ตอนที่ 2839 รูปสลักสัตว์อสูรโบราณที่น่ากลัว

เมืองสภาสิบแปดปีก คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง :

เสวี่ยเหวินโหรว ชาโด้วซอร์ด เทอเทิ้ลโดฟ เย่หวูเมี่ยน Alluring Summer โคล่า ฟลายอิ้งชาโด้ว สตับบอร์นโบน หยานเทียนซิง อี้ลั่วเฟย และพวกระดับสูงคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง

โคล่านั้นอดไม่ได้ที่จะหันไปถามไฟเออร์แดนซ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ผู้บัญชาการ มันมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ ? ทำไมหัวหน้ากิลถึงเรียกพวกเราทั้งหมดมาที่นี่ ….”

เมื่อโคล่าพูดจบ คนอื่นๆก็ได้หันไปมองไฟเออร์แดนซ์อย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน

เพื่อที่จะเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ พวกเขาทุกคนนั้นล้วนฝึกฝนเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ของตัวเองกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานากันอย่างบ้าคลั่ง

ขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมของเมืองสภาสิบแปดปีกในตอนนี้นั้นมันก็เอื้อต่อการฝึกของพวกเขามากๆ และมันทำให้เสวี่ยเหวินโหรวได้กลายเป็นปรมาจารย์วงเวทย์ และเริ่มสร้างโดเมนของตัวเองขึ้นมาได้แล้วด้วย ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้ทุกคนอิจฉามากๆ

“ความลับ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ยังคงเดินนำทางคนทั้งหมดไปหาซือเฟิง “แต่ฉันสามารถบอกได้เลยว่าการมาในครั้งนี้มันเป็นผลดีสำหรับพวกคุณทุกคนแน่นอน และบางทีมันอาจเพิ่มโอกาสในการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้ด้วย”

เธอนั้นเข้าใจถึงอารมณ์ของทุกคนที่ต้องการจะรีบปรับปรุงตัวเองให้เร็วที่สุดในเมืองสภาสิบแปดปีก เพราะท้ายที่สุดแล้วสภาพแวดล้อมภายในเมืองนั้นมันมีประโยชน์แม้แต่กับผู้เล่นขั้นสี่อย่างตัวเธอมาก ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสามเลย

แถมในสถานการณ์ปัจจุบันของ God domain นั้น ผู้เล่นขั้นสามก็แทบจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักแล้ว มันมีเพียงแค่การต้องเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขากลับมาสามารถทำอะไรได้มากขึ้น ดังนั้นเธอจึงเข้าใจดีถึงอารมณ์ของทุกคนที่ต้องการจะฝึกฝนเพื่อเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ให้ไวที่สุด
“ผู้บัญชาการ นี่ผู้บัญชาการไม่ได้โกหกเราใช่ไหม ? นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมของเมืองสภาสิบแปดปีก มันยังจะมีวิธีอื่นที่ช่วยทำให้อัตราความสำเร็จในการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ของพวกเราเพิ่มขึ้นอีกงั้นหรอ ? …” สตับบอร์นโบนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดของไฟเออร์แดนซ์

แม้ว่าเขาจะมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝึกในเรื่องนี้แบบเมืองสภาสิบแปดปีก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกอย่างชัดเจนว่าการที่เขาจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ได้นั้นมันยังคงยากมากๆด้วยเทคนิคของเขา และแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนัก เขาก็ยังไม่แน่ใจนักด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้

หากทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ล้มเหลวหนึ่งครั้ง มันจะต้องรออีกเป็นเวลานานมากกว่าจะสามารถเริ่มท้าทายได้อีกครั้งหนึ่ง และแม้ว่าเขาจะสามารถค้นหาดินแดนมรดกขั้นสี่ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่โดยเฉลี่ยแล้ว เขาก็น่าจะสามารถทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้แค่เดือนละหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น ซึ่งหากเขาล้มเหลวบ่อยๆ และต้องติดอยู่ที่ขั้นสามนาน เขาก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะต้องตามหลังผู้เล่นที่กลายเป็นขั้นสี่แล้วมากแค่ไหน

“นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้ากิลได้พูดไว้ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวพลางพยักหน้า “ไม่งั้นเขาก็คงจะปล่อยให้พวกคุณฝึกอย่างบ้าคลั่งต่อไป และไม่เรียกมารวมกันที่นี่แล้ว …”

เมื่อไฟเออร์แดนซ์กล่าวจบ เธอก็ได้นำทุกคนมาถึงที่บริเวณประตูหินขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยวงเวทย์แล้ว โดยที่หน้าประตูหินนี้มันมีองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสามที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบสี่คนเฝ้าอยู่ …..

หลังจากได้เห็นไฟเออร์แดนซ์ NPC ขั้นสี่ทั้งหมดก็ค่อยๆเปิดประตูหินขนาดใหญ่นี้ให้เธอ กับคนอื่นๆเข้าไป

เมื่อประตูหินถูกเปิดออก ทุกคนก็ได้เห็นห้องลับที่มีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลอยู่ภายใน ซึ่งห้องนี้มันก็ได้ถูกปิดผนึกไว้ด้วยวงเวทย์ต่างๆมากมาย ซึ่งเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว แม้ว่าผู้เล่นขั้นสี่จะทำอะไรอึกทึกครึกโครมกัน แต่โลกภายนอกก็จะไม่สามารถตรวจจับพวกเขาได้แน่นอน

โดยภายในห้องลับนี้ ซือเฟิงซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำอยู่ได้ยืนรอมาเป็นเวลานานแล้ว

ซือเฟิงมองไปที่ฝูงชน และพูดอย่างสบายๆว่า “พวกคุณทุกคนเข้ามาเลย เข้ามาตรงนี้ …”

เมื่อซือเฟิงพูดจบ ไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆก็รีบก้าวเข้าสู่ห้องลับ และเดินเข้าไปหาซือเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อเห็นว่าทุกคนได้เข้ามาในห้องลับเรียบร้อย ประตูหินขนาดใหญ่ก็ถูกปิดลง ในขณะที่เหล่าองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสามทั้งสี่คนนั้นก็ล้วนยืนเฝ้าหน้าประตูด้านหน้าอยู่ด้วยท่าทีจริงจังมากๆ ….

หลังจากที่ไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆเข้ามาในห้องลับ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงอย่างแปลกๆ

เพราะภายในห้องลับนี้ พวกเขาไม่ได้รู้สึกพิเศษใดๆเลย และพูดกันตามตรงสภาพแวดล้อมของมันแย่กว่าตามท้องถนนของเมืองสภาสิบแปดปีกด้วยซ้ำ

ซือเฟิงมองไปที่ท่าทีของฝูงชน และถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณคงแปลกใจสินะว่าทำไมพวกคุณถึงถูกเรียกมาที่นี่”

“ผู้บัญชาการบอกว่า หัวหน้ากิลมีวิธีที่จะเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้พวกเรา มันจริงงั้นหรอ ?” สตับบอร์นโบนกล่าวถามอย่างสงสัย

หากพูดกันตามตรง มันต้องบอกเลยว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้ เพราะท้ายที่สุดตอนนี้มาตราฐานการต่อสู้ของเขาอยู่ในขอบเขตรวดเร็วดั่งสายน้ำ ขณะที่เรื่องวงเวทย์นั้นเขาก็อยู่แค่ในระดับนักเวทย์ขั้นสูงเท่านั้น ดังนั้นมันจึงจะเป็นเรื่องยากมากๆเลยสำหรับเขาที่จะเรียนรู้สกิลมรดกขั้นสี่ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นตามที่ดินแดนมรดกขั้นสี่กำหนด

“จริง แต่พวกคุณจะปรับปรุงและได้รับไปมากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกคุณเอง ….” ซือเฟิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังรูปสลักสัตว์อสูรโบราณที่วางอยู่ตรงกลางห้องลับด้านหลังเขา และพูดว่า “เจ้านี่คือกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ของพวกคุณ !!!”

“รูปสลัก ?”

เมื่อมองไปตามที่ซือเฟิงชี้ ทุกคนในปัจจุบันไม่เว้นแม้แต่ไฟเออร์แดนซ์นั้นอดไม่ได้ที่จะงุนงง

รูปสลักที่พวกเขาเห็นนั้นมันดูสวยงามและละเอียดอ่อนมากๆ แต่ไม่ว่าจะดูยังมันก็ไม่น่าจะใช่กุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ของพวกเขาแบบที่ซือเฟิงพูดเลย

“พวกคุณให้ลองเข้าไปใกล้ๆและสัมผัสมันด้วยจิตใจกับร่างกาย อย่าสัมผัสมันด้วยตา” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

รูปสลักสัตว์อสูรโบราณนี้มันให้เอฟเฟคที่น่าทึ่ง หากแต่ว่าผู้เล่นนั้นจะต้องก้าวเข้าไปใกล้ๆมัน เพราะมันสามารถจะแสดงเอฟเฟคที่แท้จริงของมันให้ผู้เล่นได้สัมผัสแค่ในรัศมีสิบหลารอบมันเท่านั้น ….

ซึ่งด้วยเรื่องนี้เอง แม้แต่ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง เหล่าผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ได้รับมันมาก็จะล้วนขายมันทิ้งในราคาถูกๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถจะสัมผัสถึงคุณค่าที่แท้จริงของมันได้ ….

หลังจากได้ฟังคำพูดของซือเฟิง สตับบอร์นโบนและคนอื่นๆก็ขยับเข้าไปใกล้รูปสลักสัตว์อสูรโบราณ

และเมื่อพวกเขาขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆจนรู้สึกได้ถึงเอฟเฟคที่แท้จริงของรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ ใบหน้าของแต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที

“ตอนนี้ฉันสามารถจะสัมผัสองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาได้มากกว่าโลกภายนอกซะอีก !!!”

“เป็นไปได้ยังไงกัน ?! สภาพแวดล้อมในรัศมีใกล้ๆรูปแกะสลักนี้มันดีกว่าในโลกภายนอกของเมืองสภาสิบแปดปีกราวห้าสิบเปอเซ็นต์เลย !!!”

ในฐานะผู้เล่นขั้นสี่ ไฟเออร์แดนซ์นั้นสามารถที่จะรู้สึกถึงผลประโยชน์ที่รูปแกะสลักสัตว์อสูรโบราณนี้มอบให้อย่างชัดเจนที่สุด

หากเป็นในโลกภายนอกของเมืองสภาสิบแปดปีก เธอจะสามารถสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์และมานาได้ราวยี่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้อยู่ต่อหน้ารูปปั้นนี้ เธอกับสามารถสัมผัสได้เพิ่มขึ้นอีกสามสิบเปอเซ็นต์เลยทีเดียว
โดยหากเรื่องราวเกี่ยวกับรูปสลักสัตว์อสูรโบราณนี้แพร่ออกไป ไฟเออร์แดนซ์ก็คิดว่ามันน่าจะทำให้มหาอำนาจต่างๆบ้าคลั่งแน่นอน

ซึ่งในเวลานี้นั้นไฟเออร์แดนซ์ก็เข้าใจทุกสิ่งทั้งหมดแล้วว่าทำไมซือเฟิงถึงระวังมากๆ และทำไมเขาถึงอนุญาติให้แค่แกนหลักระดับอาวุโสของกิลขึ้นไปเท่านั้นที่เข้ามาที่นี่ได้

หลังจากนั้นทั่วทั้งห้องก็เงียบลง หากแต่ว่าสายตาของทุกคนก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ซึ่งซือเฟิงนั้นก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก

หลังจากรับคะแนนอำนาจในโลก God domain มา เขาก็สามารถจะสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาทั้งหมดได้ที่ราวสี่สิบเปอเซ็นต์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับเอฟเฟคอันน่าทึ่งของรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ

และในตอนที่เขาสามารถเข้าถึงตัวเลขห้าสิบเปอเซ็นต์ได้ ตอนที่ใช้ร่างของเจ้าชายปีศาจนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอมตะเลย

แม้ว่ารูปสลักนี้จะไม่ได้มอบผลให้เท่ากับที่ซือเฟิงได้รับตอนใช้ร่างเจ้าชายปีศาจ แต่มันก็อยู่ใกล้เคียงกันเลย

ซึ่งเมื่อได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้นั้น เขาก็แทบจะทนรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เรียนรู้และสัมผัสถึงมันไปพร้อมกับโคล่า และคนอื่นๆ

สำหรับไฟเออร์แดนซ์ หลังจากที่เธอได้จมอยู่ในความรู้สึกแบบนี้พักหนึ่ง มานาก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเธอ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาได้

เมื่อซือเฟิงเห็นดังนี้ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบหยิบคริสตัลชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา และส่งให้กับไฟเออร์แดนซ์ “อย่าพึ่งรีบทะลุขีดจำกัดของร่างมานา หลังจากเรียนรู้มรดกนี้แล้ว มันก็ยังไม่สายที่จะพยายามทะลุขีดจำกัด”

เมื่อไฟเออร์แดนซ์ได้รับคริสตัลนี้มาจากซือเฟิง และได้ทำการตรวจสอบมันเธอก็ตกใจ เธอไม่ได้คิดเลยว่าซือเฟิงจะมีของล้ำค่าที่บันทึกวิธีการสร้างร่างเวทย์มนต์แบบนี้อยู่ ซึ่งสำหรับพวกขั้นสี่นั้นนี่มันจัดเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน

“หัวหน้ากิล นี่มันเป็นมรดกของจั๊กเกอร์น็อต หากนำมาให้ฉันใช้ มันจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไปนะ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวปฎิเสธ

เธอไม่ใช่คนโง่ และเธอก็รู้ดีมากๆหลังจากที่เธอได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ว่าเธอต้องเร่งรีบพัฒนา และสร้างร่างเวทย์มนต์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งมันเป็นพื้นฐานในการจะก้าวไปสู่ขั้นห้า

ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินการปฎิเสธของไฟเออร์แดนซ์ “ไม่ต้องกังวลนี่มันเป็นมรดกที่สมบูรณ์ที่สามารถใช้ได้เก้าครั้ง และตอนนี้คุณก็เป็นกำลังสำคัญของสภาสิบแปดปีก หากคุณพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ มันก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อกิลมากๆเช่นกัน”

คริสตัลมรดกของจั๊กเกอร์น็อต ขั้นห้าที่แองเจลิก้า เทเรซ่ามอบมาให้ซือเฟิงนั้นมันเป็นมรดกที่สมบูรณ์ และมันสามารถใช้ได้เก้าครั้ง ….

แม้ว่ามรดกของจั๊กเกอร์น็อตนี้จะไม่เหมาะกับไฟเออร์แดนซ์ ซึ่งเป็นสายอาชีพแอสซาซินมากนัก แต่การเรียนรู้มันก็ยังคงจะช่วยเธอได้มากในหลายๆเรื่องอยู่ดี

ถ้าไฟเออร์แดนซ์สามารถทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองไปได้มากกว่าหนึ่งร้อยห้าเปอเซ็นต์ สิ่งนี้มันก็จะช่วยสภาสิบแปดปีกในปัจจุบันได้อย่างมาก

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซือเฟิง และได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ไฟเออร์แดนซ์ก็ได้เลือกจะใช้มัน ….

เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มากในหมู่พวกขั้นสี่ที่สามารถจะทะลุขีดจำกัดร่างมานาหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ กับพวกที่ยังติดอยู่ที่หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์

ซึ่งหากเธอสามารถจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ด้วยความเข้าใจที่มากกว่าหลายๆคน เธอก็น่าจะสามารถต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดเก่าแก่ขั้นสี่ของกิลอื่นๆได้อย่างง่ายดายในอนาคต

หลังจากที่ไฟเออร์แดนซ์ได้ตัดสินใจจะใช้คริสตัลมรดกนี้ ลำแสงจากคริสตัลก็ได้พุ่งเข้าใส่สมองและดวงตาของเธอเพื่อป้อนข้อมูลมากมายทั้งหมดเข้าไปจนเสร็จสิ้นภายในหนึ่งลมหายใจ