[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 35 ข้ามีนามว่าตี๋เหรินเจี๋ย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เดิมทีชีวิตก็เรียบง่ายอยู่แล้ว จากความตื่นเต้นกลายมาเป็นความเรียบง่าย อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องปรับตัว ชีวิตในตอนนี้คือชีวิตที่เขาชอบที่สุด งาของตระกูลอวิ๋นโตเต็มที่แล้ว จากสภาพอากาศของฉางอัน ภายในเดือนมีนาคมก็ปลูกได้แล้ว ต่างจากดินแดนเหอเป่ยที่ต้องรอให้ถึงเดือนเมษายนถึงจะปลูกได้ สำหรับเรื่องเกษตรกรรมอวิ๋นเยี่ยก็พอจะรู้อยู่บ้าง 

 

 

วันนี้ได้ยินมาว่าตระกูลของตัวเองปลูกงา อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะทำน้ำมันงาสักหน่อย ผืนดินยังเป็นสีเขียว บางครั้งก็ผสมผสานกับเมล็ดงาที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เป้าหมายของวันนี้ก็คือพวกมัน 

 

 

เคียวของต้าถังใช้งานไม่ดีเลยสักนิด อวิ๋นเยี่ยจึงต้องใช้กรรไกรขนาดใหญ่ตัดก้านงาที่โตเต็มที่แล้วไปๆ มาๆ ระหว่างไร่กับสันเขา หมวกที่อยู่บนหัวก็เอามาจากซ่านอิง เจ้านี่จะกลับฉางอันแค่เดือนละหนึ่งครั้ง ถึงตัวเต็มไปด้วยโคลนก็จะยังเข้าไปในบ้าน แม้จะรู้ว่าต้ายาคิดอะไรกับเขาอยู่แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้วางแผนที่จะไปทำร้ายความรักของทั้งคู่ ต้ายาที่ขี้ขลาดตาขาวเช่นนั้นบางทีการแต่งงานกับซ่านอิงอาจจะทำให้นางไม่ถูกรังแก 

 

 

วันที่สามเดือนตุลาคม รุ่นเนียงก็จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ในที่สุดตอนนี้นางก็รู้จักเขินอายบ้างแล้ว ซ่อนตัวปักผ้าอยู่ในห้อง แล้วยังขอให้อี้เหนียงมาช่วยสอน อี้เหนียงพาลูกกลับไปบ้านอย่างมีความสุข และแน่นอนว่าสามีของนางก็กลับมาด้วยอย่างไร้ยางอาย ตามมาดูแลภรรยาและลูก ลูกน้อยยังไม่ได้ตั้งชื่อ เอาแต่เรียกเขาว่าเสี่ยวกุย เสี่ยวกุย จนเขารู้จักที่จะหันหน้ามาแล้ว ตั้งแต่มาถึงบ้านของตระกูลอวิ๋น พี่ใหญ่เผยก็ถอดเครื่องแบบขุนนางออก สวมเสื้อคลุมสีฟ้าของตัวเอง หนีบหนังสือเล่มหนึ่งไว้ใต้แขนแล้วก็ไปเป็นลูกศิษย์ที่สำนักศึกษา 

 

 

เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาพึ่งจะได้รับตำแหน่งขุนนางชั้นแปด ทำงานอยู่ในกรมคลังอย่างสุขสบาย บัญชีเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับยอดฝีมือลูกคิดอย่างเขา แล้วพ่อของเขาก็ยังช่วยเขาได้ เขายังเป็นคนที่มีไหวพริบดีและมีน้ำใจ บางครั้งก็ไปเลี้ยงข้าวทุกคนที่ร้านที่ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเฉิงเปิดด้วยกัน กินอาหารต้นตำรับของจวนตระกูลอวิ๋น ลิ้มรสชาใหม่ๆ ผ่านไปไม่นาน เขาก็มีชื่อเสียงว่าเป็นชายหนุ่มผู้ชาญฉลาด 

 

 

เมื่อพี่ใหญ่เผยไม่อยู่ อวิ๋นเยี่ยเคยถามอี้เหนียงว่านางสบายดีหรือไม่ หากมีอะไรไม่พอใจให้พูดออกมา ข้าจะไปตัดขาคนของตระกูลเผยที่ฉางอันเอง ในเรื่องนี้ นับว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุผลพอๆ กับคนบ้าทีเดียว โชคดีที่ท่าทางของอี้เหนียงบอกเขาว่านางมีความสุขดี บางทีอาจจะเป็นช่วงให้นมลูก นางอ้วนขึ้นไม่น้อย อี้เหนียงที่อ้วนกลมช่างมีลักษณะของความเป็นแม่ 

 

 

วั่งไฉยืนอยู่บนสันเขา มีตะกร้าสองใบห้อยอยู่บนหลัง บางทีอาจจะเป็นเพราะกลิ่นของงาที่ดึงดูดมัน มันเลือกที่จะกินเปลือกงาไปด้วย เมื่อมันแลบลิ้นออกมาทีหนึ่ง เมล็ดงาจำนวนมากก็หายไปหมด 

 

 

ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ขาดแคลนแรงงาน แต่มีบางเรื่องที่ตัวเองทำสำเร็จเองมันจะสนุกกว่า เขาใส่รองเท้า สวมหมวก และสวมเสื้อคลุมผ้าลินินเนื้อหยาบ ท่าทางดูเหมือนเด็กบ้านนอก ตอนที่อวิ๋นเยี่ยออกไป ซินเยี่ยกับน่ารื่อมู่ก็อุ้มลูกด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก 

 

 

ผู้เฒ่าเหยียนบอกว่าอย่าสร้างปัญหาไม่ใช่หรือ เราก็ต้องแอบทำอย่างเงียบๆ แต่งตัวเป็นชาวบ้านคงจะไม่มีใครมาหาเรื่อง ใช้กรรไกรตัดงาออกมาช่างง่ายดาย ผ่านไปไม่นาน ตะกร้าไม้ไผ่สองใบก็เต็มแล้ว เลือกต้นที่สูงใหญ่ที่สุดและมีเปลือกงามากที่สุดออกมาจากพื้นดิน ตัดออกมาแล้วถือไว้ในมือ ถูงาไปด้วยพร้อมกับเป่าแกลบออกไปด้วย ลองกินเข้าไปในปากแล้วพบว่ารสชาติดีมาก ทำให้ผ่านไปไม่นานที่ปากของเขาก็มีวงกลมสีดำขนาดใหญ่ 

 

 

ตัวเองกินก่อนแล้วค่อยป้อนวั่งไฉกิน จากนั้นก็เดินไปบนถนนลูกรังเล็กๆ อย่างสนุกสนาน  

 

 

บนถนนใหญ่มีผู้คนไปๆ มาๆ รถลากอิฐแล่นไปไม่มีที่สิ้นสุด ป้ายร้านอิฐตระกูลหลิวแขวนอยู่บนเกวียนวัวช่างสะดุดตา หลิวซันตั้งแต่มีหน้ามีตาออกมาจากพระราชวัง หลังจากนั้นร้านอิฐของเขาก็กลายเป็นร้านอิฐที่ใหญ่ที่สุดของฉางอัน ได้ยินมาว่าตอนนี้กำลังยื่นมือออกไปทำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เขาอยากจะลองทำดู 

 

 

นี่คือเรื่องที่ได้ยินมาจากเหอเซ่าตอนที่พูดคุยกัน อ๋องอ้วนก็คือคนที่เอาสัญญายัดเข้าไปในปากและกลืนลงไป ตอนนี้เขากลายเป็นพ่อค้าขายอิฐรายใหญ่อันดับสองของฉางอันไปแล้ว สำหรับพ่อค้าขายอิฐที่เหลือ ได้ยินมาว่าหายไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครใช้อิฐของพวกเขา บนโลกใบนี้คนที่สามารถซื้ออิฐมาสร้างบ้านได้ ล้วนแต่เป็นคนที่อยากจะยึดความร่ำรวยของราชวงศ์ ต่อให้ราคาแพงก็ไม่สนใจ บ้านหลังนี้จะต้องตกทอดไปให้กับลูกๆ หลานๆ จึงไม่อนุญาตให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย  

 

 

เห็นอะไรที่ลับๆ ล่อๆ อวิ๋นเยี่ยก็แค่ยิ้มให้ หากที่นี่ไม่มีเงาของเหอเซ่าก็คงเป็นเรื่องแปลก กิจการของตระกูลของหลิวและตระกูลหวังจะต้องมีส่วนของเขาอย่างแน่นอน ดูจากเงินที่เขาเอามาให้ตระกูลอวิ๋นทุกปีก็รู้แล้วว่าเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการมากกว่าหนึ่งอย่าง 

 

 

คราวนี้สำนักศึกษาสร้างตึกต่อไป อิฐที่ใช้ก็เอามาจากสองตระกูลนี้ เพียงแต่ทุกคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้อิฐสร้างกำแพง ใช้ดินเหลืองและฟางเอาไม่ได้หรือ 

 

 

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวั่งไฉ ตอนนี้มันสูงขึ้นอีกแล้ว กลายเป็นม้ารบตัวสูงจริงๆ แล้ว ขนสีน้ำตาลแวววาว ขนตรงแผงคอที่ยาวๆ ถูกสาวใช้มัดเล่นจนกลายเป็นซาลาเปา ใครเห็นก็บอกว่าสวยงาม แต่ตอนนี้มันมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปทางแนวนอนแล้ว และเพื่อให้ไม่ให้กระบวนการลดน้ำหนักที่ยากลำบากของวั่งไฉเสียเปล่า อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องเพิ่มภารกิจประจำวันให้กับมัน ขอแค่มีเรื่องสักหน่อยที่ต้องใช้งานมัน เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสนั้นไป 

 

 

ผู้คนบนท้องถนนต่างพากันยกย่องวั่งไฉ ด่าว่าอวิ๋นเยี่ย ม้าล้ำค่าดีๆ ต้องกลายเป็นม้าใช้งาน ม้าล้ำค่าที่แบกงาสองตะกร้าไว้บนหลัง ม้าล้ำค่าก็ควรจะเอาไปขี่บนท้องถนน เด็กยากจนควรจะแบกงาเอง 

 

 

หลายคนคิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนโง่ ต่างพากันเข้ามาทักทายเขา อยากจะมาเอาเปรียบเขา แต่เมื่อเห็นปากสีดำที่พึ่งกินงาเข้าไปของอวิ๋นเยี่ย พวกเขาก็ยิ่งแน่ใจว่านี่คือคนโง่ 

 

 

“ไอ้หนุ่ม ข้าขาดม้าลากเกวียนตัวหนึ่ง เจ้าเอาม้ามาขายให้ข้า ข้าให้เงินเจ้าห้าเหรียญ ให้พ่อแม่ของเจ้าจัดหาภรรยาให้เจ้าแต่ง” ชายที่ใส่ผ้ารัดเอวเดินเข้ามาเยาะเย้ยอวิ๋นเยี่ย 

 

 

“แต่งภรรยาไม่เลวเลยทีเดียว ข้าอยากจะแต่งภรรยามานานแล้ว หมาน้อยยังมีภรรยาแล้ว ข้าก็อยากมีบ้าง เจ้าบอกว่าห้าเหรียญใช่หรือไม่ ไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยเลิกคิ้วและพูดเสียงดัง 

 

 

“ข้าก็ว่ามันน้อยเกินไป ม้าตัวนี้คือม้าล้ำค่า จะให้เจ้าขายห้าเหรียญได้เช่นไร เจ้าฉลาดไม่เบา เช่นนั้น ข้าให้เจ้าหกเหรียญ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ไม่น้อยเลยนะ วัวตัวหนึ่งก็ตั้งเจ็ดเหรียญ ความแข็งแกร่งของม้าไม่แข็งแรงเท่าวัว ให้เจ้าหกเหรียญเพราะเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร คนที่จะแต่งภรรยา ไม่มีเงินไม่ได้นะ” ชายไว้เคราตาสีฟ้าที่สวมหมวกทรงกลมเดินเข้ามากระซิบบอกอวิ๋นเยี่ยเบาๆ 

 

 

“พวกเจ้าโกหกข้า ให้น้อยเกินไป” อวิ๋นเยี่ยมองดูผู้คนที่ต้องการมาเอาเปรียบเขาด้วยความโมโห 

 

 

“แปดเหรียญ ข้าให้แปดเหรียญ หากเจ้ายังกล้าขึ้นราคาข้าจะตัดขาเจ้าให้ขาด” ชายคนนั้นเริ่มทนไม่ไหว เสนอราคาแล้วยังถือโอกาสข่มขู่อวิ๋นเยี่ย คิดว่าเช่นนี้คงมีประสิทธิภาพมากขึ้นหน่อย 

 

 

“ไม่ได้ น้อยไป…” อวิ๋นเยี่ยหักนิ้วนับอยู่ตั้งนานก่อนจะตะโกนออกมาว่า “ไม่ถึงสี่เหรียญไม่ขาย!” 

 

 

บรรยากาศเงียบลงทันที ชายคนนั้นกระตุกไปพักหนึ่ง กัดฟันแล้วพูดว่า “ได้ เช่นนั้นก็สี่เหรียญ ใครกล้ามาแย่งข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดเสร็จ เขาก็ควักเงินสี่เหรียญออกมาโยนให้อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยรับเงินมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ใช้ฟันกัดเข้าไปทีหนึ่ง ช่างมีความสุข ยั่วให้ชาวหูถอนหายใจ การค้าขายที่ดีเช่นนี้ ชายคนนั้นเผลอเอาป้ายชื่อหน่วยปราบปรามการทะเลาะวิวาทออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตัวเองก็ทำได้แค่ยอมแพ้ 

 

 

ชายคนนั้นมีความสุข กำลังจะเข้าไปกอดคอของวั่งไฉ สิ่งที่วั่งไฉเกลียดที่สุดก็คือการถูกคนพวกนี้แตะต้อง ครั้งก่อนมันถูกคนพวกนี้เฆี่ยนไปตั้งหลายครั้ง มันแค้นอยู่ในใจมานานแล้ว ตอนนี้อนุญาตให้แค่คนขี่ม้า สาวใช้และพวกเด็กๆ แตะต้องตัวเอง คนอื่นมาแตะต้องจะกัดให้หมด 

 

 

มันกัดเข้าไปที่มือของชายคนนั้นอย่างแรง มันถือโอกาสตอนที่เขาตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด เตะชายคนนั้นลงไปในคูน้ำข้างทาง จากนั้นก็กรีดร้องอย่างภาคภูมิใจ บอกให้อวิ๋นเยี่ยป้อนเมล็ดงาให้มันกินไม่หยุด เดิมทีแบ่งกันคนละคำ แต่เมื่อครู่มันเห็นอวิ๋นเยี่ยกินไปแล้วตั้งหลายคำ ตอนนี้ถึงตามันบ้างแล้ว 

 

 

ชายคนนั้นคลานออกมาจากคูน้ำ ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและพูดว่า “ม้าดี ม้าดีจริงๆ วันนี้ข้าบอกเลยว่า ข้าจะไม่บ่นสักคำ” 

 

 

วั่งไฉพึ่งจะกินงาไปคำหนึ่ง กำลังจะกินคำที่สอง ชายน่ารำคาญคนนั้นคลานออกมาร้องโหยหวนอีกแล้ว มันลุกขึ้นพร้อมกับกรีดร้อง กำลังจะเตะไปที่ชายคนนั้น ทำเอาชายคนนั้นตกใจจนมุดลงไปอีกครั้ง 

 

 

อวิ๋นเยี่ยยิ้มและก้าวไปข้างหน้าต่อ วั่งไฉรีบเดินตามไปติดๆ ชายคนนั้นตะโกนร้องอยู่ข้างหลัง แต่กลับกลัวความดุร้ายของวั่งไฉ ไม่กล้าตามเข้าไปใกล้ ทำได้เพียงเดินตามอยู่ห่างๆ เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉกำลังจะเดินออกไปไกล เขาก็กัดฟันพูดว่า “ชายคนไหนจูงม้าตัวนั้นมานี่ได้ ข้าให้เงินรางวัลหนึ่งเหรียญ” ทันใดนั้นก็มีคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเดินเข้ามา กำลังจะจูงม้าไป แต่แน่นอนว่าวั่งไฉไม่ยอม มันทั้งกัดทั้งเตะ ทำเอาทุกคนกลัวที่จะก้าวเข้ามาใกล้ พวกเขาทำได้เพียงเดินวนไปรอบๆ ทันใดนั้นบนถนนก็วุ่นวายจนเละกลายเป็นโจ๊ก อวิ๋นเยี่ยนั่งยองๆ ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างถนน ภารกิจวันนี้ของวั่งไฉไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ มาเล่นเป็นเพื่อนคนพวกนี้สักหน่อยก็ไม่เลว 

 

 

รถม้าที่มีทหารองครักษ์สี่คนขับผ่านมา เห็นเหตุการณ์วุ่นวายก็ขมวดคิ้ว องครักษ์ตะโกนออกมา เหตุการณ์ที่วุ่นวายก็สงบลงทันที วั่งไฉถือโอกาสวิ่งกลับไปหาอวิ๋นเยี่ย พักผ่อนสักครู่ เมื่อครู่เตะไปตั้งหลายคน มันรู้สึกเหนื่อยทีเดียว 

 

 

หัวกลมๆ เล็กๆ โผล่ออกมาจากรถม้า สวมมงกุฏสีทองเล็กๆ อยู่บนหัว ด้านบนยังมีดอกไม้สีแดงหนึ่งดอก ใบหน้าบอบบาง มากสุดอายุไม่เกินห้าขวบ แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับราวกับคนที่มีอายุเยอะ “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เสียงดังเช่นนี้” 

 

 

จิตใจที่ไร้เดียงสาของอวิ๋นเยี่ยก็แข็งแกร่งขึ้นมา เขาตัดสินใจที่จะหยอกล้อเด็กน้อยที่น่ารักคนนี้ เขาพูดอย่างน่าสงสารว่า “”พวกเขาจะมาแย่งม้าของข้า” 

 

 

“เหลวไหล ม้าตัวนี้เป็นของข้า นายน้อยท่านนี้ พวกข้าเปิดถนนให้ท่านแล้ว ท่านรีบไปเถิด” เด็กน้อยกระโดดลงจากรถทันที กระโดดสองสามก้าวเข้าไปข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย องครักษ์ของเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ความรุนแรงของวั่งไฉที่เมื่อครู่พวกเขาได้เห็นกับตานั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อมือของเด็กน้อยแตะไปที่ต้นขาของวั่งไฉ วั่งไฉไม่เพียงแต่ไม่เตะเขา แต่มันกลับก้มหน้าลงมาให้เด็กน้อยคนนี้เกาหัว 

 

 

เด็กน้อยเกาหัวของวั่งไฉสองสามครั้ง มองดูอวิ๋นเยี่ยที่กำลังตกตะลึง จากนั้นก็มองดูพวกคนจับม้าที่น่าสมเพชพวกนั้น พูดกับองครักษ์อย่างหนักแน่นว่า “ลุงพาน คนพวกนี้รังแกคนอ่อนแอกลางวันแสกๆ เราจะไม่สนใจไม่ได้ ม้าตัวนี้เป็นของชาวนาคนนี้ ไม่ใช่ของคนพวกนั้น” 

 

 

“ม้าตัวนี้ข้าซื้อมาด้วยเงินสี่เหรียญ มันเป็นของข้า” ได้ยินเสียงของชายคนนั้น องครักษ์ที่เดิมทียังลังเลอยู่เล็กน้อยก็ตะโกนออกมา “ม้าล้ำค่าเช่นนี้ ไม่มีหนึ่งร้อยสองร้อยเหรียญไม่ต้องมาถาม เจ้าซื้อมาด้วยเงินสี่เหรียญ ไม่ใช่หัวขโมยก็ต้องเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน” พูดเสร็จเขาก็หยิบแส้ออกมาไล่ตีพวกคนที่มาจับม้า 

 

 

ชายคนนั้นตะโกนร้องและวิ่งหนีออกไป หลักการที่ว่าลูกผู้ชายไม่ยอมเสียเปรียบเขาก็พอจะเข้าใจ จากนั้นเด็กน้อยคนนั้นก็กระโดดไปหาอวิ๋นเยี่ย เขายิ้มและพูดว่า “ข้ามีนามว่าตี๋เหรินเจี๋ย ข้ากำลังจะไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา หากมีใครรังแกเจ้า ก็บอกชื่อของข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”