ภาคที่ 5 บทที่ 26.2 สสารมืด (ปลาย)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 26.2 สสารมืด (ปลาย)

แท้ที่จริง สสารมืดของหรงซิวไม่เพียงจำกัดระยะสายตา หรือเพียงแค่ค่อย ๆ กัดกินคนที่ติดอยู่ข้างในหมอก ด้วยมันยังแผ่พลังต้นกำเนิดความมืดมหาศาลออกมาทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานทักษะต้นกำเนิดได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นด้วยพลังของสสารมืด หรงซิวจึงสามารถปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดประเภทความมืดออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากปัดป้องกำปั้นของซูเฉินได้แล้ว หรงซิวก็สะบัดข้อมือ สร้างลูกศรสีดำมืดพุ่งตรงมาข้างหน้า

ซูเฉินหัวเราะดังลั่นและกระโดดขึ้นไปในอากาศ ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดปรากฏขึ้นข้างหลังเขา ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่คราวนี้มันเข้มข้นมากขึ้นและดูราวกับว่ามีตัวตนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ทันทีที่ปรากฏขึ้นมันก็หลอมรวมเข้ากับร่างของซูเฉิน

ร่างของซูเฉินเริ่มขยายใหญ่ขึ้นรวมถึงกล้ามเนื้อที่พองตัวขึ้น พลังปราณพุ่งพวยอยู่ทั่งทั้งร่างกายของเขาและกำลังจะปะทุออกมา

ซูเฉินเคยชินกับการใช้กำลังกายในจัดการกับศัตรู แต่ตอนที่เขาเริ่มใช้พลังต้นกำเนิด พลังนั่นมันก็พลันผสมผสานเข้ากับร่างกายกำยำของเขา ซึ่งสร้างเสริมกำลังของชายหนุ่มให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ! หมัดของซูเฉินรุนแรงยิ่งขึ้นและดูราวกับว่ามันกำลังจะแยกโลกทั้งใบออกเป็นสองส่วน !!!

โชคไม่ดีนักที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในหมอกสสารมืดและไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาได้ยินเพียงแค่เสียงปะทะดังขึ้นติดต่อกันจากในเมฆหมอกสีดำเท่านั้น

โชคยังดี ที่สสารมืดนั้นสามารถกดพลังต้นกำเนิดได้บางส่วน ไม่อย่างนั้นการประชันกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารสองคนอาจฉีกเมืองนี้ออกเป็นชิ้นเลยก็เป็นได้

ผู้อยู่ในละแวกนั้นต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กันหลังเสียงระเบิดดังออกมาจากในความมืดมิด พวกเขาต่างก็มองหน้ากันและถอยหลังไปเพื่อออกห่างจากสมรภูมิรบ

ภายในสสารมืด ความตื่นตระหนกจะยิ่งกัดกินจิตใจหรงซิวมากขึ้นขณะที่พวกเขาประมือกัน

หากจะบอกว่าตนเองคือกระดูกสันหลังของตระกูลหรงก็คงไม่ผิดนัก ด้วยครอบครองสายเลือดจักรพรรดิอสูรและพลังที่เกรี้ยวกราด แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณยังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้เพราะความสามารถที่มี จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่จะมีใครกล้าเจอกับตนตัวต่อตัวเช่นนี้ ดังนั้นหรงซิวจึงไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกท้าทายโดยใครบางคนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าในวันนี้ !

ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามนั้นดูจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พลังต้นกำเนิดที่เข้มข้นนั้นมาจากที่ไหนกัน ?

หรงซิวช่ำชองคัมภีร์ทะเลสวรรค์ซึ่งช่วยเพิ่มขนาดทะเลพลังต้นกำเนิด พลังต้นกำเนิดของเขาหน้าแน่นกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า ทำให้สามารถปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดติดต่อกันนับครั้งไม่ถ้วนและใช้พลังนี้ในการกำจัดคู่ต่อสู้ หรงซิวเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควรในตระกูลหรงในเรื่องของความเก่งกาจอันดุร้ายเกินมนุษย์ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขากลับตามการเคลื่อนไหวของตนเองได้ทุกย่างก้าว ที่น่าตกใจคือแม้กระทั่งพลังต้นกำเนิดก็ดูจะเข้มข้นกว่าเสียด้วยซ้ำ !

ซูเฉินก็ประหลาดใจเช่นกัน !

เขาเชี่ยวชาญวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ ทำให้พลังต้นกำเนิดของเขาหนาแน่นกว่าคนปกติถึง 7 เท่า แต่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มเองก็เอ่อล้นไปด้วยพลังต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน ซึ่งเขาสามารถปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดที่ทรงพลังติดต่อกันได้หลายครั้ง ทั้งโล่ทมิฬ ศรทมิฬ อสรพิษทมิฬ ฝ่ามือสมถะ หมัดแสงสุราลัย ดัชนี้แยกภูผา และอีกมากมาย

ทั้งสองต่างก็ระเบิดพลังต้นกำเนิดใส่กันราวกับว่าพวกเขาเป็นปืนใหญ่นับกองทัพ แต่ละฝ่ายต่างก็ถูกห่อหุ้มด้วยพลังต้นกำเนิด

มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ !

เมื่อผ่านไปสักพักทั้งสองก็มีความคิดตรงกัน

ซูเฉินรู้สึกเช่นนี้ก็เพราะเขายังคงยืนอยู่ในอาณาเขตของตระกูลหรง และยิ่งเขารอนานเท่าไรกำลังเสริมก็จะยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเท่านั้น

ส่วนฝ่ายหรงซิวนั้นก็คิดว่าหากศึกนี้ยืดเยื้อเกินไปเขาจะเสียหน้าได้

ทั้งคู่ตัดสินใจแล้วว่าจะจบมันลงที่นี่เดี๋ยวนี้

วินาทีต่อมา ความมืดมิดก็เริ่มก่อตัวขึ้นบนมือของหรงซิวเป็นบางอย่างที่ดูคล้ายหลุมดำ ในขณะเดียวกัน ประกายไฟก็พลันปรากฏขึ้นบนมือของซูเฉินเกิดเป็นร่างหงส์เพลิงและทะยานขึ้นไปบนฟ้า

ทมิฬจองจำ !

วิชาจิตหงส์เพลิง !

ทั้งสองปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดออกมาใส่คู่ต่อสู้โดยไม่ลดละ

ความมืดและเปลวไฟประสานกันเกิดเป็นกองเพลิงสีดำทะมึน เป็นภาพที่ดูแปลกตายิ่งนัก

ขณะที่ไฟสีดำนั้นกำลังจะรวมเข้ากับร่างของหงส์เพลิง เปลวไฟของมันก็เริ่มกลืนกินพลังมืดนั้นเข้าไป ยิ่งมีพลังถูกสูบเข้าไปในร่างกายของมันมากเท่าไร มันก็จะยิ่งส่องสว่างมากขึ้นเท่านั้น !!

“แย่แล้ว !” ทั้งสองแผดเสียงออกมาพร้อมกันขณะที่ยังคงปล่อยหมัดออกไป แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ใส่กันและกันแต่โจมตีไปทางหงส์เพลิงบนท้องฟ้าแทน

หงส์เพลิงสีนิลบินสูงขึ้นไปในอากาศเบื้องบน ในตอนนี้พลังของมันนั้นถึงขีดจำกัดและระเบิดออก ทิ้งลูกไฟสีดำกระจายไปทุกหนแห่ง

“หลบไป ! อย่าให้พวกมันโดนตัว !” หนงซิวและซูเฉินตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

สะเก็ดไฟเหล่านี้เหมือนกับฝนก้อนหินที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า เมื่อพวกมันตกลงลนบ้านเรือนเบื้องล่างก็เผาทำลายจนหมดสิ้นด้วยฤทธิ์เพลิง แม้แต่สิ่งของโลหะก็ยังเหลือไว้เพียงเศษซาก

ส่วนผู้โชคร้ายบางส่วนที่ไม่สามารถหลบหลีกไฟสีดำได้ทันก็จะเริ่มมอดไหม้เช่นเดียวกันกับหรงจือ

ที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นคือไฟสีดำมืดเหล่านี้ไม่สามารถดับได้จนกว่าพวกมันจะเผาเป้าหมายจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

เวลาผ่านไปไม่นานนัก คนจำนวนมากต่างก็ต้องเสียชีวิตให้กับลูกไฟสีดำพวกนี้

และนี่เป็นแค่ลูกไฟเท่านั้น แม้กระทั่งหรงซิวเองยังต้องสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงสภาพของตัวเองหากได้สัมผัสเข้ากับมันโดยตรง

แต่แม้ว่าไฟดำมืดนั้นจะทรงพลังมาก แต่มันก็ไม่มีเชื้อเพลิงมากไปกว่าสิ่งของทั่วไป เมื่อเชื้อเพลิงหมดพวกมันก็จะสลายลง พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการก่อมหันตภัยแล้ว แต่พื้นที่โดยรอบนั้นแทบจะถล่มลงกับพื้นทั้งหมด

หรงซิวเหมือนกำลังคิดบางอย่างเมื่อเขาเห็นดังนั้น

ซูเฉินรู้ตัวว่าเขาได้ปล่อยโอกาสในการใช้เพลิงเงาเพื่อปลิดชีพคู่ต่อสู้ในคราวเดียวให้หลุดมือไปแล้ว

แต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา การสูญเสียนั้นได้ให้สิ่งสำคัญบางอย่างมาแทน และยังตอบคำถามที่คาใจชายหนุ่มมานานแสนนาน ขณะที่จ้องมองไปยังกลุ่มไฟสีดำที่กระจายไปทุกทิศทาง ตาของซูเฉินก็พลันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

เพลิงสีดำเหล่านี้ทรงพลังยิ่งกว่าวิชาเพลิงเงาของเขาเสียอีก !

หรงซิวมองมายังซูเฉินอย่างตื่นตระหนก “เจ้าเป็นใครกันแน่”

ก่อนที่ซูเฉินจะได้ตอบคำถาม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“เขาคือผู้ชายของข้า !”