้านเลยทีเดียว

เมื่อเทียบความหอมกับข้าวทั่วไปแล้ว ข้าวสีน้ำเงินนี้มีกลิ่นหอมมากกว่านับสิบเท่า เมื่อซูจิ้งมองลงไปในหม้อที่เขาเปิดออกมาดูเพราะหุงเสร็จแล้ว

เขาเห็นภาพเมล็ดข้าวที่ใสราวกับคริสทัล แม้แต่นำคริสทัลของจริงมาเทียบก็ยังเทียบไม่ได้ มันดูน่าเย้ายวนชวนกินมากจนน้ำลายสอ

เมื่อเห็นภาพนี้แลวซูจิ้งก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไป เขาได้รีบนำทัพพีตักข้าวที่อยู่ใกล้แล้วจ้วงลงไปเพื่อตักข้าวขึ้นมาในทันทีและตักเข้าปากในทันใดจนแก้มเขาทั้งสองข้างบวมตุ่ยโดยมีข้าวอยู่เต็มปาก

เขาเคี้ยวอย่างพูดเพลินรับสัมผัสเนื้อข้าวที่กลั้วไปทั่วลุ้นที่ให้ความรูสึกละมุนละไมแบบสุดยอด ด้วยสภาพร่างกายที่รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันใด

หลังจากอดใจไม่ไหวกินต่อไปอีกหลายคำจนเขาเริ่มตั้งสติได้จึงได้หยุดมือก่อนจะเปรยออกมาว่า

“ข้าวสีน้ำเงินนี่มัน…นี่แค่หุงกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าธรรมดานะ ยังไม่ได้หุงวิธีพิเศษอะไรเลย นี่มันอร่อยจนไม่ต้องกินกับกับข้าวเลยก็ได้นะเนี่ย เจ้าข้าวนี้คงสร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการอาหารอย่างแน่นอน”

หลังจากกินเล่นๆไปพักใหญ่จนอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวอะไรบางอย่างจนตกตะลึง

 

ในห้วงเวลาและกาลอวกาศเทพเจ้าฝั่งตะวันตกนั้นหากผู้ฝึกตนได้กินข้าวทั่วไปนั้น แน่นอนว่าร่างกายของพวกเขานั้นจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านการฝึกตนได้อย่างแน่นอน

นั่นเพราะว่าสารอาหารในข้าวทั่วไปนั้นไม่เพียงพอต่อการฝึกตนเองของเหล่าผู้บ่มเพาะ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขานั้นถึงต้องการข้าวที่มีสารอาหารเปี่ยมล้น และสำหรับคนทั่วไปนี้ ข้าวที่ว่าแน่นอนว่าย่อมมีสารอาหารอันสูงล้ำและหาได้ยากยิ่ง และที่สำคัญคือข้าวพวกนี้ราคาแพงกว่าทองเสียอีก

ข้าวสีน้ำเงินของวัดพุทธหลวงนั้นถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่เก่าแก่และสูงค่าอย่างมาก

แน่นอนว่าข้าวสีน้ำเงินนี้มีค่าเกินกว่าข้าวฮวงเหลียง โสม เห็ดหลินจือ และอาหารอื่นที่ถูกกล่าวขานว่ายาอายุวัฒนะทั้งหลายบนโลกใบนี้และห้วงเวลานู้นอย่างไม่ต้องสงสัย

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมซูจิ้งจึงรู้สึกได้ว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแบบนี้

 

ซูจิ้งนั้นตัดสินใจสวาปามข้าวให้หมดหม้อนั้นในทีเดียว หลังจากรู้สึกได้ว่าร่างกายอบอุ่นและรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วทั้งตัวแล้ว เขาได้ทำการสูดหายใจเข้าลึกๆ

หลังจากนั้นเขาได้ขับเคลื่อนเคล็ดวิชาตามตำราวิถีแห่งมังกรที่สลักจำฝังเอาไว้ในใจของเขา เพียงแค่เริ่มขับเคลื่อนก็ได้ปรากฏตราสัญญาลักษณ์มังกรออกมาอยู่ในอากาศเหนือร่างกายของเขา

หลังจากซูจิ้งฝึกฝนไปสองชั่วโมงจนเหงื่อไหลท่วมร่างกายจนเปียกโชกแล้ว เขาได้ตรงไปที่โรงฝึกและได้ทำการต่อยหมัดไปยังเครื่องวัดพลังในทันที

ทันทีที่หมัดซูจิ้งปะทะเข้ากับเครื่องวัดพลัง เครื่องวัดพลังเกิดเสียงปังชนิดที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น รวมถึงตัวเคร่องได้เครื่องได้เขยื้อนผลักถอยไปเล็กน้อย พร้อมด้วยตัวเลขแสดงค่าออกมาว่า 1,670 กิโลกรัม

ทันทีที่เห็นซูจิ้งก็ประหลาดใจในทันที “เพียงแค่กินข้าวไปมื้อเดียวก็มีแรงเพิ่มขึ้นมา 20 กิโลกรัมเลยหรอ สุดยอดไปเลย เจ้าข้าวสีน้ำเงินนี่มันเป็นอาหารเสริมพลังชั้นยอดเลยจริง ยิ่งกว่าปลาเขี้ยวหยกซะอีก

อา….ในที่สุดฉันก็สามารถฝึกฝนวิถีแห่งมังกรได้แล้วสินะ”