ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 88 การถ่ายเสียงของบรรพชนฝาน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 88 การถ่ายเสียงของบรรพชนฝาน Ink Stone_Fantasy

“ข้าแพ้แล้ว” ฝานซานหยวนเดินไปยังที่นั่งของตนแล้วนั่งลง ในใจซับซ้อนเป็นอย่างมาก

เขารู้ว่า เส้นทางของเขาในสงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว!

รอบแรกเขาไม่สามารถเข้าอยู่ในสามอันดับแรกได้ รอบที่สองก็มิอาจชนะได้…มีเพียงรอบสุดท้ายที่ได้หม้อขาหยั่งทองมาใบหนึ่งอย่างพอถูไถ เช่นเดียวกันกับอ๋องส้าหลง! อย่างฝานโม่จู๋นั้นได้หม้อขาหยั่งทองมาสองใบแล้ว! ส่วน ‘ฝานอีเชียน’ ยามนี้ยังคงห้ำหั่นอยู่ภายในโลกคูหาสวรรค์ ส่วนอิงซานเสวี่ยอิง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

“เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะสามารถฉายแววออกมาได้ในสงครามสามตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ น่าเสียดายที่ท่ามกลางบรรดาขั้นอลวนทั้งหลาย ข้าไม่ได้อยู่ใน ห้าอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ” ฝานซานหยวนส่ายศีรษะเบาๆ เขาพินิจดูโลกคูหาสวรรค์หลายใบเหนือโถงตำหนักโดยละเอียด

……

การต่อสู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงดำเนินไปอย่างสบายที่สุด

กระดิ่งจิตมารตรงหว่างเอวส่งเสียงเสนาะหูสะท้อนก้องไปทั่วทั้งคูหาสวรรค์อีกครั้ง ทำเอาทหารเกราะเงินสองนายนั้นได้รับผลกระทบ พลังที่ปลดปล่อยออกมาเสียหายมากอย่างเห็นได้ชัด

“ตู้ม!!!”

กลุ่มเมฆโหมซัด อสนีบาตฟาดฟันลงมา

เมฆและอสนีบาตเกิดความเปลี่ยนแปลงระหว่างกันอีกด้วย ทำให้ระหว่างที่อสนีบาตฟันฟาดลงมานั้น แม้อสนีบาตแต่ละสายจะแฝงไว้ด้วยอานุภาพทำลายล้าง แต่กลับเหมือนมีกลิ่นอายชีวิตแฝงเอาไว้…

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมองเห็นรางๆ ว่า จักรวาลหนึ่งใบ อสนีบาตฟันฟาด สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมา…

“อสนีบาตสามารถทำลายโลกได้ และสามารถสร้างโลกขึ้นมาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม อานุภาพของอสนีบาตนี้แม้จะร้ายกาจ แต่รอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเคล็ดผนึกห้าภาพก่อตัวขึ้นมาแล้ว จึงสามารถสกัดกั้นอสนีบาตเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย! เพราะถึงอย่างไรภายใต้ผลกระทบของกระดิ่งจิตมาร ทหารเกราะเงินทั้งสองนายก็มิอาจสำแดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

“ทำลาย”

มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นออกไป

ลูกแก้วห้าภาพบนข้อมือเปล่งรัศมีออกมา มือขวาขยายออกแล้วบดบังทั่วทั้งโลกคูหาสวรรค์ นิ้วมือดูเหมือนจะมีร่อง แต่กระนั้น มิติกลับไม่เว้นร่องเลยแม้แต่น้อย! มันห่อหุ้มและพันธนาการกลุ่มเมฆและอสนีบาตเอาไว้จนสิ้น! จากนั้นฝ่ามือมหึมาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มิติภายในก็กดดันลงมาอย่างรุนแรง ทุกสิ่งภายในล้วนถูกกดดัน

ตู้ม! ตู้ม!

แม้ทหารเกราะเงินสองนายนั้นจะกำลังดิ้นรน แต่เสียงกระดิ่งจิตมารระลอกแล้วระลอกเล่ารวมทั้งโลกเขตลวงซึ่งหลอมรวมเข้าไปในมิติผนึกห้าภาพภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ทหารเกราะเงินสองรายนั้นมีอาจสั่นคลอนความแข็งแกร่งของมิติผนึกห้าภาพนั้นได้เลย จึงถูกบังคับกดดันให้สลายหายไปในที่สุด

เมื่อจัดการศัตรูระลอกที่สองได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมองไปยังโลกภายนอก “เอ๊ะ พวกฝานซานหยวนทั้งสามคนถูกเคลื่อนย้ายออกไปหมดแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบว่า ในบรรดาขั้นอลวนที่สกุลฝานส่งมาในครั้งนี้ นอกจากตนแล้วก็เหลือเพียงฝานอีเชียนเท่านั้นที่ยังพอต้านรับได้อย่างพอถูไถ

ส่วนสกุลชาง…

สกุลชางเหลือแม่ทัพเซวียนเพียงคนเดียวเท่านั้น! แม่ทัพเซวียนยังคงไม่รีบร้อน รัศมีสีม่วงของเขาส่องสะท้อนไปทั่วโลกคูหาสวรรค์ อานุภาพยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทางด้านสกุลเซี่ย…

ยังเหลือถึงสามคนด้วยกัน! ทั้งเซี่ยฝ่าหยาง เซี่ยเฉิงหย่วนและเซี่ยอูหัว

เซี่ยฝ่าหยางอาศัยกระบวนท่าภาพจิตและค่ายกล ยังคงค่อนข้างสบายๆ อยู่ เชื่อว่าหากใช้เวลาอีกสักหน่อยก็จะสามารถเอาชนะได้

เซี่ยเฉิงหย่วนขับร้องเพลงมหาวิถี ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นกัน

มีเพียงเซี่ยอูหัวเท่านั้นที่ต้านทานได้อย่างยากลำบากภายใต้อสนีบาตที่ฟันฟาดลงมา เห็นได้ชัดว่ากินแรงเป็นอย่างมาก

“ฝานอีเชียนและเซี่ยอูหัว พวกเขาทั้งสองต่างก็เปลืองแรงเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงชมดูอยู่ “คิดจะต้านทานผ่านรอบที่สองไปให้ได้ก็สุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง!”

“อีเชียน!”

พวกฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ที่ถูกส่งไปข้างนอกก่อนแล้วมองดูอย่างตื่นเต้นและรอคอย

“กระจายไป กระจายไปให้หมด!”

ฝานอีเชียนบ้าคลั่งไปแล้ว พลองยาวสีสำริดเล่มหนึ่งแฝงไว้ด้วยอานุภาพล้างฟ้าทำลายดิน ทุกบริเวณที่ผ่านไป อสนีบาตล้วนทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง! พลองของเขาเพียงพอจะทำให้ทหารเกราะเงินซึ่งแปรเป็นอสนีบาตและกลุ่มเมฆเหล่านั้นบาดเจ็บได้แล้ว แต่กระนั้นกลุ่มเมฆและอสนีบาตก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ภายใต้การฟันฟาดอย่างรุนแรง ฝานอีเชียนก็ถูกฟันเสียจนเลือดกบปาก อาการบาดเจ็บของเขาก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ยามนี้ ฝานอีเชียนรู้สึกว่ามีเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหู ตรงหน้าเต็มไปด้วยอสนีบาตที่ฟาดฟันลงมา

“ไม่ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมหรอก…” ฝานอีเชียนรู้ว่าตนเหมือนกับเรือน้อยลำหนึ่งท่ามกลางลมมรสุม ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้นทำให้เขาโมโหขึ้นมา!

“สวบ”

ทันใดนั้นพละกำลังสายหนึ่งก็แผ่คลุมลงมา ก่อนจะปกคลุมฝานอีเชียนเอาไว้ แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกไปทันที

ฝานอีเชียนยืนอยู่ข้างที่นั่งของตนด้วยความตกตะลึง รอบด้านไม่มีอสนีบาตอีกต่อไปแล้ว ในมือของเขากุมพลองยาวเอาไว้

“ข้าเอาชนะมิได้” ร่างกายของฝานอีเชียนสั่นสะท้านน้อยๆ ที่แล้วมาเขาเชื่ออย่างงมงายว่าพลังของตนสูงส่งเทียมฟ้ามาโดยตลอด รู้สึกว่าแค่กวาดล้างทุกสิ่งก็เป็นอันใช้ได้แล้ว! แต่ภายใต้อสนีบาตที่บ้าคลั่งกว่า เขาก็แพ้อย่างราบคาบ

“เอ๊ะ”

บรรพชนฝานซึ่งนั่งอยู่ด้านบนสุดเหลือบมองลงมา คิ้วพลันขมวดเล็กน้อย

ศิษย์ทั้งห้าที่สกุลฝานส่งมานั้น สี่คนถูกเคลื่อนย้ายออกมาหมดแล้ว พวกเขาล้วนได้หม้อขาหยั่งทองมาเพียงคนละใบเท่านั้น! ส่วนข้อได้เปรียบของสกุลเซี่ยก็ใหญ่มากทีเดียว เนื่องจากขณะนี้ทั้ง ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ และ ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ ล้วนแต่ชนะแล้ว!

……

ฝานอีเชียนใช้เวลาในการต่อสู้ยาวนานมาก นอกจาก ‘เซี่ยอูหัว’ ที่ยากลำบากเช่นเดียวกันซึ่งยังต่อสู้อยู่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิง แม่ทัพ เซวียน เซี่ยฝ่าหยางและเซี่ยเฉิงหย่วนล้วนแต่เอาชนะไปเรียบร้อยแล้ว

“ข้าเป็นร่างที่กลับชาติมาจุติ ชาติก่อนก็เป็นเทพจักรวาลแล้ว! แม้เนื่องจากเข้าร่วมสงครามสามตระกูลใหญ่ หากบรรลุแล้วก็มิอาจเข้าร่วมได้ แต่ข้าที่เป็นขั้นอลวน จะต้องแพ้ให้กับชนรุ่นหลังทั้งสี่คนเชียวหรือ” เซี่ยอูหัวพยายามต่อสู้สุดกำลัง หากกล่าวว่าฝานอีเชียนใช้กระบวนท่าอันเหิมเกริม เซี่ยอูหัวก็สง่างามกว่า ทั้งร่างของเขาแปรเป็นประกายกระบี่ท่องอยู่ท่ามกลางอสนีบาต

อสนีบาตทั่วฟากฟ้าฟาดลงมา มีจำนวนมากที่มิอาจแตะต้องเซี่ยอูหัวได้!

ต่อให้มีบางส่วนที่ฟันถูกเซี่ยอูหัว เขาก็สำแดงเคล็ดกระบี่ออกมาเหนี่ยวนำออกไป

“ฟิ้ววว…”

ประกายกระบี่ประหนึ่งมหานทีสวรรค์ซึ่งทำร้ายกลุ่มเมฆอย่างรุนแรง เซี่ยอูหัวมิได้สนใจประกายกระบี่เหล่านั้น หากแต่ตั้งใจโจมตีกลุ่มเมฆซึ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

“การฝึกฝนร่างกายของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ต้องหลบเลี่ยงอย่างเต็มที่ เพื่อทนรับให้ได้นานขึ้น” เซี่ยอูหัวสำแดงวิถีกายจนถึงขีดสุด พยายามหลบหลีกอสนีบาต แต่อสนีบาตมีมากเกินไปและบ้าคลั่งเกินไป อานุภาพก็ยิ่งใหญ่นัก ต่อให้ประกายกระบี่เข้าสกัดกั้นทำให้อ่อนกำลังลง ก็ยังคงรุกรานเข้าไปในร่างของเซี่ยอูหัวอยู่นั่นเอง

ตู้ม!

ในที่สุดกลุ่มเมฆก็พลันหดตัวลง กลายเป็นทหารเกราะเงินนายหนึ่ง กลิ่นอายก็อ่อนแอลง เห็นได้ชัดว่ามันไม่กล้าต้านทานประกายกระบี่อีกต่อไป

เมื่อไม่มีความช่วยเหลือของมัน อานุภาพของอสนีบาตทั่วฟ้าก็ลดลงอย่างรวดเร็ว อานุภาพลดเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้น

“ดี”

“ทำได้ดี”

“จะชนะแล้ว” เทพจักรวาลสกุลเซี่ยจำนวนมากเอ่ยปากชม

สกุลชางยังคงสามารถนิ่งเฉยได้บ้าง เพราะถึงอย่างไรสกุลชางและสกุลเซี่ยก็แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว ไม่มีหวังแล้ว ส่วนเหล่าเทพจักรวาลของสกุลฝานส่วนใหญ่ก็มีสีหน้าไม่น่ามองสักเท่าใดนัก ก่อนที่เซี่ยอูหัวจะคว้าชัยนั้น สกุลฝานก็ยังคงสามารถหวังสูงได้บ้าง แต่ตอนนี้น่ะหรือ คงจะสามารถมองข้ามไปได้แล้ว!

แม้ยามนี้เซี่ยอูหัวจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่ากลับสามารถโจมตีทหารเกราะเงินจนสลายไปได้อย่างสบายๆ

“ครั้งนี้สงครามสามตระกูลใหญ่แข็งแกร่งมากโดยแท้”

“มีถึงห้าคนที่สามารถเอาชนะระลอกที่สองได้ ครั้งก่อนมีแค่สองคนเท่านั้นเองกระมัง นานมากแล้วที่มิได้มีคนหนุ่มสาวที่เก่งกาจมากมายถึงเพียงนี้อยู่ร่วมยุคเดียวกัน”

บรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายต่างพากันเอ่ยปากชม

แม้การที่มีสองสามคนผ่านระลอกที่สองได้จะเป็นเรื่องปกติ แต่ในประวัติศาสตร์ บางครั้งก็มีผู้ที่ล้ำเลิศอย่างยิ่งปรากฏขึ้นในสงครามสามตระกูลใหญ่เป็นครั้งคราว ในประวัติศาสตร์เคยมีขั้นอลวนเอาชนะระลอกที่สี่ได้

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเบื้องหน้าอย่างสงบ เนื่องจากศัตรูระลอกที่สามนั้นได้มาถึงแล้ว

กลิ่นอายอันโหมซัดรวมตัวกันแล้วกลายเป็นทหารเกราะเงินนายหนึ่ง ทหารนายนี้ยืนอยู่ตรงนั้น ด้านหลังกลับมีวงแหวนเปลวเพลิงวงแล้ววงเล่าปรากฏขึ้นมา วงแหวนเปลวเพลิงถึงเจ็ดสายมีสีสันแตกต่างกันไป

“เพลิงเจ็ดสีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาลง

ในบรรดาเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนอันยอดเยี่ยมนั้น

เคล็ดผนึกห้าภาพนับว่ามีอันดับสูงยิ่งนัก แต่ก็ยังมีเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นซึ่งตามหลักแล้วสามารถฝึกให้สำเร็จได้ที่แข็งแกร่งกว่ามันเสียอีก วิถีตรีภพ เพลิงเจ็ดสีและโลกราตรีนิรันดร์…จำพวกนี้ คือเคล็ดวิชาระดับยอดสุดซึ่งบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูมีพลังสูงส่งเสียจนมิอาจก้าวหน้าไปได้อีกแล้วหันกลับมาค้นคว้าขั้นอลวนและอาศัยสมบัติลับเพื่อสำแดงออกมา

เปลวเพลิงเจ็ดสีนั้นยากกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพ ทว่าในประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เคยมีสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถเข้าถึงได้ นั่นคือสัตว์ประหลาดอันไร้เทียมทานตนหนึ่งแห่งรัฐโบราณสหโลกา

โลกราตรีนิรันดร์ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก! ว่ากันว่า จะต้องสำแดงกระบวนท่าวิญญาณระดับชั้นที่สิบห้าชนิดได้ จึงจะสามารถก่อตัวขึ้นเป็น ‘โลกราตรีนิรันดร์’ ได้

โลกราตรีนิรันดร์…

ทั้งหมดกลับคืนสู่ราตรีนิรันดร์จนสิ้น ต้องจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขตไปตลอดกาล ไร้จุดสิ้นสุด

“เปลวเพลิงเจ็ดสีเป็นการทดสอบระลอกที่สามหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง

“ติ๊งๆๆ ต่องงง…”

เสียงอันเสนาะหูของกระดิ่งจิตมารดังก้องขึ้นมา ทำให้ร่างของทหารเกราะเงินผู้นั้นสั่นสะท้านน้อยๆ ทว่าเขาก็ยังคงโบกมือคราหนึ่ง เปลวเพลิงเจ็ดสีที่โหมซัดรุนแรงสายหนึ่งทะยานออกมา

“ยังดีที่ได้รับผลกระทบจากเขตลวงทำให้พลังเสียหายเป็นอันมาก จนมิอาจสำแดงวงแหวนเปลวเพลิงอันสมบูรณ์ออกมาได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หากวงแหวนเปลวเพลิงเจ็ดสีปกคลุมเข้ามา แล้วถูกวงแหวนเปลวเพลิงเจ็ดสีพันธนาการเอาไว้ก็จะมิอาจหนีได้พ้น หากก่อตัวขึ้นมาเป็นทรงวงแหวนได้เมื่อใด ทั้งเจ็ดสีดุจกงล้อซึ่งหมุนวนไปอย่างครบสมบูรณ์ อานุภาพก็จะมิอาจต้านทานได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มั่นใจว่าจะสามารถใช้เคล็ดผนึกห้าภาพต้านทานได้ เกรงว่าคงจะต้องอาศัย ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ เสียแล้ว

บัดนี้มีเพียงเปลวเพลิงเจ็ดสี เคล็ดผนึกห้าภาพยังพอมั่นใจว่าจะสู้ได้บ้าง

“ทำลาย”

มือขวายื่นออกไป ฝ่ามือขยายออก มือใหญ่เทียมฟ้าปรากฏขึ้นมาแล้วบดบังโลกคูหาสวรรค์เอาไว้กว่าครึ่งแล้วแผ่คลุมไปทางเปลวเพลิงเจ็ดสีอันโหมซัดสายนั้น เปลวเพลิงเจ็ดสีกระทบถูกฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้า ส่งเสียงสะท้อนก้อง ‘ฟึ่บๆๆ’ ทันที ฝ่ามือมหึมาสั่นสะท้านแล้วถูกแผดเผาจนเกิดเป็นร่อง ทว่าห้าภาพก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปแล้วฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

“เฮอะ” ทหารเกราะเงินผู้นั้นเห็นเข้า ก็ใช้มือกุมหอกยาวพุ่งตรงเข้ามา บนหอกยาวก็มีเปลวเพลิงเจ็ดสีหมุนเวียนอยู่

“ใช้หอกยาวรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

……

กลางโถงตำหนัก ขั้นอลวนผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งห้ากำลังรับศึกอยู่

อิงซานเสวี่ยอิงจากรัฐเมฆทักษิณายังคงห้ำหั่นกับทหารเกราะเงินต่อไป ส่วนแม่ทัพเซวียนก็พยายามหลบหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ ทางด้านเซี่ยฝ่าหยาง เซี่ยเฉิงหย่วนและเซี่ยอูหัวยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่

เซี่ยอูหัวแทบจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปทันที!

ภายใต้วงแหวนเปลวเพลิงซึ่งก่อตัวขึ้นจาก ‘เปลวเพลิงเจ็ดสี’ อันสมบูรณ์ เพลงมหาวิถีของเซี่ยเฉิงหย่วนก็มิอาจต้านรับได้ เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกจักรพรรดิเซี่ยเคลื่อนย้ายออกมา

เซี่ยฝ่าหยางสำแดงภาพจิตกระบวนท่าออกมา พลังของทหารเกราะเงินก็เสียหายอย่างใหญ่หลวง น่าเสียดายที่ภายใต้ ‘เปลวเพลิงเจ็ดสี’ ซึ่งอานุภาพอ่อนกำลังลงแล้ว ค่ายกลของเขาก็ยังคงแตกเป็นเสี่ยงๆ เซี่ยฝ่าหยางก็แค่ถ่วงเวลาออกไปได้ไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาเสียแล้ว! หากสู้ต่อไปก็เกรงว่าเขาคงจะถูกเผาตายทั้งเป็น เพราะถึงอย่างไรเปลวเพลิงเจ็ดสีซึ่งอานุภาพลดลงเป็นอย่างมากก็ยังเทียบได้กับเคล็ดผนึกห้าภาพของตงป๋อเสวี่ยอิง

“คนสกุลเซี่ยจบแล้ว” บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นต่างก็วิเคราะห์ “สงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้คงจะเป็นสกุลเซี่ยที่คว้าชัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดอีกแล้ว!”

เหนือตำหนักใหญ่

สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสามก็เห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน

“ฮ่าฮ่า รอบที่สามนี้ สกุลเซี่ยเรามีเด็กๆ ตั้งสามคนที่เอาชนะระลอกที่สองได้ ยังมีเซี่ยจิ้งจืออีกคนที่สามารถเอาชนะในระลอกแรกได้! เมื่อนับดูแล้วก็มีหม้อขาหยั่งทองถึงเจ็ดใบ บวกกับหม้อขาหยั่งทองห้าใบก่อนหน้านี้ ครั้งนี้สกุลเซี่ยเราได้หม้อขาหยั่งทองรวมกันถึงสิบสองใบ” จักรพรรดิเซี่ยมองไปทางบรรพชนฝานยิ้มๆ “พี่ฝาน ในรอบสุดท้ายคนสกุลฝานของท่านทั้งสี่คนทำได้ไม่เลวเลย แต่ก็เอาชนะได้แค่ระลอกแรกและได้หม้อขาหยั่งทองมาสี่ใบเท่านั้น! สองรอบก่อนหน้านี้ได้หม้อขาหยั่งทองเพียงสี่ใบเท่านั้น อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ต้องเอาชนะระลอกที่สี่ให้ได้ จึงจะสะสมหม้อขาหยั่งทองได้สิบสองใบและเสมอกันได้!”

อิงซานเสวี่ยอิงต้องเอาชนะระลอกที่สี่ให้ได้ จึงจะเสมอกัน!

ซึ่งการเอาชนะระลอกที่สี่ ก็ไร้เทียมทานที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามสามตระกูลใหญ่แล้ว!

จักรพรรดิชางที่อยู่ด้านข้างก็พูดยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เสมอกัน เกรงว่าก็คงมีโอกาสชนะในการประลองที่ตามมาไม่มากสักเท่าใดนัก”

“ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายเสียหน่อย” บรรพชนฝานมองลงไปเบื้องล่างต่อไป

จักรพรรดิชางก็มองลงไปเบื้องล่าง บัดนี้เหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเซวียนเท่านั้นที่ห้ำหั่นอยู่อย่างยากลำบาก

“ศัตรูระลอกที่สามยังเปลืองแรงถึงเพียงนี้ ศัตรูระลอกที่สี่นั้นไม่มีหวังเลย” จักรพรรดิชางพูดสัพยอก

……

 ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถคว้าชัยชนะด้วยการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดด้วยการหนีหายไปถึงข้างกายศัตรูแล้วลอบสังหาร การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ ‘ปราการอากาศ’ ซึ่งเกิดจากเทพจักรวาลทั้งหลายในอากาศอันสับสนอลหม่านร่วมมือกันก็ยังมิอาจตรวจพบได้ หากเขาหนีหายไปอยู่ข้างกายศัตรู แล้วลอบสังหารในระยะที่ใกล้ที่สุด อานุภาพของเคล็ดผนึกห้าภาพก็จะสามารถระเบิดศัตรูในชุดเกราะเงินจนตายได้ทันที เพราะถึงอย่างไรก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทนรับอานุภาพเต็มแรงของเคล็ดผนึกห้าภาพได้หากมิได้ต้านทานเอาไว้

ต่อให้ตะปบในฝ่ามือเดียวไม่ตายจริงๆ สามสี่ฝ่ามือก็เพียงพอจะตะปบจนตายได้แล้ว

เพียงแต่หากยังไม่ถึงช่วงเวลาที่จำเป็น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากจะสำแดงวิธีการระดับนั้นออกมา เขาอยากจะมองดูเพลิงเจ็ดสีในตำนานอย่างละเอียดมากกว่า! แม้จะกล่าวว่านี่คือตำนานในหมู่ขั้นอลวน แต่ในระดับเทพจักรวาล รัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาต่างก็มีเทพจักรวาลที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้ หลังสงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้เขาก็จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็จะมิใช่พวกเซี่ยฝ่าหยางที่อยู่ตรงหน้าแล้ว หากแต่เป็นเทพจักรวาลจำนวนมากที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าในภายหน้า…

“เป็นเปลวเพลิงเจ็ดสีที่ร้ายกาจนัก ช่างเรียกได้ว่าทำลายล้างจนถึงขั้นสุดจริงๆ นี่ยังมิทันได้ก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนเปลวเพลิงเสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ พลางมองดูเปลวเพลิงเจ็ดสีอันงดงามหาใดเปรียบแผดเผามิติผนึกห้าภาพของตน

“อิงซานเสวี่ยอิง”

ทันใดนั้น เสียงอันแผ่วเบาสายหนึ่งแต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงความน่าหวาดหวั่นอันใหญ่หลวงก็ดังขึ้นในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง รวมทั้งในห้วงสมองของร่างแยกอีกร่างหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปถึงในรัฐเมฆทักษิณาด้วย

“หากเจ้าสามารถเอาชนะศัตรูระลอกที่สี่ได้ รางวัลที่มอบให้เจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการ! หากสามารถเอาชนะศัตรูระลอกที่ห้าได้ จะเพิ่มขึ้นอีกสองหมื่นมหาคุณูปการ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายจะรู้สึกอะไรในใจ จึงเงยหน้าขึ้นมอง

สายตาของเขามองผ่านผนังของโลกคูหาสวรรค์ออกไป ก็มองเห็น ‘บรรพชนฝาน’ เงาร่างอันเลือนราง ณ จุดสูงสุดกลางโถงตำหนักที่โลกภายนอกซึ่งมองเห็นได้ไม่ชัดมาตลอดผู้นั้น ทว่าในครั้งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองเห็นดวงตาคู่หนึ่งท่ามกลางเงาร่างอันเลือนรางนั้นได้อย่างชัดเจน

ดวงตาคู่นั้นสานสบกันกับสายตาของตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมาในทันที!

“เหอๆ…” แม้จักรพรรดิชางจะไม่สังเกต แต่จักรพรรดิเซี่ยซึ่งควบคุมโลกคูหาสวรรค์ให้ส่งศัตรูลงไปกลับหัวเราะคิกคักพลางเหลือบมองบรรพชนฝานที่อยู่ด้านข้าง บรรพชนฝานกลับยังคงมองลงไปเบื้องล่างอย่างสงบราวกับมิได้ทำอะไรทั้งสิ้น

 ……………………………….