ความมืดมิดปกคลุมท้องฟ้า คนบนเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ พวกเขาจะทำอะไรต่อไป
เหมาชิวอวี่ไม่ลังเล แขนเสื้อกระพือ เขาบินไปหลายลี้ในทันที พุ่งไปยังเส้นทางภูเขา ใบหน้าขาวซีด ราชันย์แห่งหลิงไห่แปลงเป็นลำแสงตามไป พลิกมือขวาคว้าจับฝ่าฉู่[1]ที่ส่องแสงเจิดจ้า
ตามการคำนวณของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงมาตามคำสั่งของใต้เท้าสังฆราชเพื่อปกป้องคุ้มครองเฉินฉางเซิง และนำของวิเศษล้ำค่าของนิกายหลวงมาด้วย!
แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจก้าวเข้าสู่เส้นทางภูเขาได้ ถูกบังคับให้หยุดตรงหน้าประตูของหอความลับสวรรค์
มิใช่เพราะความมืดมิด แต่เพราะสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือภูเขา มีหินดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่
ก้อนหินก่อตัวเป็นตาข่ายหนาแน่นเหนือท้องฟ้า ไอพลังปราณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งปกคลุมทั่วทั้งเขาหานซาน
หินพวกนี้ไม่ใช่หินทั่วไป มันคือหินที่มีต้นกำเนิดเดียวกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ นั่นคือหินสวรรค์!
หินสวรรค์นั้นก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่ยอดฝีมือในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจทำลายค่ายกลหินสวรรค์นี้ได้ในเวลาอันสั้น ต่อให้พวกเขาแข็งแกร่งและยังนำของวิเศษนิกายหลวงมาด้วย ก็ไม่อาจที่จะทำลายและเข้าไปในหานซานได้
แล้วคนที่ที่อยู่ในหานซานเล่า…แล้วเขาเล่า
……
……
หินสวรรค์ลอยขึ้นจากทะเลสาบสวรรค์ จากริมทะเลสาบ จากพื้นหญ้า จากนิ้วของผู้เฒ่าความลับสวรรค์
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์นั่งอยู่ริมทะเลสาบพลันมีรอยย่นบนใบหน้าเพิ่มขึ้นมากมาย ทำให้เขาดูชราลงไปมาก อย่างไรก็ตาม นิ้วมือของเขาก็ยังมั่นคงขีดเขียนบางอย่างบนไอน้ำอยู่ตลอด เขากำลังคำนวณและในเวลาเดียวกันก็จัดวางค่ายกล เมื่อเขาทำเช่นนั้น ร่างกายก็แผ่ไอพลังปราณที่น่าทึ่งออกมา
หินสวรรค์หลายพันก้อนลอยอยู่ในที่ต่างๆ ทั่วแนวเขา ลอยอยู่ในอากาศกลางท้องฟ้าราตรีที่มืดดำ พวกมันดูเหมือนดวงดาวที่ทอดตัวเป็นวงกลมรัศมีห้าร้อยลี้
ที่แห่งนี้ก็คือหานซาน ที่แห่งนี้ก็คือที่ของเขา
แม้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนที่มายังหานซานนั้นเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาพบเจอมาในการบำเพ็ญเพียรยาวนานหนึ่งพันปีของเขา แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถต่อสู้ได้
หินสวรรค์ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีก่อตัวเป็นตาข่าย ที่ใจกลางของตาข่ายหินคือจุดเลี้ยวของเส้นทางภูเขาริมลำธารหน้าต้นพลับ
อยู่เหนือศีรษะบัณฑิตวัยกลางคนพอดี
บัณฑิตวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น แม้ว่าจะเห็นหินสวรรค์อยู่ทุกที่ สีหน้าก็ยังคงไม่แยแสไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ริมทะเลสาบบนยอดเขาที่ห่างไกลออกไป ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ส่ายไหวอยู่ครู่หนึ่ง ร่อยย่นบนใบหน้าไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่ลึกกว่าเดิม
บัณฑิตวัยกลางคนมองไปที่ยอดเขาและกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ความลับสวรรค์ เจ้าคิดจะกักขังข้าด้วยค่ายกลหยาบๆ ง่ายๆ นี้เช่นนั้นหรือ”
เสียงเขาดังปานฟ้าร้อง กังวานก้องไปทั่วภูเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยืนป้องกันอยู่หน้าเฉินฉางเซิงต่างก็รู้สักได้ว่าห้วงแห่งจิตสั่นสะเทือน ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่อ่อนแอกว่าเล็กน้อยถึงกับปล่อยมือจากกระบี่แล้วยกขึ้นมาปิดหูด้วยความเจ็บปวด
ภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนไอน้ำเหนือทะเลสาบที่ยอดเขา
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองไปที่ไอน้ำและกล่าว “ข้าไม่อาจขังเจ้าไปชั่วชีวิต แต่ข้าจำเป็นต้องขังเจ้าไว้แค่ชั่วคราวเท่านั้น”
บัณฑิตวัยกลางคนยิ้ม “ชีวิตของผู้เยาว์เหล่านี้เจ้าก็ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “ในเมื่อเจ้าไม่สนใจชีวิตตัวเอง แล้วข้าต้องไปสนใจชีวิตของใครอีกเล่า”
ยอดฝีมือทั้งสองนั้นอยู่ห่างกันอย่างน้อยร้อยลี้ ทว่าพวกเขากลับพูดราวกับว่ายืนอยู่ตรงหน้ากัน
ครั้นได้ยินบทสนทนาอันเรียบง่ายนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียร ทั้งมนุษย์และปีศาจ ที่เคยมีความหวังหลังจากได้ยินเสียงของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ตกลงสู่ความสิ้นหวัง
ผู้คนของหอความลับสวรรค์นั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาริมทะเลสาบเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่ายกล เผยสีหน้ากระวนกระวายใจออกมา ทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หากผู้เฒ่าความลับสวรรค์ใช้พลังทั้งหมดที่มี ถึงแม้เขาไม่อาจช่วยคนที่อยู่ริมน้ำและบนเส้นทางภูเขาได้หมด แต่บางทีอาจจะช่วยบางคนเอาไว้ได้
แต่หากทำเช่นนั้น ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ไม่อาจที่จะหนุนค่ายกลหินสวรรค์ที่ผนึกพื้นซึ่งรัศมีห้าร้อยลี้รอบหานซานได้อีกต่อไป
คนเหล่านั้นที่เข้ามาในหานซานต่างก็มีความสำคัญอย่างมาก เป็นอนาคตของมนุษยชาติ แต่กระนั้นหากเขาสามารถกักขังบัณฑิตวัยกลางคนไว้ในหานซานอีกสักนิด รอให้ยอดฝีมือในโลกมนุษย์เร่งมาร่วมมือกันสังหารเขา เช่นนั้น…มนุษย์ก็มั่นใจได้ว่าอนาคตจะรุ่งโรจน์หาใดเปรียบ
ในเวลาสั้นๆ หลังจากที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตระหนักถึงตัวตนของบัณฑิตวัยกลางคน เขาก็ทำการคำนวณสี่สิบว่าครั้งและได้ตัดสินใจในที่สุด
หากความตายของคนพวกนี้สามารถแลกเปลี่ยนกับความตายของศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของโลกมนุษย์ พวกเขาก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว
ต่อให้มีว่าที่สังฆราชอยู่ในกลุ่มพวกเขาด้วยก็ตาม
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มีความมั่นใจว่าหากคนพวกนั้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของบัณฑิตวัยกลางคน พวกเขาก็จะเลือกทำแบบเดียวกัน
……
……
ศาลาหวันโสวเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของเมืองซีหลิง และยังมีห้องสมุดขนาดใหญ่ อาลักษณ์ยืนอยู่ข้างชั้นหนังสือ กำลังอ่านหนังสือในมือ คนผู้นี้สวมชุดยาวที่ธรรมดาทั่วไป สิ่งแปลกประหลาดเดียวบนร่างของชายผู้นี้ก็คือดอกไม้แดงที่มัดอยู่กับนิ้วก้อย ดอกไม้นี้มีสีแดงไม่ธรรมดา เป็นสีแดงที่งดงามมาก พิเศษมาก มิใช่สีแดงที่จะเห็นได้จากที่อื่นอีก เป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง
อาลักษณ์ผู้นี้มีสีหน้าสงบอย่างยิ่ง สมาธิทั้งหมดอยู่กับหนังสือตรงหน้า อย่างไรก็ตาม แสงสั่นไหวที่แผ่ออกมาจากดอกไม้แดงตรงนิ้วก้อยแสดงว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาแสดงออก บางทีอาจเป็นเพราะเสียงสบถที่ดังอยู่นอกศาลาอยู่เป็นระยะๆ ศาลาหวันโสวเป็นที่รู้จักว่ามีความสงบเงียบ ใครกันที่กล้าส่งเสียงสบถด้านนอก และใครกันที่กล้าสบถใส่อาลักษณ์ผู้นี้
คนที่สบถอยู่ภายนอกนั้นเป็นนักพรตหญิงชราผู้หนึ่ง แส้ปัดในมือขาดหลุดไปครึ่งหนึ่ง นางก็คืออู๋ฉยงปี้ที่ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไล่ออกมาจากนครจิงตู
ได้ยินเสียงสบถจากด้านนอก อาลักษณ์ผู้นี้ก็ไม่อาจรักษาท่าทีต่อไปได้ คิ้วขมวดแน่นขึ้นกระทั่งในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา เตรียมที่จะพูดอะไรบางอย่าง ในตอนนั้นเองที่คลื่นอ่อนจางพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทางตะวันออกของศาลาหวันโสว
สีหน้าของอาลักษณ์เปลี่ยนไปในทันที ร่างของเขาหายจากชั้นหนังสือในพริบตา และปรากฏขึ้นด้านนอกศาลาในขณะต่อมา เมื่อเห็นว่าอาลักษณ์ปรากฏกายในที่สุด นักพรตหญิงชราก็รู้สึกยินดีอยู่ภายใน ทว่าสีหน้าของนางยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มองดูเขาและกล่าวต่อว่า “เจ้าไม่สนใจบุตรชายของเจ้าเลย อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่สนใจภรรยาด้วย!”
อาลักษณ์ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย สายตาเขาจับจ้องไปที่ท้องฟ้าทางตะวันออกเฉียงเหนือ สีหน้าน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
นางพุ่งมาคว้าตัวเขาด้วยความฉุนเฉียว
อาลักษณ์ปัดแขนเสื้อนางอย่างโกรธเคืองพร้อมกับกระแอมอย่างเย็นชา จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าแตะดอกบัวในสระบัวตรงหน้าศาลา ร่างหายไปบนฟากฟ้าไม่อาจหาได้พบอีกต่อไป
นักพรตหญิงชราล้มลงกับพื้นอย่างแรงจนแก้มบวมแดง
ใบหน้านางเต็มไปด้วยความตกตะลึง ตั้งแต่นางแต่งงานมา นางไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อนเลย
ในยามที่นางเตรียมจะสบถออกมา ก็สัมผัสถึงความแปลกประหลาดบนท้องฟ้าได้ในที่สุด ใบหน้าขาวซีดอยู่บ้างและหัวใจก็เริ่มเต้นด้วยความหวาดกลัว
ในตอนนี้ นางได้แต่หวังว่าการปัดแขนเสื้อนางครั้งนี้จะไม่ทำให้สามีนางล่าช้าไปแม้เพียงสักเล็กน้อย
……
……
สวนหมื่นหลิวนอกเมืองฮั่นชิวยังคงเป็นแผ่นดินมอดไหม้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานพอสมควรแล้ว ก็ไม่มีต้นอ่อนผุดขึ้นจากพื้นดิน
จูลั่วยืนอยู่ตรงจุดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นริมทะเลสาบ มองดูซากปรักหักพังอย่างเงียบงัน
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการเรื่องต่างๆ ของตระกูลจูและพรรคไร้รัก ในเวลาเดียวกันก็รอคอยวันที่หวังผ้อจะกลับสู่เมืองเทียนเหลียง ส่งผลให้จิตใจอิดโรยอยู่บ้าง
ชายสวมหมวกไผ่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาก็คือกวนซิงเค่อแห่งแปดมรสุม
ทันใดนั้นขี้เถ้าสีดำก็ตกลงมาที่ปีกหมวก กวนซิงเค่อดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างและมองไปทางขอบฟ้าทิศตะวันออก เขามองไปหลายพันลี้ ทะเลเมฆดูหม่นมัวอยู่บ้าง
“มีเรื่องเกิดขึ้น”
“เจ้าไป”
“ได้”