บทที่ 27.2 ไล่ตาม (ปลาย)
เมื่อจูเซียนเหยาพบซูเฉิน นางก็ส่งยิ้มก่อนที่มุมปากจะลดลงเล็กน้อย “เสี่ยวเหยา ลงมา ! กอดและโอบรัดในที่สาธารณะเช่นนี้งั้นหรือ ? ต่อไปจะทำอะไรอีกกัน !”
จูเซียนเหยาปล่อยซูเฉินอย่างอิดออดและไปยืนทางด้านข้างแทน
จูอวิ๋นเยี่ยนพูดกับซูเฉิน “พวกเราพยายามตามหาเจ้าหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าเต็มใจจะมาเป็นแขกของตระกูลจูเสียอย่างนั้นหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากมาหรอก เพียงแต่ก่อนหน้านี้เวลามันไม่เอื้ออำนวยเท่านั้น”
“คุณชายซูคงจะหมายถึงตอนที่ตระกูลจูมีงานล้นมือใช่ไหม หรือหมายถึงตอนที่คุณชายจีบพี่สาวของข้ากัน ?” เสียงอ่อนเบาพูดขึ้น
คนที่พูดคือหญิงสาวอายุน้อยที่ยืนอยู่ข้างจูอวิ๋นเยี่ยน นางใส่ชุดสีเขียวดูสะโอดสะองและตัวเล็กน่ารัก มีไฝเล็ก ๆ สีแดงอยู่ที่มุมดวงตาของนาง มันโดดเด่นและทำให้นางดูแตกต่างไปจากจูเซียนเหยาอย่างชัดเจน
เมื่อหญิงสาวตัวเล็กนั้นเห็นซูเฉินเข้าก็ถอนสายบัวอย่างปีติยินดี “จูเซียนหลิงทักทายคุณชายซู….. หรือจะเรียกว่าพี่เขยดีล่ะ ?”
“จูเซียนหลิง……” ซูเฉินพึมพำพร้อมกับดวงตาที่ส่องประกาย “เจ้าเด็กกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย”
จูเซียนหลิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าซูเฉินกำลังล้อเลียนนางเกี่ยวกับอุบายโน้มน้าวและความคิดซับซ้อนของนาง
ใบหน้าเรียวเล็กของนางบูดบึ้งทันที
แล้วซูเฉินก็ถามจูอวิ๋นเยี่ยน “แล้วท่านเล่า ? อยากจะทราบด้วยหรือไม่ว่าเรื่องเวลาที่ข้าพูดหมายถึงอะไร”
เมื่อนางได้ยินซูเฉินพูดเช่นนั้น คิ้วทั้งสองของจูอวิ๋นเยี่ยนพลันกระดกขึ้นทันที “ตราบใดที่คุณชายซูต้องการมา จะเวลาใดก็ถือว่าดีทั้งนั้น”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ซูเฉินและจูอวิ๋นเยี่ยนต่างก็เดินเคียงข้างกันเข้าไปยังโถงหลัก
สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลจูต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นดังนั้น
หากซูเฉินคิดจะมารับจูเซียนเหยาไปเป็นภรรยา เขาก็จะถือเป็นเขยของที่นี่ ทว่าการที่ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิบัติกับจูอวิ๋นเยี่ยนเหมือนแม่นั้นสามารถระบุได้อย่างแจ่มแจ้งว่าเขาไม่ได้วางแผนที่จะวางตัวเป็นลูกเขยแต่อย่างใด
ที่จริงแล้วเขาดูจะต้องการให้ตัวเองเท่าเทียมกับจูอวิ๋นเยี่ยนต่างหาก
ยังดีที่จูอวิ๋นเยี่ยนสามารถควบคุมความอารมณ์ของตนไว้ได้ดีทีเดียว ทว่าผู้อาวุโสตระกูลจูที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ไม่สบอารมณ์และบางคนที่ขี้หงุดหงิดถึงขั้นทำน้ำเสียงรำคาญมาจากหลายทิศทาง
ขณะที่กำลังเข้าไปในห้องโถง กลุ่มคนเหล่านั้นพากันนั่งลง จูอวิ๋นเยี่ยนนั่งลงบนบัลลังก์ซึ่งอยู่สูงกว่า ส่วนซูเฉินนั่งลงทางขวามือของนาง และมีผู้อาวุโสอีกคนนั่งลงทางด้านซ้าย ชื่อของเขาคือจูอวิ๋นเฟิง เป็นพี่ชายของจูอวิ๋นเยี่ยน ด้านล่างซ้ายนั้นเป็นจูอวิ๋นฟ่าน จูอวิ๋นอวี้ และจูอวิ๋นเยว่ ทั้ง 5 คนคือเสาหลักของตระกูลจูรวมถึงจูอวิ๋นเยี่ยนด้วย …ส่วนเบื้องล่างพวกเขาคือบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลาย
จูเซียนเหยา จูเซียนหลิง และคนอื่น ๆ ในรุ่นที่สามของตระกูลจูนั่งอยู่ข้างซูเฉิน
…ดูเหมือนว่าผู้ที่คอยควบคุมตระกูลจูโดยแท้จริงจะไม่คิดมาปรากฏตัวที่นี่
หากจะว่าง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาไม่ได้เห็นความสนใจในตัวซูเฉินมากนัก
นี่คือโลกที่ความแข็งแกร่งคือที่สุด แม้ว่าซูเฉินมักทำให้ความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นจริงได้เสมอมา แต่สิ่งที่กำหนดคุณค่าของเขาก็ยังคงเป็นระดับพลังและความแข็งแกร่งของเขา
หลังจากการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว จูอวิ๋นเยี่ยนก็กล่าวขึ้น “คุณชายซูได้ทำการจัดการกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายให้ตระกูลจูในเวลาอันสั้น ข้าต้องขอบคุณคุณชายในส่วนนี้”
ซูเฉินกล่าว “ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ข้ามาจากภูผาสูญและเพียงแค่ผ่านทางเท่านั้น แต่เมื่อข้านึกได้ว่าเซียนเหยาอยู่ที่นี่ ข้าจึงตัดสินใจมาหานางสักหน่อย ข้าไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกับความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลเข้าเสียได้”
ชายหนุ่มตั้งใจพูดว่าเขามาจากภูผาสูญ ซึ่งทำให้ดูไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากตนเองจะผ่านมาพอดี และทั้งนี้ก็เพื่อทำให้จูอวิ๋นเยี่ยนเข้าใจเจตนาของเขา
นางถามขึ้น “ภูผาสูญ…… คุณชายได้ไปพบท่านกู่ชิงลั่วมางั้นหรือ ?”
“พบสิ” ซูเฉินพยักหน้า
จูอวิ๋นเยี่ยนเองก็พยักหน้าเช่นกัน “มิน่าล่ะ พลังของสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลจะต้องมากกว่าสายเลือดอสูรกายอยู่แล้ว”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับสายเลือดหรอก ความรู้สึกของข้าต้องมาก่อน” ซูเฉินแก้คำพูดให้นาง
ในที่สุดจูอวิ๋นเยี่ยนก็เข้าใจว่าซูเฉินอยากจะสื่ออะไร
นางบ่นกับตัวเอง “ความรู้สึกต้องมาก่อน…… งั้นความรู้สึกก็มาก่อนสินะ ฮึ ข้าเข้าใจแล้ว”
จูอวิ๋นเยี่ยนพยักหน้าและไม่พูดสิ่งใดอีก กลับกัน นางเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่นแทน
ทั้งสองฝ่ายต่อบทสนทนากันอย่างเป็นมิตรและเป็นกันเอง
สักพักหลังจากนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องล่างคนหนึ่งได้กระซิบบางอย่างข้างหูจูอวิ๋นเยี่ยน ก่อนนางจะพูดขึ้นว่า “ข้าต้องขออภัย มีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ คุณชายซูคงเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว ไปพักเสียหน่อยเถอะ เสี่ยวเหยา เจ้าช่วยข้าดูแลแขกผู้มีเกียรติของเราจะได้หรือไม่ ?”
“ได้เลยท่านแม่ !” จูเซียนเหยาตอบด้วยความเคารพ แล้วจึงพาตัวซูเฉินออกไป
จูอวิ๋นเยี่ยนพูดอย่างใจเย็นขณะที่มองซูเฉินเดินออกไป “พวกเจ้าทุกคนก็ดูออกใช่หรือไม่ ?”
จูอวิ๋นเฟิงส่งเสียงต่ำมาจากอีกฟาก “จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ซูเฉินคนนี้ต้องการจะได้เสี่ยวเหยาเป็นนางสนม !”
ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าอมทุกข์
ตระกูลจิ้งจอกร้อยเล่ห์นั้นให้คุณค่ากับผู้หญิงเป็นอย่างมาก พวกนางจะแต่งผู้ชายเข้าตระกูลเพียงอย่างเดียวแต่จะไม่แต่งงานออกไปมีครอบครัวเด็ดขาด
แล้วตระกูลที่ไม่แม้แต่จะให้ลูกสาวของตนออกไปแต่งงานจะยอมให้ลูกสาวคนโตสุดไปเป็นนางสนมได้อย่างไรกัน ?
สำหรับตระกูลจูแล้ว นี่ไม่เพียงเป็นการแหกกฎแต่ยังเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่หลวงอีกด้วย หากผู้คนพูดกันปากต่อปากว่าพวกเขามอบลูกสาวคนโตสุดให้ไปเป็นนางสนมของใครบางคน แล้วนางจะมาดูแลตระกูลในอนาคตได้อย่างไร ?
หากซูเฉินพูดเรื่องนี้ขึ้นมาขณะที่พวกเขายังอยู่ที่เมืองภูผาเมิน ตระกูลจูอาจจะเห็นด้วยก็ได้ อย่างไรแล้วซูเฉินก็ได้สร้างยาหนึ่งขึ้นที่สามารถเพิ่มพละกำลังในสายเลือดของพวกเขาได้ชั่วครู่ แต่ตอนนี้ยานี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์แล้วและมันก็เป็นคนละช่วงเวลากัน ความคิดของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน จูอวิ๋นเยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว นางมองเห็นบางอย่างและเชื่อมั่นในความสามารถของซูเฉิน ในอนาคตเขาจะต้องบรรลุในสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
และเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้นางต้องการที่จะปกป้องซูเฉินและเปลี่ยนให้เขามาอยู่ในฐานะคนของตระกูลจู
ดังนั้นแล้วไม่ว่าทุกคนจะชอบเขาหรือไม่ พวกเขายังคงต้องการให้ซูเฉินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจู ไม่ใช่หมั้นแล้วพาจูเซียนเหยาออกไป