อวิ๋นเยี่ยมองดูเด็กน้อยที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความประหลาดใจ นี่คือตี๋เหรินเจี๋ยที่ว่ากันว่าตัดสินคดีราวกับเทพเจ้าหรือ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปจะต้องมีอีกกี่คนที่ถูกใส่ร้ายจนตาย
ผลผลิตของวันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว เหรียญเงินสี่อันในอ้อมแขนหนักจนทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ ต่อไปไม่มีอะไรทำต้องพาวั่งไฉออกมาเดินเล่นบ่อยๆ แล้วแหละ แล้วก็อย่าใส่เสื้อผ้าไหมหรือผ้าซาติน ใส่แค่เสื้อผ้าลินินก็พอ คราวหน้าต้องคลุกดินเพิ่มอีกสักหน่อยด้วย ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนโง่มันช่างวิเศษจริงๆ
ม่านรถเปิดออก ฮูหยินที่อายุไม่ถึงสามสิบพูดอะไรบางอย่างกับสาวใช้ สาวใช้คนนั้นก็กระโดดออกจากรถม้าและถามอวิ๋นเยี่ยอย่างมีมารยาท “พี่ใหญ่ท่านนี้ ตรงนี้ห่างจากสำนักศึกษาอวี้ซันไกลแค่ไหน”
นางถามมาดีๆ แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยจะเสียมารยาทได้อย่างไร ถึงแม้ว่าปากวงกลมสีดำของตัวเองจะน่าตลก แต่สาวใช้ก็พยายามไม่หัวเราะออกมา พอจะดูออกว่านางได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“ไม่ไกลนัก อยู่ในภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เจ้าข้ามตลาดและเดินไปตามถนนหินก็ถึงสำนักศึกษาแล้ว ระวังไว้ด้วย เข้าไปในซุ้มประตูแล้วไม่อนุญาตให้ขี่ม้า ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นด่าเอาได้”
วั่งไฉชอบกลิ่นของดอกกุ้ยฮวาเป็นที่สุด และสาวใช้ก็ใส่น้ำมันดอกกุ้ยฮวา ดังนั้นวั่งไฉจึงใช้ลิ้นเลียหน้าสาวใช้ไปสักทีหนึ่งคงไม่เป็นอะไร สาวใช้ของตระกูลอวิ๋นก็มีแค่ไม่กี่คนที่ยังไม่ถูกมันเลีย เลียแล้วก็ไม่เป็นอะไร อย่างมากก็แค่ถูกพวกนางด่าแค่นั้น
สาวใช้ของตระกูลตี๋ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางกรี๊ดและกระโดดกลับเข้าไปในรถม้า ทำเอาองครักษ์ต่างพากันหัวเราะ โดยเฉพาะตี๋เหรินเจี๋ยที่หัวเราะอย่างมีความสุขที่สุด
ในเมื่อบอกแล้วว่าขี่ม้าไม่ได้ เหล่าองครักษ์ก็พากันลงจากหลังม้า จูงม้าข้ามซุ้มประตูไปยังหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ตี๋เหรินเจี๋ยอิจฉาอวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉที่เอาแต่กินเมล็ดงาไม่หยุด แต่เปลือกของเมล็ดงามันแข็งมากจริงๆ มือเล็กๆ ของเขาไม่กล้าถู อวิ๋นเยี่ยหยิบเมล็ดงาออกมาและสอนเขาว่า “เจ้าดูนี่ หยิบมันออกมา ทำให้มันนุ่มก่อน ยอดของมันก็จะแตก เมล็ดงาก็จะหลุดออกมา แล้วค่อยเอาเปลือกมันทิ้ง ถูสีขาวๆ ของเมล็ดงาออกมา เช่นนี้ก็กินได้แล้ว”
ตี๋เหรินเจี๋ยถูออกมาอันหนึ่งอย่างชอบอกชอบใจ ถึงแม้ว่าเมล็ดงาที่หลุดออกไปจะเยอะกว่าในมือ แต่เด็กคนนี้ก็เอาให้แม่ของเขาชิมอย่างตื่นเต้น เช่นนี้จู่ๆ ก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกดีกับเด็กคนนี้
หยิบเปลือกที่ตี๋เหรินเจี๋ยทิ้งขึ้นมา เอาใส่ลงในตะกร้าบนหลังของวั่งไฉ บนถนนหินนั้นสะอาดสะอ้าน หากมีขยะแค่ชิ้นเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน ตี๋เหรินเจี๋ยกระโดดเข้ามา ยังเคี้ยวเมล็ดงาอยู่ในปาก ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะไม่ได้กิน
จำนวนคนที่กินเมล็ดงาดิบเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เหล่าองครักษ์เห็นว่าน่าสนใจ พวกเขาก็หยิบเมล็ดงาจากตะกร้ามาถูกิน ผ่านไปไม่นาน คนที่มีปากสีดำก็ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเยี่ยและวั่งไฉแล้ว มีเพิ่มขึ้นอีกห้าคน จากซุ้มประตูมาถึงตลาดยังต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ในช่วงเวลาสั้นๆ อวิ๋นเยี่ยและตี๋เหรินเจี๋ยก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไปแล้ว
“พี่อวิ๋น หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้ามีคนนามสกุลอวิ๋นเยอะเหรอ เจ้ารู้จักหัวหน้าของพวกเจ้าหรือไม่ อวิ๋นโหวไง ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ฉลาดเท่าข้าหรือไม่ เมื่อครู่ข้าเป็นคนดูออกว่าเขาแย่งม้าของเจ้า”
“เจ้าดูออกได้เช่นไร หากใส่ร้ายเขาไปจะทำอย่างไรล่ะ”
“ข้าไม่มีทางใส่ร้ายคนอื่น พ่อข้าเคยบอกไว้ว่า ทุกอย่างในโลกล้วนแต่มีบริบทที่ถูกต้อง วั่งไฉสนิทกับเจ้าขนาดนี้ แต่กลับรุนแรงกับคนพวกนั้น สัตว์ก็มีความรู้สึกเช่นกัน ใครดีกับมัน ใครร้ายกับมัน มันรู้ดี แค่วั่งไฉไม่ทำร้ายเจ้า สนิทกับเจ้านั่นก็หมายความว่ามันเป็นของเจ้า ไม่มีทางมีความเป็นไปได้อื่น แล้วอีกอย่าง คนพวกนั้นหน้าตาน่ารังเกียจ หากพวกเขาไม่ใช่คนเลวแล้วใครเป็นคนเลว”
“มีเหตุผล ต่อไปเจอเรื่องอะไรก็ให้จัดการแบบนี้ ต่อไปเจ้าจะต้องเป็นยอดฝีมือการตัดสินคดีอย่างแน่นอน”
ตี๋เหรินเจี๋ยได้รับคำชม เขาถูมือและถามว่า “อวิ๋นโหวก็ตัดสินคดีแบบนี้เหรอ ลุงซินบอกว่าลูกเขยของเขาชาญฉลาด ใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบได้ เขายังบอกด้วยว่าข้าค่อนข้างเหมือนเขา จริงหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้ ที่จริงแล้วอวิ๋นเยี่ยเป็นคนโง่ เขามักจะถูกคนอื่นเล่นงานอยู่เสมอ คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านล้วนแต่บอกว่าเขาเป็นจอมล้างผลาญ เจ้าอย่าเลียนแบบเขาเด็ดขาด เหล่าอาจารย์หลี่กัง อาจารย์อวี้ซัน อาจารย์หยวนจางและอาจารย์หลีสือของสำนักศึกษาคือคนฉลาดที่แท้จริง อวิ๋นเยี่ยเป็นแค่คนสารเลวที่ใช้ชีวิตไปวันๆ คนทั้งฉางอันบอกแบบนี้”
“ไม่ใช่” ตี๋เหรินเจี๋ยหน้าแดง กระโดดขึ้นมาตะโกนตอบโต้อวิ๋นเยี่ย “อวิ๋นโหวรู้จักม้า ทำเตาเหล็ก ทำเตาหิน แล้วเขายังรู้จักไป๋อวี้จิง เขาวางแผนทำลายแคว้นหนานจ้าว ออกสำรวจดินแดนรกร้าง โจมตีแคว้นมากมายนับไม่ถ้วน ขนส่งเสบียงอาหารนับล้านตัน จับวาฬยักษ์ แก้ไขปัญหาความอดอยากในดินแดนเหอเป่ย สิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงที่พี่ชวีจั๋วบอกอีกว่าอวิ๋นโหวยังมีความรู้เกี่ยวกับคณิต หลักการ และเรขาคณิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักศึกษา เขารีบออกจากสำนักศึกษาเพราะอะไรก็ไม่รู้ ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง”
คำพูดของเด็กนั้นเรียบง่ายเป็นที่สุด เขามีเหตุผลที่ชอบอวิ๋นเยี่ย ชายหนุ่มอายุน้อยที่มีความสามารถ แน่นอนว่าต้องมีผลกระทบกับเด็กมากกว่าคนที่ต้องทนลำบากมาเกือบทั้งชีวิตกว่าจะมีชื่อเสียง แต่คำชมเชยเหล่านี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยถึงกับรู้สึกเขินอาย แต่หากเด็กคนนี้รู้ว่าผู้ชายปากสีดำที่อยู่ข้างเขาคนนี้คือไอดอลของเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะทำร้ายจิตใจเขาหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้ทำร้ายตี๋เหรินเจี๋ย แต่วั่งไฉก็เริ่มทำร้ายก่อนแล้ว ที่ตลาดมีร้านขายแตง วั่งไฉกินเมล็ดงาไปเยอะก็รู้สึกกระหายน้ำ มันยืนอยู่หน้าแผงขายและคาบแตงเข้าปากเคี้ยว คนขายแตงยิ้มแต่ก็ไม่ห้ามมัน แล้วเขายังช่วยวั่งไฉแกะเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วั่งไฉจะได้ไม่ต้องกัด
ตี๋เหรินเจี๋ยพึ่งจะชมว่าวั่งไฉเป็นม้าที่ดี แต่ตอนนี้กลับแย่งแตงของคนอื่นกิน พ่อของเขาเคยสอนเขาว่าไม่ให้กินของของคนอื่นตามอำเภอใจ ชาวบ้านล้วนแต่น่าสงสาร เก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่ไปขายเพื่อทำเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกตัวเอง วั่งไฉทำแบบนี้ไม่ถูก
แรงอันน้อยนิดของเด็กน้อยผลักวั่งไฉออกไป แต่น่าเสียดายที่วั่งไฉไม่ขยับเลยสักนิด มันคิดว่าตี๋เหรินเจี๋ยกำลังเล่นกับมัน มันคาบแตงออกมายื่นให้ตี๋เหรินเจี๋ยชิ้นหนึ่ง ความหมายของมันคือให้กินด้วยกัน มันเลี้ยงเอง เด็กๆ ในหมู่บ้านล้วนแต่ทำแบบนี้ วั่งไฉคุ้นชินกับวิธีแบบนี้มานานแล้ว
ทัศนคติชีวิตของตี๋เหรินเจี๋ยถูกโค่นล้มอย่างรุนแรง ผู้คนที่ไปๆ มาๆ บนถนนดูเหมือนจะสนใจพฤติกรรมเลวทรามของม้าตัวนี้ คนที่มาซื้อแตงก็ทักทายกับคนขายพร้อมกับพูดคุยกับวั่งไฉ พูดคุยกันว่าแตงหวานหรือไม่หวาน ซื้อไปแล้วจะโดนหลอกหรือไม่
พูดแบบนี้แล้วคนขายก็จะยัดแตงเข้าไปในปากของวั่งไฉอย่างภาคภูมิใจ บอกลูกค้าว่าวั่งไฉยังชอบกิน มันจะแย่ได้เช่นไร กินเท่านี้ก็กินไปแล้วตั้งสองลูก แตงของเขาขึ้นชื่อในเรื่องความหวาน
มองดูวั่งไฉกินแตงจนหมด คนขายก็เช็ดปากให้มัน หยิบเงินจากกระเป๋าใต้คอของวั่งไฉมาเหรียญหนึ่ง ลูบหัววั่งไฉเบาๆ บอกว่าครั้งหน้าอยากกินก็มาอีก เขาจะเก็บเอาไว้ให้
ตี๋เหรินเจี๋ยที่กำลังพิงอยู่ตรงขาม้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาจึงถามอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่อวิ๋น ม้าของเจ้ากินแบบนี้หรือ”
“ใช่แล้ว วั่งไฉมันชอบเลือกกิน ไม่ชอบกินข้าวที่บ้าน ชอบอดข้าวอดน้ำ ช่วยไม่ได้ ที่บ้านเลยให้เงินมันวันละยี่สิบเหรียญ ชอบกินอะไรก็ให้มันไปซื้อเอง”
ตี๋เหรินเจี๋ยเดินตามอวิ๋นเยี่ยไปอย่างมึนงง เขามักจะรู้สึกว่าผู้คนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นช่างเป็นมิตร ทุกคนยิ้มและพยักหน้าให้เขา และยังเคารพเขามาก นี่คือประสบการณ์ชีวิตที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
หลังจากที่วั่งไฉดื่มเหล้าหมักไปแล้วไหหนึ่ง องครักษ์เหล่านั้นก็ต่างพากันตกใจ คนขายเหล้าหมักไม่เพียงแต่เอาไหที่สวยงามออกมาเท่านั้น แต่เขายังเรียกลูกค้าคนอื่นๆ มาบริการวั่งไฉ ลูกค้าเหล่านั้นก็ไม่รําคาญ พากันหัวเราะดูความสนุก นี่ไม่ใช่บรรยากาศปกติ มันมีความประหลาดอยู่ในนั้น เหล่าองครักษ์ตัวเกร็ง จับมีดอยู่ในมือ เหมือนกับว่าได้พบเห็นสิ่งผิดปกติเข้าแล้ว พวกเขาจึงพร้อมที่จะฆ่าฟันทันที
อวิ๋นเยี่ยพูดกับเหล่าองครักษ์ว่า “ไม่ต้องกังวล ในเมื่ออาจารย์ซินเป็นคนแนะนำมาก็ต้องพาพวกเจ้าไปนั่งที่บ้านสักหน่อย ผู้เฒ่าจะได้ไม่บอกว่าตระกูลอวิ๋นไม่มีมารยาท นายหญิงของตระกูลอวิ๋นก็คือคนของตระกูลซิน นางคงจะยินดีต้อนรับการมาของคนบ้านเดียวกันอย่างแน่นอน”
คนของตระกูลตี๋ที่มาเยือนเป็นผู้หญิง อวิ๋นเยี่ยออกหน้าไม่ได้ แต่ผู้เฒ่าเป็นผู้แนะนำก็ละเลยไม่ได้เช่นกัน ไม่แน่พวกเขาอาจจะมีจดหมายฝากมาด้วย มารยาทที่ควรมีจะขาดไม่ได้ เขาเอาเงินในแขนเสื้อโยนออกไปให้กับคนขอทานข้างถนน คราวนี้เขาสวมบทบาทเป็นคนสร้างสำนักศึกษาหมู่บ้านจังเหมี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเงินครึ่งหนึ่งสามารถใช้ที่นั่นได้ แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แขวนป้ายแล้วก็แสดงว่ามันต้องมีเรื่องเช่นนั้น ขอทานกินใช้ไม่ถือว่าเยอะเกินไป
“พี่อวิ๋น เจ้าขายม้าด้วยเงินสี่เหรียญจริงๆ หรือ”
“ใช่แล้ว ข้าขายมันไปสี่เหรียญ แต่ข้าขายขนที่ร่วงมาจากวั่งไฉ พวกเขาทำให้วั่งไฉขนร่วงไปตั้งเยอะ ขาดทุนหมด”
“คนพวกนั้นไม่ได้โกหก แต่เป็นเจ้าที่โกงเงินพวกเขา?” ตี๋เหรินเจี๋ยเหงื่อตกจนแทบจะสติแตก เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าชาวบ้านที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์คนนี้คือคนที่ควรถูกตัดสินมากที่สุดในเรื่องนี้
“บอกว่าข้าโกหกได้อย่างไรกัน ข้าไม่ได้บอกว่าขายม้าซะหน่อย พวกเขาจะเอาเงินให้ข้า ข้าไม่รับมาก็ถือว่าทรยศต่อความหวังดีของเขา ข้าไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน ข้าเป็นคนมีศีลธรรม”
ตี๋เหรินเจี๋ยกำลังจะอ้าปากพูด แม่ของเขาลงมาจากรถม้า ห้ามตี๋เหรินเจี๋ยเอาไว้ นางโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย “ตี๋หันซื่อคำนับอวิ๋นโหว เมื่อครู่ตอนอยู่บนถนนข้ามีตาหามีแววไม่ มองท่านไม่ออก ท่านโปรดให้อภัย”
“ตี๋ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครู่เป็นข้าเองที่เหลวไหล จะโทษพวกเจ้าได้เช่นไร ภรรยาของข้าคิดถึงแดนเสฉวนอยู่เสมอ แต่เรื่องที่บ้านยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด ตอนนี้คนบ้านเดียวกันมาถึงที่นี่ จะไม่ไปเจอกันได้อย่างไร เชิญทางนี้”
หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยพูดจบ เขาก็ทำหน้าผีหลอกใส่ตี๋เหรินเจี๋ยและก็เดินเข้าไป วั่งไฉก็แกว่งหัวเดินตามเข้าไปด้วย เดินไปพักผ่อนที่คอกม้าด้วยตัวเอง
ตี๋เหรินเจี๋ยพยายามอดทนไม่ร้องไห้ออกมา กุมปากแล้วพูดกับแม่ของเขา “แม่ เขาหลอกข้า!”
ตี๋หันซื่อกุมปากยิ้มและพูดกับลูกชายว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอดไม่ใช่หรือ ถูกหลอกบ้างก็ดีเหมือนกัน เจ้ามีอาจารย์เช่นนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ว่าคนมีความสามารถก็มักจะมีความแปลกประหลาด ดูแล้วเขาชอบเจ้าไม่เบา รอให้แม่เจอกับพี่ซินของเจ้าเดี๋ยวก็รู้”