บทที่ 28.1 ความคิดที่เปี่ยมด้วยเสน่หา (ต้น)
หลังออกมาจากโถงหลัก ซูเฉินเดินกับจูเซียนเหยาโดยมีกังเหยียนเดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด
จูเซียนเหยาพิงไหล่ของซูเฉินไว้ หัวใจของนางอิ่มเอมไปด้วยความหวานหยดย้อย
ต่างกับจูอวิ๋นเยี่ยน จูเซียนเหยาไม่มีปัญหาอะไรกับความต้องการของซูเฉินทั้งสิ้น สำหรับนางแล้วการได้แต่งงานกับซูเฉินนั้นสำคัญที่สุด
จูอวิ๋นเยี่ยนจำเป็นต้องรักษาหน้าตาของตระกูลไว้ ในขณะที่จูเซียนเหยาต้องการเพียงความรักเท่านั้น
ระหว่างที่ชนชั้นสูงต่อสู้เพื่อรักษาหน้าของตระกูลไว้ คนธรรมดาทั่วไปก็จะถูกแบ่งแยกออกไปตามหาอาหารและที่อยู่อาศัยเพื่อเอาชีวิตรอด สถานการณ์ของจูเซียนเหยาก็เป็นประมาณนี้เช่นกัน
ตั้งแต่ที่นางได้สารภาพความรู้สึกไปที่เมืองภูผาเมิน จูเซียนเหยาก็รู้ตัว นางจึงตั้งมั่นว่าจะต้องเป็นภรรยาของซูเฉินให้จงได้ ก่อนที่นางจะทำสำเร็จ นางก็จะไม่สนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น
“เหตุที่ข้ามาก็เพื่อมาหาเจ้า และดูว่าข้าจะพาเจ้ากลับไปที่นิกายไร้ขอบเขตกับข้าได้หรือไม่” ซูเฉินพูดอธิบายว่าเขามีนิกายเป็นของตัวเองได้อย่างไร
ในโลกใบนี้ นิกายนั้นไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แต่พวกมันมักจะไม่มีชื่อเสียงนักและไม่ได้สำคัญมาก ทว่าถึงแม้นิกายไร้ขอบเขตจะยังไม่ได้มีอิทธิพลมาก แต่อาณาเขตของเขาหมื่นดาบก็ยังคงเป็นที่น่าจับตาดูไม่น้อย
“งั้นเจ้าก็อยู่ที่บริเวณชายแดนของอาณาจักรเหลียวเย่ ! แต่เจ้ากลับไม่คิดจะบอกข้าหรือเรียกข้าไปเลย” จูเซียนเหยากล่าวตัดพ้อกับซูเฉินด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าตอนนั้นข้าบอก… แล้วเจ้าจะมาได้จริงงั้นหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ “ดูสถานการณ์วันนี้สิ พวกเขาแทบจะบังคับให้ข้าอยู่ที่ตระกูลจูด้วยซ้ำไป”
จูเซียนเหยาเบะปาก “ก็เพราะพวกเขามองว่าเจ้าสำคัญไง”
“ถ้านางเห็นว่าข้าสำคัญ นางคงไม่ให้จูเซียนหลิงนั่นรอดไปจากการพยายามลอบฆ่าเจ้าหรอก ดูจากความแข็งแรงและสดใสของน้องสาวเจ้าแล้ว ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าแม่เจ้ารักเจ้าขนาดไหนกัน” ซูเฉินพูดอย่างใจเย็น
จูเซียนหลิงได้ส่งคนมาลอบฆ่าจูเซียนเหยาในระหว่างที่นางอยู่ที่ปราสาทไหลน่าตะวันตก หากไม่ใช่เพราะซูเฉินเข้ามาช่วยเหลือนางขณะที่ปลอมกายเป็นโหยวเทียนหย่างแล้ว จูเซียนเหยาคงจะไม่ได้มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ นั่นคือสิ่งที่ซูเฉินพูดถึง
จูเซียนเหยาถอนหายใจ “น้องสาวของข้าทำทุกอย่างอย่างระมัดระวัง ไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถชี้ชั้นได้เลยว่านางเป็นคนส่งนักฆ่าเหล่านั้นมาเพื่อกำจัดข้า”
“แล้วกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เจ้าต้องใช้หลักฐานไหมล่ะ ?” ซูเฉินขำคิกคัก
จูเซียนเหยาได้นำความลับบางอย่างกลับมาซึ่งสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของสายเลือดตระกูลจูได้ ทำให้ตำแหน่งของนางสูงขึ้นตามไปด้วย นี่คือเหตุผลที่นางได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินประหลาดใจที่จูเซียนหลิงยังคงสบายดีอยู่ มันไม่ใช่ที่ว่า ‘พบหลักฐานในการลงโทษจูเซียนหลิงที่ส่งนักฆ่าเหล่านั้นมา’ แต่เป็น ‘อำนาจของจูเซียนเหยาได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและนางได้กลับมาเพื่อแก้แค้น’
เรื่องหลักฐานการลอบสังหารนั้นเป็นเพียงการแสดงความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตรวจสอบความถูกต้อง
เมื่อจูเซียนเหยาได้ยินดังนั้น นางก็พลันถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่ว่าเจ้าจะว่ายังไง จูเซียนหลิงก็ยังเป็นลูกสาวของแม่ข้าเหมือนกัน แม้ข้าจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปราสาทไหลน่าตะวันตก ท่านแม่ของข้าก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี ทว่าอย่างน้อย จูเซียนหลิงก็โดนลดทอนอำนาจและถูกตัดเส้นสายภายนอกตระกูลเป็นการลงโทษ”
“ถูกลงโทษด้วยการลดทอนอำนาจงั้นหรือ ? แต่นางก็ดูจะเป็นกันเองตอนอยู่กับแม่ของเจ้านะ”
จูเซียนเหยาตอบ “ถ้าเส้นสายของเจ้าจากภายนอกถูกตัดขาด เจ้าจะทำยังไง”
ซูเฉินเข้าใจได้ในทันที “ข้าจะควบคุมสถานการณ์ภายในได้หนาแน่นเลยละ”
ยิ่งคนคนหนึ่งต้องดูแลอะไรน้อยลง พวกเขาก็จะยิ่งมีพลังเหลือไว้สำรอง ผู้คนที่มีความทะเยอทะยานจะไม่ทิ้งพลังงานสำรองนี้ให้เสียเปล่า พวกเขาจะกุมมันไว้ให้แน่นและใช้มันไปกับอย่างอื่นแทน
ดังนั้นแล้ว หลังจากที่จูเซียนเหยาได้เปรียบ จูเซียนหลิงก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด กลับกัน นางพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อจะแสดง ‘ความเคารพ’ ต่อแม่ของนางและรวบรวมคนจากตระกูลอื่นมา ผลก็คือการกระทำของนางนั้นมีความถ่อมตัวและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
ในขณะที่จูเซียนเหยาออกไปบุกยึดอาณาเขต จูเซียนหลิงก็กำลังก่อปัญหาอยู่ภายใน ทำให้แม้จูเซียนเหยาจะมีชื่อเสียงและอำนาจ แต่จูเซียนหลิงก็ไม่ต้องหวาดกลัวว่าสายสัมพันธ์ของนางกับตระกูลอื่นจะกำลังร่อยหรอลง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและผู้อื่น
ยิ่งจูเซียนเหยาจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีเท่าไร ก็ยิ่งมีคนที่ไม่พอใจนางมากขึ้นเท่านั้น !
นี่คือสิ่งที่นางไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น จูเซียนเหยายังไม่สามารถทำอะไรน้องสาวของนางได้เลยแม้แต่น้อย
“งั้น……” จูเซียนเหยายักไหล่อย่างหมดหนทาง เพราะนางไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย
ซูเฉินหัวเราะและไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ เขาเปลี่ยนเรื่อง “แล้วระหว่างเจ้ากับตระกูลหรงเป็นอย่างไรบ้าง ดูเหมือนกำลังจะเกิดศึกใหญ่ขึ้น ?”
จูเซียนเหยาดูจะชะงักไปกับคำถามนี้
นางมองไปยังที่ห่างไกลราวกับว่ากำลังตามหาบางสิ่ง
หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็พูดอย่างหมดหวัง “ข้าเองก็ไม่รู้”
“ไม่รู้งั้นหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจ
ซูเฉินไม่ได้คาดหวังคำตอบเช่นนี้เลย
จูเซียนเหยาพูด “ตระกูลจูสู้กับตระกูลหรงมาหลายปีแล้ว และมันก็ได้ฝังรากของปัญหาลงไปลึกทีเดียว บางครั้งเราก็สู้กันโดยไม่มีเหตุผล มีเพียงข้อแตกต่างเดียวคือความขัดแย้งนั้นจะใหญ่โตขนาดไหน ครานี้ตระกูลหรงเป็นฝ่ายเริ่มยุยงปลุกปั่นพวกเราอย่างเกรี้ยวกกราดโดยไร้ซึ่งที่มา พวกเขาลดจำนวนร้านค้าของตระกูลจูและบางคนยังขโมยพวกมันไปด้วยซ้ำ ไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกเขาเริ่มโจมตีเหมืองของพวกเรา ตระกูลจูทนไม่ไหวอีกแล้วและตอบโต้ในที่สุด……”
“ตระกูลจูต้องอดทนกับมันงั้นหรือ ?” ซูเฉินขบขัน ชายหนุ่มไม่เชื่อจูเซียนเหยาเลยสักนิด เขาไม่ได้ซื่อถึงขั้นที่จะคิดว่าคนข้าง ๆ ตนนั้นเป็นคนดีอย่างแน่นอน
แค่ผิดคาด จูเซียนเหยาตอบกลับ “ตระกูลจูกำลังอดทนจริง ๆ ในครั้งนี้”
มันคือความจริง ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการสันติ แต่เป็นเพราะสายเลือดของพวกเขา
แม้ว่าจูเซียนเหยาจะนำยาที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของสายเลือดตระกูลจูกลับมาได้ ก็ยังต้องใช้เวลาในการจะดึงประสิทธิภาพของมันออกมา
ตระกูลจูจึงไม่ต้องการจะเริ่มศึกการต่อสู้ขึ้นในตอนนี้
แต่แค่เพราะพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่จำเป็นต้องทำ ตราบใดที่อีกฝ่ายต้องการจะปะทะ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
นี่คือเหตุผลที่สถานการณ์ได้ดำเนินมาถึงจุดที่ซูเฉินเดินทางมาถึงพอดิบพอดี