GGS:บทที่ 890 ก็แค่เบียร์

 

เย็นวันนั้น รถปอร์เช่ได้ตรงเข้าไปจอดอยู่หน้าประตูคลับหรูแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า KTV ซูจิ้งและหวังจ้าวที่อยู่ในชุดสูทก้าวลงมาจากรถ ซูจิ้งในตอนนี้ได้ถือกล่องเบียร์อยู่ในมือด้วยเช่นกัน เฉิงหนานที่รออยู่หน้าประตูเองก็ได้พอทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นสอง

ในระหว่างนั้นมีบริกรหนุ่มสองคนที่มีหน้าที่คอยต้อนรับแขกที่หน้าประตูตรงเข้ามาและพูดขึ้นมาว่า “ท่านครับ ในกล่องนี้มีไวน์หรือเครื่องดื่มอะไรรึเปล่าครับ ทางเราไม่อนุญาตให้นำเครื่องดื่มจากข้างนอกเข้าในร้านครับ”

เฉิงหนานที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ขมวดคิ้วแล้วถามออกมาว่า “พวกเรามีกล่องใหญ่ก็จริง แต่เป็นแค่เบียร์เองนะ ไม่ได้หรอ”

บริกรหนุ่มคนนั้นพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่ถูกชายวัยกลางคนที่เข้ามาจากข้างหลังล็อกคอไว้ ก่อนที่จะจับคอเสื้อและเหวี่ยงไปข้างหลังทันที หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหวัง คุณซู คุณเฉิง ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ไอ้หมอนี่เป็นคนใหม่เลยยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่เป็นไรครับเชิญขึ้นด้านบนได้เลย เรื่องเบียร์ก็ไม่มีปัญหาครับ สามารถนำมาเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่คุณเลย”

ซูจิ้ง หวังจ้าวและเฉิงหนานเองขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดจึงได้เดินขึ้นไป

 

“พี่บิน คลับของเรามีกฏอยู่ว่าไม่ให้เอา…”

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มบริกรจะพูดจบ ชายวัยกลางคนก็ได้ตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาดใหญ่ก่อนจะดุด่าออกมาว่า

“แกตาบอดรึไงห้ะ ผู้หญิงคนนั้นคือเฉิงหนาน คุณผู้หญิงแห่งตระกูลเฉิงเลยนะเว้ย ส่วนคนที่เธอนำไปสองคนเมื่อกี้นี้คือคุณชายสามและคุณชายสี่ของตระกูลหวังแห่งปักกิ่งเลยนะ

เพียงพวกเราได้มีโอกาสรับรองทั้งสามท่านนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างมากแล้ว นี่แกเป็นหัวหอมป่ารึไงกันห้ะ ไปมีเรื่องกับแขกด้วยเรื่องเบียร์ไม่กี่กล่องแบบนี้

หัวหน้าบอกให้ฉันดูแลพวกเขาอย่างดีแต่แกเนี่ยน้า กลับจะไล่พวกเขาออกไปด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ แกเป็นวัวรึไง”

ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกหน้าถอดสีกันเลยทีเดียว หากไม่เป็นพี่ใหญ่บินหยุดไว้ล่ะก็ มีหวังเขาคงทำเรื่องใหญ่ไปแล้วแหงๆ

ต่อให้เบียร์ที่นี่จะแพงแค่ไหนแต่คนอย่างนั้นต้องสนใจเรื่องเบียร์แพงด้วยหรอ

 

“อาจิ้ง ฉันประหลาดใจจริงๆ ฉันว่าเบียร์พวกนี้ไม่พอหรอกนะ จะให้ฉันนำเบียร์มาเพิ่มให้รึเปล่า” หวังจ้าวเองก็มองไปที่เบียร์ของซูจิ้งด้วยท่าทางแปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน แม้แต่เฉิงหนานเองก็ยังคิดๆอยู่ว่าซูจิ้งจะเอาเบียร์มาเองทำไม

“น่าน่า เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

หวังจ้าวและเฉิงหนานเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี พวกเขาตอนนี้ก็ได้มาอยู่ที่หน้าห้องที่การจัดเลี้ยงที่อยู่ในชั้นสองเรียบร้อยแล้ว

ที่นี่ในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเหล่าพนักงานของบริษัทในทุกระดับขั้น ทุกคนต่างก็พูดคุยกันโดยที่ยังไม่เริ่มดื่มกันแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะตักของกินมานั่งกินกันนั่นก็เพราะว่าเจ้าภาพของงานยังไม่มานั่นเอง

ทันทีที่ทั้งสามเข้ามาทุกคนก็หันไปมองอย่างเป็นตาเดียวกัน ทันใดนั้นบรรยากาศเซ็งแซ่ก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นในทันทีพร้อมเสียงตบมืออันกราวเกรียว

 

ซูจิ้งยกมือขึ้นมาทักทายและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องตบมือต้อนรับหรอกน่า พวกเรานั้นควรตบมือให้กับทุกคนในบริษัทมากกว่า เพราะทุกคนต่างหากที่ทำให้บริษัทของพวกเราเจริญรุ่งเรื่องมาได้ถึงขนาดนี้

พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณทุกคน ตอนนี้นี้เรามาเริ่มงานกันเลยดีกว่า เรามาสนุกกับงานเลี้ยงในวันนี้กัน วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา แล้วนะพอบริษัทเป็นหนึ่งในหล้านี้ให้ได้” ซูจิ้งกล่าวคำเปิดงานเลี้ยงออกมา

ซูจิ้งนั้นนอกจากจะถือว่าเป็นดาราใหญ่แล้ว หลายๆคนนั้นเองก็ยังคิดว่าเขานั้นเป็นคนที่ออกแนวเย็นชา แต่ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้คือซูจิ้งนั้นมีท่าทางที่ดูอบอุ่นและดูเป็นกันเอง

ทำให้พวกเขาเองก็อดที่จะคิดไม่ได้เหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นน่าสนิทชิดเชื้ออย่างมาก และเป็นกันเองแบบสุดๆ เอาจริงๆต่อให้ซูจิ้งไม่เคยคิดใส่ใจที่จะให้ใครนับถือเขาแม้แต่น้อย แต่ด้วยทุกสิ่งที่เขาทำนั้นก็อยากเกินกว่าที่ใครจะไม่นับถือได้

 

หวังจ้าวเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะเอาล่ะเรามาเริ่มดื่มกันดีกว่า เรามาร้องเล่นเต้นตามเพลงกันได้เลย หรือว่าเราจะให้อาจิ้งเริ่มงานด้วยการร้องเพลงดี…..”

ซูจิ้งยกมือขึ้นทันควันพร้อมบอกออกมาว่า “หยุดเลย ถ้าไม่อยากงานกร่อยก็ข้ามช็อตนี้ไปซะ”

หวังจ้าวนั้นก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขานั้นบอกให้คุมเพลงเปิดเพลงสนุกๆขึ้นมาเพลงหนึ่งแล้วหยิบไมค์พร้อมทั้งทำการร้องเพลงเปิดงานในทันที

เอาจริงๆนั้นเสียงของหวังจ้าวนั้นถือได้ว่าดีใช้ได้เลย แต่ประเด็นคือเขานั้นร้องคร่อมจังหวะตั้งแต่ต้นยันจบ

นั่นทำให้พนักงานทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงถึงกับหัวเราะกันกระจายและนั่นถือได้ว่าเป็นการเปิดงานอย่างเป็นทางการ

ตอนนี้บรรยากาศภายในงานรู้สึกมีชีวิตชีวา ไม่มีใครเกรงใจอีกต่อไปทุกคนต่างก็ร้องเพลง เต้นรำ เล่นเกม ดื่มเหล้า และกินกันอย่างสนุกสนาน

ซูจิ้ง หวังจ้าว และเฉิงหนานเองนั่งได้นั่งอยู่ในโต๊ะของผู้บริหารและผู้จัดการ แน่นอนว่าพนักงานทั่วไปนั้นไม่อาจจะมานั่งที่นี่ได้

ซูจิ้งมองไปรอบก็เห็นซูฉือที่นั่งอยู่ในกลุ่มผู้หญิงพนักงานบริษัทเขาก็พยักหน้าให้ แต่เมื่อเขาหันไปเห็นลู่ชุนเย่ที่นั่งข้างๆก็นิ่งอึ้งไปในทันที เขาว่าเขานั้นให้เฉิงหนานจัดการแต่ก็ไม่คิดว่าจะยอมรับเธอเข้าทำงานแถมยังพามางานเลี้ยงบริษัทเสียอีก

ลู่ชุนเย่นั้นดูๆไปก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรและก็ไม่ได้เกลียดอะไรนัก เธอเป็นแค่คนขี้เกียจคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง นี่คือสิ่งที่ฝังใจเขาเอาไว้ตั้งแต่ช่วงตอนมหาวิทยาลัย

เมื่อเธอหันหน้ามาเห็นซูจิ้งนั้น ถ้าเป็นตอนมหาวิทยาลัยเธอนั้นสมควรจะจ้องกลับมาตรงๆ แต่นี่เธอกลับทำท่าเขิลซะงั้น

ตอนนี้เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวผ่าข้างเผยให้เห็นเรียวขางาม ดูเหมือนเธอเองก็ดูมีเสน่ห์มากกว่าแต่ก่อนเหมือนกัน

ที่เธอก้มหน้าหลบสายตาของเขานี่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกอายก็เป็นได้ที่ต้องอาศัยชื่อของซูจิ้งเพื่อได้งานนี้มา

แต่ที่แน่ๆเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอนหากเธอทำการพูดคุยกับซูจิ้งในตอนนี้

“ชุนเย่ แนได้ยินว่าเธอกับบอสเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันอย่างนั้นหรอ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ในกลุ่มถามออกมา โดยคนๆนั้นมีอายุใกล้เคียงกับเธอ

“ใช่” ลู่ชุนเย่พยักหน้ารับ

“ฉันอิจฉาเธอจริงๆ” หญิงสาวอีกคนหนึ่งเองพูดออกมาด้วยท่าทางอิจฉาเช่นเดียวกัน อีกคนหนึ่งก็ได้ถามออกมาว่า “จริงรึเปล่าที่ว่ามีคนเทหัวหน้าของพวกเราตอนมหาวิทยาลัยน่ะ ฉันก็ว่าหัวหน้าของพวกเรานั้นทั้งหนุ่มทั้งแน่นและหล่อเหลานี่นา ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรกันแน่นะ”

“บอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นมีตาแต่ไร้แววจริงๆ” ลู่ชิงเย่นั้นพูดออกมา ถึงจะบอกแบบนั้นก็จริงแต่เธอเองก็ได้ลองนึกถึงช่วงเวลาช่วงนั้นไปแล้วก็คิดออกมาว่าในตอนนั้นซูจิ้งก็เป็นเพียงนักศึกษาบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น

ตอนที่เขาถูกหวังหยานเทไปตอนนั้นถึงแม้หมอนี่จะได้รับผลไปไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้แปลกใจเรื่องนั้นสักเท่าไหร่

แต่ที่เธอแปลกใจก็คือซูจิ้งในตอนนี้ต่างหาก ใครจะไปคิดว่านักศึกษาบ้านนอกคนนั้นกับสุดยอดนักธุรกิจหนุ่มตรงนี้จะเป็นคนๆเดียวกัน

เป็นซูจิ้งต่างหากที่เป็นคนเปลี่ยนความคิดของเธอทำให้เธอนั้นสนใจเขาแทนจนแทบจะอดใจไม่ไหว เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนที่เธอได้เห็นซูจิ้งเองเธอก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

ตอนที่เธอเห็นซูจิ้งจากในข่าวนั้นตอนแรกเธอไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอนั้นเคยเห็นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว และใช้เวลานานพอสมควรจนกว่าเธอจะยอมรับเรื่องนี้มาได้

เมื่อเดือนก่อน เธอเองก็ได้ถูกไล่ออกจากงานและเมื่อเธอเห็นว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศกำลังรับสมัครงาน เธอจึงลองคิดจะมาสมัครงานดูด้วยความคิดที่ว่ายังไงซะก็เป็นคนรู้จักกันน่าจะพอช่วยๆกันได้บ้าง

ในตอนนี้เธอคาดไว้แล้วว่าอย่างน้อยซูจิ้งนั้นก็น่าจะคิดว่าเธอยังเป็นร่วมชั้นเรียนอยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ต่อภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลซะเหลือเกินจริงๆ

 

“”อาจิ้ง นายเอาเบียร์อะไรมาหรอ” หวังจ้าวที่กำลังกรึ่มๆอยู่ตอนนี้ได้ถามซูจิ้งออกมาตรงๆในขณะที่ใช้มือเปิดฝากล่องดูก็เห็นเบียร์ที่แช่อยู่ในน้ำแข็งจนเต็ม

“เอาเป็นเรามาลองกันคนละสักขวดก่อนดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“นี่ไม่ใช่เบียร์หยันจิ้งเหรอ” หวังจ้าวหยิบขวดออกมาเมื่อเห็นป้ายยี่ห้อก็ถามออกมาอย่างงงๆ

“อ่ะแฮ่ม ถึงจะเป็นขวดเบียร์หยันจิ้งแต่ข้างในไม่ใช่เบียร์หยันจิ้งหรอกนะ” ซูจิ้งพูดออกมาแบบอายๆเล็กน้อย

ความจริงแล้วเบียร์นี้คือเบียร์มอลต์แห่งไชร์ที่ได้จากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั่นเอง

เพื่อที่จะทำให้เบียร์เย็นเขาจึงได้ไปยังร้านที่เปิดในชายหาดเมืองฉิงหยุนแล้วทำการซื้อเบียร์มากล่องหนึ่ง หลังจากนั้นจึงล้างทำความสะอาดก่อนที่จะนำมาบรรจุลงขวดพร้อมปิดฝาอย่างดี

“ถ้างั้นนี่ก็คือเบียร์ทำเอง” หวังจ้าวเองก็ตกตะลึงในทันที พลางคิดไปว่า หมอนี่คิดอะไรกันแน่ เขาเองก็รู้ว่าจะมีอะไรเทียบเท่ากับไวน์จิ้งจอกแดงของเขาได้อีกกัน หรือว่าเบียร์นี่เทียบได้จริงๆ?

คนอื่นๆที่ได้ยินดังนั้นต่างก็รู้สึกสงสัยในทันทีว่าได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า แค่คนระดับซูจิ้งนั้นเอาเบียร์มาจากนอกร้านก็ถือว่าน่าแปลกในแล้ว

ยิ่งพอได้ยินมาว่าเบียร์เป็นเบียร์บ่มเองบรรจุเองแบบนี้ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ นี่ซูจิ้งเป็นคนรวยขนาดนี้ยังต้องมาประหยัดแบบนี้ไปทำไมกัน