GGS:บทที่ 889 หอมสิบลี้

 

“โชคดีจริงๆที่ได้ข้าวสีน้ำเงินนี้มาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”

ซูจิ้งนั้นพูดกล่าวสรรเสริญความโชคดีของตัวเองออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้ว่าข้าวที่เขาได้กินชุดนี้นั้นจะเป็นข้าวที่ชุบเลี้ยงมาอย่างดีจากดินจอมเขมือบก็ตาม

การที่ปลูกข้าวนี้กับดินธรรมดาบนโลกมนุษย์ถึงแม้ว่าคุณค่าทางอาหารจะลดลงไปอย่างมาก แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าข้าวทุกสายพันธุ์บนโลกอยู่ดี ดังคำกล่าวที่ว่าอูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าชั้นเลิศ

“วันนี้วันเสาร์สินะ พ่อกับแม่ไม่มีสอนซะด้วยสิ เอาข้าวสีน้ำเงินนี้ไปให้พ่อแม่หุงกินท่าจะดีแหะ”

 

พ่อแม่ของซูจิ้งนั้นอาศัยกันอยู่ในแฟลตแห่งหนึ่งในตัวเมือง แน่นอนว่าการที่เขาจะไปที่นั่นได้จำเป็นต้องผ่านถนนหนทางไปตามปกติ

แต่ด้วยการที่รถปอร์เช่ของเขานั้นเด่นสะดุดตามากเกินไป เขาเองก็ขี้เกียจวุ่นวายจึงเลือกที่จะเดินทางไปโดยรถประจำทางดีกว่าจะได้ไม่เป็นที่เด่นสะดุดตา

“พ่อหนุ่มคนนั้นหน้าตาคุ้นนะว่าไหม”

“นายไม่รู้จักเขาหรอ เขาคือซูจิ้งไง คนที่เป็นดาราดังน่ะ ลูกสาวของฉันคลั่งไคล้เขาเป็นบ้าเป็นหลังเลยนะ”

“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกชายของคุณซูกับคุณเย่ที่หยู่ชั้นบนหรอกหรือ”

“คุณซูกับคุณยี่เย่นี่โชคดีจริงๆที่มีลูกชายดีๆแบบนี้”

 

ซูจิ้งในตอนนี้ได้แบกข้าวสารครึ่งถึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่พ่อแม่ของเขาอยู่ ระหว่างทางเขาเจอเพื่อนบ้านของพ่อแม่ก็กล่าวคำทักทายอย่างดี

เอาจริงๆเขาเองก็รู้จักคนพวกนี้อยู่หลายคนเหมือนกัน เขาเองก็เคยถามพ่อแม่ของเขาแล้วตอนที่เขาประสบความสำเร็จด้านธุรกิจว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ดีกว่านี้รึเปล่า

อย่างพวกอพาร์ทเมนหรือซื้อบ้านส่วนตัวหรูๆที่อยู่ใกล้ๆเขาอะไรอย่างนั้น

แต่พ่อแม่ของเขานั้นปฏิเสธเพราะที่นี่พวกเขานั้นใช้น้ำพักน้ำแรงของตัวเองซื้อมา และเพื่อนบ้านของเขาเองก็เป็นคนดีและมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างมากทั้งสองจึงไม่ยอมจากที่นี่ไป

และเพื่อนบ้านของทั้งคู่เองก็มีอยู่สองครอบครัวที่ทำงานเป็นครูที่สอนอยู่ที่เดียวกันด้วย ทั้งสองจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องย้ายออกไปไหน

ซูจิ้งเองก็เคยได้มอบบัตรกดเงินที่เงินอยู่ยี่สิบล้านหยวนให้ทั้งคู่ตั้งนานแล้ว แต่ทั้งคู่นั้นยังไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง

ขนาดเงินเดือนของทั้งคู่จะใช้จนเกือบหมดไปในบางเดือนก็ตาม แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังเลือกที่จะประหยัดแทนการกดเงินที่ซูจิ้งมอบมาให้ไปใช้ บางครั้งเพื่อนบ้านละแวกนั้นยังทำอาหารมาแบ่งปันกันยามยากอีก

ก็ไม่แปลกที่พวกเขานั้นไม่อยากจะย้ายไปไหนเพราะที่อยู่ดีๆหาง่าย แต่เพื่อนบ้านดีๆนั้นหายาก

ซูจิ้งเองนั้นก็ไม่ได้คิดจะบังคับพ่อแม่ของเขาแต่ประการใด เพราะตราบใดที่ทั้งสองอยู่ในพื้นที่ที่มีความสุขแค่นั้นเขาก็สุขใจพอแล้ว

เขาเองที่พอทำได้ในตอนนี้คงมีเพียงแค่การหาอาหารดีๆมาให้เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพของทั้งสองคนเพียงเท่านั้น

 

เมื่อซูจิ้งเปิดประตูหน้าห้องเข้าไปเขาก็เห็นพ่อของเขาซูเซิ่นเชวี่ยอ่านหนังสืออยู่ในขณะที่แม่ของเขาเย่ฉิงกำลังถูบ้าน ซูจิ้งจึงได้พูดออกมาดังๆว่า “พ่อครับ แม่ครับ”

ซูเซิ่นเชวี่ยที่กำลังอ่านหนังสือนั้นก็ทำเพียงแค่ผงกหัวรับทราบโดยยังไม่ละสายตาออกมาจากหนังสือ ส่วนแม่ของเขาที่เห็นซูจิ้งแบกอะไรบางอย่างมาก็ได้สงสัยจนถามออกมาว่า “เอาอะไรมาล่ะนั่น”

“ข้าวครับ” ซูจิ้งพูดออกมา และได้นำข้าวนั้นไปวางไว้ที่มุมหนึ่งของห้องครัว

“บ้านเรายังมีข้าวอยู่เยอะแยะนี่นา เอามาทำไมอีกล่ะ” เย่ฉิงถามออกมาอย่างสงสัยเชิงบ่นๆ

“น่าน่า ข้าวนี้ไม่ใช่ข้าวธรรมดานะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้ออออ ข้าวก็คือข้าวล่ะน่า จะพันธุ์ไหนๆก็เหมือนๆกันน่ะแหล่ะ ต่อให้ดีก็คงดีกว่าไม่เท่าไหร่หรอก” เย่ฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“คร้าบๆ เดี๋ยวผมทำเป็นข้าวเที่ยงให้กินเลยแล้วกันจะได้รู้กันไปว่าพิเศษยังไง ว่าแต่หยาน้อยไปไหนเนี่ย” ซูจิ้งถามออกมา

“ยัยเด็กน้อยนั่นน่ะหรอ ยังกลิ้งโค่โล่อยู่บนเตียงนู่นแหล่ะ เด็กสาวสมัยนี้ช่างขี้เกียจกันจริงๆ ว่ามาแล้วก็ไปปลุกให้หน่อยก็แล้วกันนะ” เย่ฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“แหม่ แม่ก็ว่าไป เด็กสมัยนี้เรียนหนักกันจะตายไป วันหยุดจริงๆแบบนี้ถือว่าหาได้ยากเย็น ปล่อยให้นอนต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกันครับ รอผมทำข้าวเที่ยงเสร็จก่อนแล้วค่อยไปปลุกก็ได้

ดีไม่ดีเดี๋ยวได้กินของกินก็ลุกขึ้นมาเองแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วซูจิ้งเลยเริ่มลงมีทำข้าวเที่ยงในทันที

อย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ เหมือนซือหยาได้กลิ่นอันหอมฉุยซือหยาก็ดีดตัวผึงรีบวิ่งมาที่ครัวในทันทีทั้งๆที่อยู่ในชุดนอนพร้อมพูดออกมาอย่างหน้าตาตื่นว่า “แม่ แม่ทำอะไรกินอ่ะ กลิ่มหอมจัง”

“ทำอะไรล่ะ พี่ลูกต่างหากที่ทำ” เย่ฉินพูดออกมา

“พี่มาหรอ เย้….” ซูหยาตื่นเต้นในทันทีที่ได้ยินและรีบวิ่งไปในครัวในทันใด เมื่อเธอได้เห็นซูจิ้งกำลังเตรียมของที่จะใช้ในการทำกับข้าว ซูหยาก็ถามออกมาอย่างงงๆว่า “พี่ยังไม่ได้ทำกับข้าวหรอ แล้วนี่มันกลิ่นหอมของอะไรอ่ะ”

“หอมดีใช่ไหมล่ะ….” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ซูหยาลองดมกลิ่นนี้ดูอีกที หลังจากนั้นก็ได้ตามกลิ่นไปจนถึงหม้อข้าวที่กับลังเดือดอยู่ เธอเองมีท่าทีประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า

“นี่มันกลิ่นข้าวงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้น่า ทำไมแค่หุงข้าวถึงได้มีกลิ่นหอมขนาดนี้ได้กัน” เย่ฉิงเองก็เข้ามาในครัวเพราะแปลกใจในกลิ่นอันหอมหวนนี้

แม้แต่ซูเซิ่นเชวี่ยยังต้องหยุดอ่านหนังสือและเดินตามกลิ่นมาถึงในครัว พอทุกคนถามว่าซูจิ้งใส่อะไรลงไปในข้าว เมื่อบอกว่าไม่ได้ใส่อะไรลงไปก็ไม่มีคนเชื่อ ซูจิ้งก็ไม่ได้อธิบายแต่และเริ่มลงมีทำกับข้าวในทันที

 

กลิ่นหอมของข้าวนั้นยิ่งตลบอบอวลมากขึ้นเรื่อยๆ พอยิ่งผสมเข้ากับกลิ่นกับข้าวที่ถูกทำโดยฝีมือซูจิ้งแล้วยิ่งหอมยั่วน้ำลายไปเป็นการใหญ่

ที่ชั้นบน ชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่นั้นได้รับรู้กลิ่นอันหอมหวนจนต้องพูดออกมาว่า “หอมจริงๆ มันคือกลิ่นอะไรน่ะ”

หญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกันได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันได้ยินคนพูดกันตอนผ่านชั้นล่างว่าลูกชายของพี่ฉิงมาหาที่บ้านน่ะ”

ชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้นจึงได้พูดออกมาว่า “โอ้… เจ้าหนูนั่นมีฝีมือการทำอาหารเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอเนี่ย

กลิ่นหอมของอาหารฝีมือเขาลอยมาไกลถึงบ้านเราได้นี่ช่างน่าอิจฉาจริงๆที่ได้กิน น่าอิจฉาจริงที่เขามีลูกชายดีๆแบบนั้น”

การที่เขาพูดออกมาแบบนี้ออกมาได้นั้นก็เป็นเพราะว่าลูกชายของเขากับซูจิ้งนั้นช่างมีความสามารถห่างกันราวๆเจ็ดโยชน์

ครั้งสุดท้ายคือเขาลองให้ลูกชายของทั้งคู่ทำกับข้าวให้กิน พวกเขาในตอนนั้นเกือบต้องถูกหามส่งไปโรงพยาบาล

ตอนนี้ทั้งคู่ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาทำกับข้าวกินแล้ว

 

ไม่เพียงเฉพาะกับครอบครัวของคู่สามีภรรยาวัยกลางคนคู่นี้ ทุกๆชั้นในแฟลตแห่งนี้ ในทุกๆห้องล้วนได้กลิ่นอันหอมหวนและเย้ายวนของข้าวสีน้ำเงินของซูจิ้ง

หลายๆคนที่อยู่ที่นี่สามารถเดาได้ในทันทีเลยว่าซูจิ้งมายังแฟลตนี้แล้วทั้งๆที่ไม่ต้องเห็นตัวหรือได้ยินคนพูดถึงแม้แต่น้อย มีเพียงหมอนี่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

ตอนนี้มีหลายๆคนอดใจไม่ไหวจนต้องไปหาข้าวกินแล้ว

ข่าวการมาถึงของซูจิ้งแพร่กระจายไปทั่วแฟลตอย่างรวดเร็วพอๆกับฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งในตอนนี้เลยทีเดียว

ฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าสุดยอดจนไร้ผู้เทียมทานอยู่แล้ว ต่อให้เป็นการทำข้าวธรรมดาสามัญเมื่อซูจิ้งเป็นคนทำก็ไม่ต่างจากมีอาหารระดับภัตตาคารมาวางอยู่ตรงหน้า

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนในครอบครัวของซูจิ้งนั้นต่างก็รู้กันดี แต่กลิ่นข้าวอันหอมหวนเย้ายวนใจขนาดนี้นี่สิเป็นครั้งแรกที่ทุกคนพึ่งจะเคยได้สัมผัส

ทันทีที่ทุกคนได้ลองกินข้าวเปล่าไปหนึ่งคำ พวกเขาต่างก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันอบอุ่นแพร่กระจายออกมาจากกระเพาะอาหารไหลผ่านไปยังทั่วร่างกายจนรู้สึกแข็งแรงขึ้นมา

ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงได้บอกว่าข้าวนี้สุดยอดแล้ว

 

ความจริงนั้นข้าวมื้อนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหุงข้าวโดยข้าวสีน้ำเงินอย่างสมบูรณ์ นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นได้นำข้าวสีน้ำเงินไปผสมกับข้าวทั่วไปอย่างละครึ่ง

และซูจิ้งเองก็บอกให้ทุกคนในบ้านฟังว่าเวลาจะหุงข้าวนี้จะต้องใส่ข้าวอย่างอื่นลงไปด้วยอย่างน้อยๆก็ครึ่งหนึ่ง เหตุผลก็เพราะว่าข้าวสีน้ำเงินนั้นมีผลต่อร่างกายอย่างรุนแรง

หากคนทั่วไปกินลงไปล่ะก็อาจจะไม่สามารถต้านทานและดูดซับฤทธิ์ของมันได้ดีพอ เหมือนๆกับการกินโสมที่กินมากเกินไปจะทำให้เลือดกำเดาไหล และแน่นอนว่าข้าวสีน้ำเงินนี้ดูกว่าโสมนับสิบเท่าเป็นอย่างน้อย

 

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้อยู่สอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้กับซูหยาเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปยังหมู่บ้านซูเจี๋ย

เขานั้นได้ทำการสีข้าวสีน้ำเงินอีกสองชุด ชุดหนึ่งนำไปยังบ้านของลุงของเขา และอีกชุดหนึ่งนำไปยังบ้านของซือฉิง

นอกจากนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้ทุกคนนั้นหุงข้าวสีน้ำเงินนี้โดยการผสมกับข้าวธรรมดาอย่างละครึ่งเป็นอย่างน้อยเช่นเดียวกัน

ในตอนแรกทั้ง ซูเฉิงฮง จ้าวเมิงเซียง ฉือกวงลู่ และคนอื่นๆต่างก็ประหลาดใจในทันทีที่ซูจิ้งหิ้วข้าวนี้มาให้พวกเขา แต่ทันทีที่ทุกคนได้ยินต่างก็ทำได้เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น

 

เมื่อซูจิ้งกลับไปยังบ้านและฉือชิงได้มาหาเขาที่บ้าน ฉือชิงเองก็ได้มีโอกาสลิ้มรสข้าวสีน้ำเงินนี้ไปแล้วจนทำให้ร่างกายของเธอนั้นดูดีขึ้นอย่างมาก มากชนิดที่ว่าเธอเองนั้นก็ประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว

และเธอยังถูกซูจิ้งสะกดจิตให้อยู่ค้างคืน แน่นอนว่าเป้าประสงค์ของการข้างคืนกับซูจิ้งในครั้งนี้ก็คือ

การเรียนรู้หมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สองจากซูจิ้งโดยตรงนั่นเอง ตอนนี้ตัวเธอเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำเรียบร้อยแล้ว แต่ร่างกายของเธอก็ยังไม่อาจรองรับกับคุณค่าทางอาหารอันสุดแสนจะมหาศาลนี้ได้อยู่ดี ซูจิ้งเองก็บอกเธอว่าตอนนี้ก็กินแบบผสมไปก่อน อย่างเพิ่งกินมากเกินไปกว่านั้น

 

สำหรับซูจิ้งนั้นเขาสามารถกินข้าวนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องผสมแต่อย่างใด ผลของข้าวสีน้ำเงินกับร่างกายของเขาแล้วเอาจริงๆมันเพียงช่วยให้ร่างกายของเขานั้นตื่นตัวไม่ต่างอะไรกับยาชูกำลังเท่านั้นเอง

เป็นกระบวนการฝึกวิถีแห่งมังกรต่างหากที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาอย่างแท้จริง รวดเร็ว และเสริมสมรรถนะร่างกายไปทุกส่วนแม้แต่อวัยวะภายในและกระดูกก็ไม่เว้น

เขานั้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจนถึงขนาดที่ว่าสามารถฝึกวิถีแห่งมังกรติดๆกันได้สองวันสองคืนโดยไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว

 

ในช่วงเย็นวันถัดมา ซูจิ้งที่กำลังฝึกวิถีแห่งมังกรอยู่อย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขามากสักเท่าไหร่

ซูจิ้งได้กระแสจิตดึงโทรศัพท์เข้ามาหาตัว เมื่อเห็นว่าเป็นเฉิงหนานโทรมาเขาจึงได้รีบรับสายในทันที

“หัวหน้าคะ ลู่ชุนเยว่ เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัยรึเปล่าคะ” เฉิงหนานถามออกมา

“หืม ลู่ชุนเยว่หรอ” ซูจิ้งนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ใช่ เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นและเคยอยู่ในหอพักเดียวกัน ทำไมอยู่ๆถึงถามขึ้นมาล่ะ”

“เธอมาที่บริษัทของเราเพื่อขอสมัครงานค่ะถึงแม้ท่าทางของเธอนั้นเหมือนจะไม่ใช่ก็ตามที ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรหรอกนะคะแต่ทันทีที่เธอเข้ามาเธอก็บอกออกมาในทันทีว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหัวหน้า

มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเธออยากจะใช้เส้นสายของคุณให้ได้งานนี้ พอฉันได้ไปเช็คประวัติดูก็เห็นว่าเธอจบมาจากมหาวิทยาลับเทียนหยางเหมือนคุณก็เลยโทรมาเพื่อถามว่าจะเองยังไงกับเธอดี” เฉิงหนานถามออกมา

ซูจิ้งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในทันที ความจริงนั้นเขากับลู่ชุนเยว่นั้นไม่ได้คุ้นเคยกันดีแต่อย่างใด เขาและเธอเพียงแค่อยู่ร่วมชั้นเดียวกันก็แค่นั้นเอง

ถึงแม้จะได้เรียนด้วยกันอยู่บ่อยครั้งและทำงานอยู่กลุ่มเดียวกันก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เพียงพอที่เขาจะรู้แล้วว่าลู่ชุนเยว่นั้นเป็นคนแบบไหน

ลู่ชินเยว่นั้นเป็นคนประเภทตรงไปตรงมา ขี้เล่นและเล่นมาจนหน้ารำคาญในบางครั้ง ผลการเรียนก็แค่ระดับกลางๆ และทักษะความสามารถด้านต่างๆก็งั้นๆ

การที่เธอมาสมัครงานที่บริษัทของเขานั้น แน่นอนว่าด้วยสายตามองคนอันทรงพลังสุดยากจะหยั่งถึงของเฉิงหนานแล้ว

ไม่มีทางที่เฉิงหนานจะมองคนอย่างลู่ชินเยว่แม้แต่น้อย ต่อให้มาอ้างว่าเป็นเพื่อนกับหัวหน้าของเธอก็ตาม การที่เธอโทรมานั้นเป็นเพราะต้องการรู้ว่าซูจิ้งนั้นอยากจะปล่อยผ่านคนๆนี้รึเปล่าแค่นั้นเอง

“เรื่องนี้เธอตัดสินใจได้เลย อ้อแล้วก็หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก จงใช้ความสามารถของเธอไปตามปกติโดยไม่ต้องสนหน้าอินหน้าพรหมที่ไหนก็ตาม”

ซูจิ้งพูดออกมาถ้าหากเป็นคนรู้จักกันดีก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นเพียงแค่คนร่วมชั้นเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอะไรให้เขา

ต้องใส่ใจแต่อย่างใด

“ได้ค่ะ” เฉิงหนานเว้นวรรคไปทำท่าจะวางสายแต่เหมือนจะนึกอะไรได้จึงได้พูดออกมาว่า “อ่า… แล้วก็คืนนี้ที่บริษัทของเรามีงานเลี้ยงนะคะ หัวหน้าจะมารึเปล่า”

“ห้ะ เอถามมาเหมือนกับว่าฉันเคยไปก่อเรื่องในงานเลี้ยงไว้อย่างนั้นแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ก็ต้องถามสิคะ หัวหน้าคือไอดอลของพนักงานทุกคนที่นี่เลยนะ แถมเวลาปกติแล้วพวกเราเคยเจอหัวหน้าซะที่ไหนกันล่ะ

หากหัวหน้ามางานเลี้ยงล่ะก็ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน ที่ฉันกลัวก็คือถ้าทุกคนรู้จะขยันทำงานเกินไปมากกว่า” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มนึกสนุกขึ้นมา พลางคิดถึงคำพูดของเฉิงหนานที่ว่า กลัวถ้าทุกคนรู้จะขยันทำงานเกินไปมากกว่า

แต่เมื่อเขานั้นได้คิดถึงเรื่องงงานเลี้ยงขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจว่าจะนำบางอย่างไปด้วย คิดได้ดังนั้นจึงพูดว่า “ไปแน่นอนอยู่แล้วน่า แล้วก็อย่าลืมตามลูกพี่ใหญ่ของพวกเราไปด้วยล่ะ”