ภาคที่ 5 บทที่ 27.1 ไล่ตาม (ต้น)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 27.1 ไล่ตาม (ต้น)

เสียงนั้นดังกึกก้องและทะลุทะลวงไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้ทุกคนโดยรอบต่างก็ได้ยิน

และเมื่อพวกเขาหันไป ก็ได้พบกับจูเซียนเหยาที่กำลังสาวเท้าตรงเข้ามา นางสวมใส่ชุดยาวสีแดงเพลิง ดูราวดอกบัวสีแดงที่กำลังเบ่งบานขณะที่ก้าวเดิน ในมือของหญิงสาวถือแส้เส้นเล็กและมีคนอีกสองคนเดินขนาบข้าง หนึ่งในนั้นเป็นคนเผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารที่ถูกกำราบไปแล้วเมื่อครั้งพวกเขาอยู่ที่เมืองภูผาเมิน ส่วนอีกคนก็อยู่ในด่านสู่พิสดารเช่นกัน แต่ซูเฉินไม่ได้สนใจมากนัก ด้วยไม่ว่าจะมองอย่างไร คนคนนั้นก็คงถูกจูเซียนเหยาควบคุมอยู่เป็นแน่

หรือในอีกคำพูดหนึ่ง จูเซียนเหยามีชีวิตที่ค่อนข้างดีทีเดียวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้การควบคุมเป้าหมายตลอดไปจะแลกมาด้วยการฟื้นฟูนาน 3 ปี แต่ตอนนี้จูเซียนเหยาได้เข้าควบคุมมาแล้วถึง 2 คน และพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของนางยังเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ คือตระกูลจูได้มอบทรัพยากรมหาศาลมาทดแทนส่วนที่นางได้ใช้ไป

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก จูเซียนเหยาคือบุคคลที่สามารถเพิ่มกำลังของทั้งตระกูลได้ ดังนั้นก็คงจะแปลกเสียยิ่งกว่าหากนางไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี

แม้ว่าจูเซียนเหยาจะยังไม่สามารถทะลวงไปถึงด่านสู่พิสดาร ทว่านางก็สามารถที่จะควบคุมผู้รับใช้ด่านสู่พิสดารได้ถึง 2 คน ทำให้ความแข็งแกร่งของนางเทียบเท่ากับด่านสู่พิสดารเลยก็ว่าได้

การปรากฏตัวของนางสร้างความโกลาหลขึ้นมากทีเดียว

คุณหนูใหญ่ของตระกูลจูนั้นเป็นที่ฝันใฝ่ถึงทุกวันคืนของคนนับไม่ถ้วน

และในวินาทีนี้ นางกำลังพูดว่านางมีชายอยู่ในหัวใจแล้ว !

นี่เป็นข่าวใหญ่ทีเดียวเชียว !

ในสถานการณ์ปกติแล้ว อาจมีคนบางกลุ่มปกป้องคุณหนูของพวกเขาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ซูเฉินพึ่งจะแสดงถึงความแข็งแกร่งของเขาออกไป ถ้าแม้แต่หรงซิวยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แล้วคนอื่น ๆ จะยังมีความหวังอีกหรือ ?

ซูเฉินมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีใครกล้าสบตาตนเลยแม้แต่คนเดียว

ซูเฉินขำคิกคัก “เหมือนว่าปัญหาจะถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ?”

ขณะที่พูด เขาก็หันหลังกลับและเริ่มเดินไปยังจูเซียนเหยา

มือทั้งสองของหรงซิวสั่นไหวเบา ๆ ขณะมองภาพซูเฉินที่ค่อย ๆ ไกลออกไป

เขาต้องการจะโจมตีออกไปแต่ก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะสามารถกำจัดทั้งซูเฉินและจูเซียนเหยาได้พร้อมกัน ดังนั้นจึงได้แต่มองพวกเขาข้ามเส้นแบ่งเขตแดนออกจากอาณาเขตของตระกูลหรงไปยังอาณาเขตของตระกูลจู

ซูเฉินเผยยิ้มบางขณะยืนอยู่ตรงหน้าจูเซียนเหยา

จูเซียนเหยาขบริมฝีปากอวบอิ่มของนางเบา ๆ “งั้นเจ้าก็ยังไม่ลืมที่จะกลับมาหาข้าสินะ เจ้าคนบ้าไร้หัวใจ”

ซูเฉินหัวเราะและไม่พูดอะไร เขาพุ่งเข้าไปโอบกอดจูเซียนเหยาไว้และก้มลงเพื่อจูบนางทันที

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กันเมื่อเห็นภาพนี้

เทพธิดาผู้สูงศักดิ์ถูกจุมพิต !

แม้ว่าพวกเขาพึ่งจะได้ยินจูเซียนเหยากล่าวว่าซูเฉินคือชายของนาง แต่การได้พบเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเองกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง สายตาริษยาพุ่งตรงมายังซูเฉินและจูเซียนเหยาราวกับลูกดอกที่ถูกขว้างมาอย่างรุนแรงจากทุกทิศทาง

โชคไม่ดีนักที่ลูกดอกเหล่านั้นไม่สามารถทำร้ายใครได้ ซูเฉินยังคงจูบจูเซียนเหยาด้วยความหลงใหล

จูบครานี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าอะไร และกินเวลานานเหลือเกินก่อนทั้งคู่จะแยกร่างกายออกจากกัน

จูเซียนเหยากลับมายืนอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ แววตาของนางเต็มไปด้วยเมามายในเสน่หาขณะที่มองไปยังซูเฉินและกล่าวขึ้นอบ่างนุ่มนวล “เจ้าพอหรือยัง ?”

“ยัง แต่สิ่งที่จะเกิดต่อไปมันไม่ควรจะเกิดขึ้นที่นี่” ซูเฉินหัวเราะ

เขาอุ้มจูเซียนเหยาไว้ในอ้อมแขนและเริ่มออกเดิน ส่วนจูเซียนเหยาไม่ได้พยายามขัดขืนเสียด้วยซ้ำ นางพาดแขนไว้รอบลำคอของซูเฉินและซบลงที่อกของเขา

ผู้คนจากตระกูลหรงทำได้เพียงเฝ้ามองซูเฉินเดินจากไปเท่านั้น

ก่อนที่พวกเขาจะลับสายตาไป เสียงหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง “หนุ่มน้อย ให้ข้ารู้จักชื่อของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่ ?”

ซูเฉินหันกลับมาและพบกับชายแก่คนหนึ่งที่ปรากฏกายขึ้นในเขตแดนของตระกูลหรง

ซูเฉินไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายโผล่มาตอนไหน

เขาชำเลืองมอง “ข้าชื่อซูเฉิน”

“ซูเฉินหรือ ?” ชายชราพูดชื่อไม่คุ้นปากอีกครั้งและหัวเราะ “ข้าจะจำชื่อของเจ้าไว้ วันนี้เจ้าโชคดีและข้าก็มาสายไปหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ จำชื่อข้าไว้ ข้ามีชื่อว่า…”

ซูเฉินแทรกเขา “ข้าไม่สนใจชื่อของเจ้า ข้าจะรู้ชื่อของคนที่ตายแล้วไปทำไมกัน ?”

เขากล่าวดังนั้นและเดินจากไป

ชายชราไม่เคยพบเห็นคนที่หยาบคายและหยิ่งยโสกับเขาถึงเพียงนี้ ทว่าก็ทำได้เพียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเท่านั้น

จูเซียนเหยาตกหลุมรักซูเฉินหัวปักหัวปำ นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ชื่อของเขาคือหรงหรัวไฮ่ เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลหรงและพี่ชายของหัวหน้าตระกูลหรงหรัวซาน”

ซูเฉินบ่นอุบอิบ “ด่านผลาญจิตวิญญาณงั้นหรือ ?”

“อื้ม”

“เขาก็คือคนที่ตายแล้วอยู่ดี” ซูเฉินตอบ

“เจ้าคิดว่าจะจัดการกับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรได้งั้นหรือ ?”

“ข้าอาจไม่สามารถปราบเขาได้ แต่ข้าจะฆ่าเขา” ซูเฉินตอบอย่างไม่แยแส

คำพูดของเขานั้นเรียบง่าย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า

จูเซียนเหยายังคงพักพิงอกของซูเฉินอย่างสำราญและพึงพอใจ

นางเชื่อมั่นในซูเฉินโดยไร้เงื่อนไข

ในเมื่อซูเฉินบอกว่าจะฆ่า เขาก็จะฆ่า

ที่นี่ไม่ได้ไกลจากตระกูลจู แต่ถนนที่พาไปนั้นดูมีวิตชีวาและคึกคักทีเดียว

สิ่งที่คล้ายคลึงกันระหว่างพื้นที่ของตระกูลจูและตระกูลหรงคือซูเฉินนั้นถูกจ้องมองโดยทุกคนรอบตัว

ผู้คนนับไม่ถ้วนส่งสายตามายังคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยและข่าวนั้นก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว สมาชิกของทั้งตระกูลจูต่างก็รู้เรื่องนี้ก่อนที่ซูเฉินจะไปถึงโถงหลักเสียอีก

ด้วยการปรากฏตัวของจูเซียนเหยา ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องค้นหาทางที่ถูกต้องผ่านตรอกซอกซอยมากมาย หลังจากใช้เวลาไม่นาน ซูเฉินก็มาถึงเบื้องหน้าประตูหลักของตระกูลจู

ณ บริเวณนั้น กลุ่มคนจำนวนมากได้มารออยู่ด้านนอกตามขนมธรรมเนียมดั้งเดิม ด้านหน้าสุดเป็นหญิงสาวสวยวัยกลางคน ดูจากภายนอกแล้วจะเห็นได้ชัดว่านางคือแม่ของจูเซียนเหยา จูอวิ๋นเยี่ยน ที่แม้ว่านางจะค่อนข้างมีอายุแต่นางก็ยังคงงดงาม อย่างไรแล้วสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ก็พึ่งพาการยั่วยวนฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นแล้วหญิงสาวของตระกูลจูล้วนสง่างามทั้งสิ้น ทำให้ปัญหาส่วนมากจึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทั้งสิ้น