“ได้สิครับผู้เฒ่าสวี! แต่ต้องบอกเขาในภายหลังด้วยก็พอครับ” ชุ่ยเสี่ยวตงทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลงแล้วหันมาคุยกับจางลี่เฉิน “ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะ ความสามารถที่เธอมีมันเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คนในทีมเราหลายคนยังมีความสามารถที่ยิ่งกว่าเธอซะอีก! ฉันจะบอกให้ชัดเจนเลยนะว่าโรงแรมนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเราทั้งหมด ถ้าเธอคิดที่ถ้าจะหนีออกไปเมื่อไหร่เธอจะไม่มีโอกาสได้…”
เนื่องจากตอนนี้จางลี่เฉินได้รับคัมภีร์คาถาและอาหารกลางวันมาแบบฟรี ๆ แล้วเขาจึงไม่สามารถต่อกรกับเพื่อนร่วมงานของชายชราได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำเป็นยอมรับฟังคำพูดของชุ่ยเสี่ยวตงโดยไม่ยอกย้อนอะไรกลับไปเหมือนในตอนแรกอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นไปอีกสักพักหนึ่ง ชุ่ยเสี่ยวตงที่จู้จี้มาอย่างยาวนานก็เริ่มกระหายน้ำและในที่สุดเขาก็ปิดปากและถอนหายใจที่ได้ปลดปล่อย เขาโบกมือเพื่อบอกให้ชายชราสวีพาตัววัยรุ่นจากไป
“เอาล่ะหัวหน้าชุ่ย ในเมื่อเธอจู้จี้กับเขาเสร็จแล้วงั้นฉันขอตัวพาเขาไปกินมื้อเย็นเลยก็แล้วกัน” ชายชรายิ้มพลางตบไหล่จางลี่เฉิน “ไปกันเถอะ! พวกเราต่างก็หิวกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไปกินอาหารกัน!”
จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินไปทางห้องอาหารของโรงแรม
ระหว่างทาง ชายชราบอกกับจางลี่เฉินว่าทีมของพวกเขาถูกเรียกพบโดยรัฐบาลจีนเป็นการส่วนตัว ภายใต้การทำภารกิจนี้พวกเขาจะต้องปกปิดตัวตนและต้องบินจากจีนไปยังคองโก จากนั้นก็บินจากคองโกไปแทนซาเนีย จากแทนซาเนียมาที่โจฮันเนสเบิร์กในขณะใช้ชื่อแฝงว่าเป็นพนักงานของบริษัทเหมืองแห่งชาติจีน เขาบอกกับจางลี่เฉินต่ออีกว่าภารกิจเดียวของทีมนี้คือการแอบเข้าไปในอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่เคปทาวน์
ห้องอาหารของโรงแรมแอฟริกาโฮมทาวน์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและปูกระเบื้องพื้นสีขาวขนาดใหญ่ นอกเหนือจากชุดโคมไฟเพดานสี่ชุดเรียบร้อยแล้วตัวเพดานยังถูกปกคลุมไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันที่เป็นป่าแอฟริกา, เหมือง, โรงงานที่ทันสมัย รวมถึงตึกสูงระฟ้าของโจฮันเนสเบิร์ก
ด้วยพื้นที่ที่มากกว่า 300 ตารางเมตรดูเหมือนว่ามันจะสามารถรองรับคนได้มากกว่า 500 คนภายในเวลาเดียวกัน
“หากมีคนอื่นมาได้ยินเรื่องนี้พวกเขาคงไม่เชื่อแล้วก็คิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเพียงการฉ้อโกงครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามทันทีที่รัฐบาลตามหาตัวฉัน ฉันก็เชื่อเรื่องนี้ในทันที รูเล็ก ๆ ที่เปลือกโลกของเราคือสถานที่ที่จะพาตรงไปยังอาณาจักรเหนือธรรมชาติ! บรรพบุรุษของเราที่ฝึกฝนเรื่องเวทมนต์คือเทพธิดานูวาเธอได้เสียชีวิตก็เพื่อซ่อมหลุมที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า”
ขณะที่พวกเขายังเดินไปเรื่อย ๆ ชายชราก็พูดจาฉะฉานเกี่ยวกับสิ่งอื่น ๆ ต่อ
“ฉันคิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเหมือนกันเพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่า ลองคิดดูสิว่านี่จะเป็นสิ่งที่ดีต่อการฝึกคาถาของพวกเราขนาดไหน ตัวอย่างเช่นเวลาที่ได้เข้าไปที่อาณาจักรเหนือธรรมชาติ ได้ปรากฏตัวอยู่บนที่ดินของผู้อื่น ได้อยู่ในสถานที่ที่กองทัพไม่สามารถส่งอาวุธมาได้และถึงส่งมาได้ก็ไม่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ เช่นกัน ใครจะไปรู้ว่าด้านบนของดินแดนเหนือธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนคนเก่งแค่ไหนเขาก็อาจถูกจับได้เมื่อเข้าไปที่นั่น ในตอนท้ายใครจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้กันล่ะ? ใช่…ต้องเป็นพวกเราอย่างแน่นอน! สถานะนายทหารอย่างทางการที่จะมอบให้กับฉัน … “
“นี่ลุง ลุงเป็นพ่อมดมานานเท่าไหร่? ทำไมถึงได้สนใจตำแหน่งทางทหารมากขนาดนี้?” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา จางลี่เฉินที่ถมจานเนื้อจำนวนมาก ไอศครีม เค้ก อาหารที่มีแคลอรี่และไขมันสูงอื่น ๆ ลงบนถาดอาหารของตัวเองก็เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“เป็นพ่อมดแล้วจะทำให้มีเงินมีรายได้หรือไง? ดูเธอสิ เธอเองก็เป็นพ่อมดและนอกจากนั้นยังมีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ดีแต่เธอก็ยังต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อทำงานเลยไม่ใช่หรือไง? ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่เธอกล้าเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองให้คนอื่นได้รู้หรือเปล่าล่ะ? แม้แต่ลอร์ดที่มีสายเลือดบริสุทธิ์จากออร์โธด็อกซ์ก็ยังต้องระวังตนอยู่เสมอ แน่นอนว่าหนูอย่างเรา ๆ ก็ต้องหดตัวอยู่เงียบ ๆ…”
เมื่อได้ยินเสียงบ่นของชายชรามันทำให้จางลี่เฉินหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ท่านจางยังมีชีวิตอยู่ นอกเหนือจากชาวบ้านที่ไม่กล้ากวนใจโมโหเขาแล้ว เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาในสายตาของคนอื่นเมื่อเขาเข้าไปในเมือง เขามีชีวิตอยู่ได้นานแต่ในที่สุดเขาก็ต้องมาตายภายใต้รถแท็กซี่
นับตั้งแต่ที่เขาได้กลายมาเป็นพ่อมดเขาก็ใช้เวลาไปกับการคิดหาวิธีเพื่อให้ได้รับเลือดมากขึ้นเพื่อสัตว์อาคมในตอนที่เขามาถึงอเมริกาเป็นครั้งแรก หากไม่ใช่เพราะทีน่าที่มีความคิดอันอัจฉริยะที่แนะนำให้เขาเปิดโรงฆ่าสัตว์และสามารถได้รับทั้งเงินและสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างถูกต้อง บางทีสัตว์อาคมของเขาอาจจะลากเขาเข้าสู่ประตูแห่งความตายแล้วก็เป็นได้
เมื่อได้คำนึงคิดดูอย่างรอบคอบชายหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ก็ต้องประหลาดใจที่ได้รู้ว่าถ้าเขาไม่ได้พบกับโอกาสสร้างแหล่งที่มาของการทำเงินหรือได้รับมรดกลับที่สุดยอดมา เขาคงต้องใช้ชีวิตไปอย่างยากลำบากเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ ดั่งคำพูดตั้งแต่สมัยโบราณที่ว่า “คนที่ไม่มีเงินก็จะไม่มีใครได้ยิน” นั้นเป็นเรื่องจริง
“พ่อหนุ่ม เธอจะสามารถกินหมดนี่ได้จริง ๆ น่ะหรอ! แล้วนี่กำลังคิดอะไรอยู่?” จางลี่เฉินที่กำลังหลงอยู่ในความคิดของตัวเองถูกชายชราข้างกายปลุกให้กลับสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง เขามองไปที่กองจานและยิ้มตอบกลับไป “ลุงเองก็ฝึกศิลปะการต่อสู้มาเหมือนกัน ลุงก็น่าจะรู้ว่าพวกเราสามารถกินได้มากขนาดไหน”
“ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล” ชายชรามองดูจานของตัวเองที่เกือบจะเท่า ๆ กับจานของจางลี่เฉินและหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนำเขาไปนั่งที่โต๊ะมุมสุดภายในห้อง
จางลี่เฉินเพียงนั่งนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำถามใหม่ไปว่า “ลุง พวกเราเป็นแค่หนูข้างถนนแล้วทำไมรัฐบาลถึงไม่มองหาลูกหลานออร์โธดอกซ์เลือดบริสุทธิ์เพื่อไปสำรวจดินแดนเหนือธรรมชาติแทนล่ะ ทำไมถึงมามองหาพวกลุงแทน?”
“เป็นคำถามที่ดีมาก! พ่อหนุ่ม เธอนี่ฉลาดซะจริง ๆ!” ชายชราตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเคี้ยวอาหารอย่างขะมักเขม้นและลดเสียงเพื่อตอบกลับไปว่า “แต่ถ้าเธอลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูดี ๆ เธอก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะมีแค่ที่แอฟริกาใต้เท่านั้นที่มีประตูไปสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติ…”
“ลุงหมายถึงยังมีประตูที่นำไปสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติที่ประเทศจีนและรัฐบาลก็ได้ส่งพวกเลือดบริสุทธิ์พวกนั้นให้ไปสำรวจที่นั่นแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ได้จะพูดแบบนั้น แต่หัวหน้าชี่หยกซิน ประธานสมาคมพุทธศาสนาแห่งชาติและตัวแทนสภาประชาชนแห่งชาติได้เปิดเผยว่าศาสนาพุทธเคยพูดถึงเกี่ยวกับโลกยักษ์ใหญ่มาก่อน พวกเขาบอกว่ายังมีอีกหลายโลกนอกจากโลกของเรา ปลายทางของพุทธศาสนิกชนอาจกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือการได้นับถือให้เป็นพระเจ้า … ฮิฮิ…”
“ถ้าหากที่ประเทศของเราก็มีแล้วเราจะส่งมาที่แอฟริกาใต้ทำไม?”
“พ่อหนุ่ม ประเทศของเราก็คือประเทศของเรา สถานที่ของผู้อื่นก็คือสถานที่ของผู้อื่น ทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘จับตาดูหม้อขณะกินข้าวจากชาม’ หมายถึงเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายได้ยังไงล่ะ” ชายชรายิ้มร้ายกาจและไม่พูดอะไรต่ออีก
ในตอนนั้นเองจางลี่เฉินก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าชายชราที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลจีนมาแบบชั่วคราวและสามารถคาดเดาสถานการณ์ทั้งหมดได้โดยประมาณเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก เมื่อเขาหยิบชิ้นส่วนของเนื้อโดยใช้ตะเกียบเข้าไปในปาก เขาสามารถได้กลิ่นเหม็นจาง ๆ ที่ลอยมากระทบจมูกได้
จางลี่เฉินหันมองไปตามทิศทางของกลิ่นแปลก ๆ จึงได้เห็นว่าเป็นผู้ชายที่มีความสูงมากกว่า 180 เซนติเมตร เขาผอมเหมือนเสาไม้ไผ่และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความมัน เขาดูเหมือนศิลปินฮิปฮอปในขณะที่เดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยการเต้นแบบหุ่นยนต์ เอาถาดอาหารมาถือไว้ในมือจากนั้นเขาก็เริ่มเลือกอาหารของเขาอย่างช้า ๆ
“หยุดมองได้แล้วพ่อหนุ่ม! อย่าไปมอง! เขาคือที่ปรึกษาเจิ้งหนึ่งในสมาชิกของพวกเรา อย่าไปมองเขาแบบนั้น” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อสังเกตเห็นที่ผู้ชายหัวล้านเข้ามาในห้องอาหารและเห็นจางลี่เฉินกำลังจ้องมองเขา
ขณะนั้นเอง ร่างของชายหนุ่มก็เริ่มสั่นระเรื่ออย่างแผ่วเบาขณะที่เขาค่อย ๆ ถอนสายตาออก เขาสามารถรู้สึกถึงพลังพ่อมดในร่างกายที่เริ่มเดือดพล่านราวกับว่ามันกำลังจะเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยความยากลำบากเขาเอ่ยถามไปว่า “เขาเป็นพ่อมดอันดับ 12 งั้นหรอ?”
“หรืออาจมากกว่านั้น นั่นเป็นหนึ่งในซากศพที่ยังมีชีวิตอยู่ของเขา อย่าไปจ้องมองมันเด็ดขาด ศพที่มีชีวิตสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเจ้าของและเปลี่ยนเป็นสำเนาของตัวเอง … ” ชายชราก้มหน้าติดจานอาหารของตัวเองขณะกล่าวเตือน
อย่างไรก็ตามจางลี่เฉินไม่ได้ยินสิ่งที่ชายชราพูดมาเลยแม้แต่นิด สำหรับเขาแล้วประโยชน์ที่เขาจะได้รับในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อนเมื่อเทียบกับการได้พบกับศพที่มีชีวิตของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาเคยอ่านเจอมาก่อนในหนังสือโบราณ
มันมีแสงพร่ามัวเล็กน้อยปรากฏขึ้นตรงหน้า แม้ว่าแสงนี้อาจไม่มีนัยสำคัญแต่การเปลี่ยนแปลงที่นำมานั้นมีนัยสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้มีค่ามากพอที่เขาจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสำรวจดินแดนเหนือธรรมชาติ
ศพที่มีชีวิตของที่ปรึกษาเจิ้งชวนให้ประหลาดใจอย่างมากจนกระทั่งได้เห็นถึงพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากพฤติกรรมปกติ พวกเขานิ่งเงียบจนกระทั่งชายหัวล้านนำขนมปังไม่กี่ชิ้น ชามข้าวต้มและจานขนมออกจากห้องอาหารไปด้วยท่าทางที่แข็งทื่อและในที่สุดพวกเขาก็กลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้นจางลี่เฉินก็สงบสติลงแล้วพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าจะมีแหล่งพลังงานที่มีความแข็งแกร่งดังกล่าวอยู่ในคาถาของจีนด้วย ที่ปรึกษาเจิ้งไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนมาก่อนด้วยใช่ไหมลุง?”
“ใช่ เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ฉันเคยได้ยินมานานแล้วว่าที่ปรึกษาเจิ้งเป็นหัวหน้านักวิจัยของหนึ่งในสถาบันภายใต้สถาบันสนับสนุนวิทยาศาสตร์ทางสังคมเขามีตำแหน่งผู้นำที่เทียบเท่ากับผู้พิพากษาประจำมณฑล”
“และนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาใจพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่?”
“ไม่ว่าตัวพ่อมดจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนแต่เขาก็ยังไม่ทรงพลังเท่ากับระเบิดปรมาณูหรือขีปนาวุธไปได้ ประเทศของเรายังส่งคนไปยังอวกาศได้แล้วเธอคาดหวังถึงสิ่งใด?”
คำพูดของชายชรานั้นสมเหตุสมผลแล้วแต่จางลี่เฉินคิดว่ามันยังมีบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อถือปนอยู่ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งทันใดนั้นเขาก็ถามไปว่า “ลุง ลุงบ่มเพาะประตูแห่งการเสียสละใช่ไหม? ลุงอยู่ในระดับไหนแล้วลุงได้คาถาประเภทอะไรมา?”
“พ่อหนุ่ม! เธอกล้าถามแบบนี้ได้ยังไง? เรายังไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันพอจะถามอะไรแบบนี้ได้!”
“ฉันแค่คิดว่าเมื่อฉันได้มาเข้าร่วมแก๊งกับลุงด้วยแล้วเราก็ควรที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น” จางลี่เฉินรู้ดีว่าเขากำลังเหยียบข้ามข้อห้ามโดยไม่ตั้งใจแม้ว่าเขาจะใช้ความระมัดระวังในการถามข้อมูลจากชายชราแล้วก็ตามดังนั้นเขาจึงแก้ต่างไปอย่างรวดเร็ว
“ความเข้าใจอะไร? ทำไมเธอต้องมาทำความเข้าใจอะไรแบบนั้น? แม้แต่กัปตันหูที่เป็นผู้นำกำลังทีมในครั้งนี้ก็ยังไม่รู้ว่าฉันเป็นพ่อมดระดับใดและฉันได้คาถาประเภทไหนมา เธอเพียงรู้ความเชี่ยวชาญของฉันมากที่สุดก็เท่านั้น แล้วเธอกล้าดีมาถามฉันแบบนี้ได้อย่างไร? หรือเธอได้รับการเลี้ยงดูมาจากท้องถนนเลยไม่รู้จักอะไรพวกนี้?”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถปกปิดมันได้อีกต่อไปจางลี่เฉินเลยพูดออกไปตามความเป็นจริง “ครอบครัวทั้งหมดของฉันพักอยู่ในมณฑลเสฉวนตะวันตก แต่พ่อของฉันไม่ได้สอนเรื่องคาถาเหล่านี้ให้กับฉัน … ”
“ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้ตื่นเต้นกับคัมภีร์ลับขนาดนั้น ฉันคิดว่าเธอไร้เดียงสาเหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ๆ ซึ่งคิดว่าความมุ่งมั่นของมนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ …” การแสดงทางอารมณ์แปลก ๆ พุ่งขึ้นบนใบหน้าของชายชราก่อนที่จะหายไปอีกครั้ง “ลืมมันไปซะเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วไป ฉันจะสอนเธอเองพ่อหนุ่ม อย่าได้เย่อหยิ่งและเรียนรู้เอาไว้ คว้าโอกาสนี้และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยใช้เงินทุนสาธารณะ … ”
ชายชราที่จู้จี้เนื่องจากติดอยู่กับคำโกหกของตัวเอง จางลี่เฉินเพียงหัวเราะเบา ๆ และไม่พูดอะไรต่ออีกจนกระทั่งพวกเขากินอาหารเสร็จ
หลังจากออกจากห้องอาหารมา ชายชราก็พาจางลี่เฉินไปยังห้องทำงานของทีม ระหว่างทางชายชราได้พูดกับเขาว่า “การทำงานของเราแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิก 4 – 5 คน ทีมของเราเพิ่งมีสมาชิกเป็น 5 คน นอกจากหัวหน้าชุ่ยและฉันแล้วก็ยังมีลู่ชิงที่มีความกระตือรือร้นอย่างมาก บุคคลดังกล่าวมีอยู่ในทุกกลุ่มเพราะงั้นฉันจะขอไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับเขา สมาชิกอีกคนชื่อสวีโม่ เธอเพิ่งอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น เธอเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบและบ่มเพาะคาถาฝึกประตูแห่งชีวิต การสร้างความสัมพันธ์กับเธออาจเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ก็ได้ในอนาคต ใครจะไปรู้ เธออาจได้ช่วยชีวิตพวกเราในช่วงเวลาวิกฤติได้ก็ได้ คนสุดท้ายคือจินฟู่เฉิงที่ทั้งสูงและหล่อ เช่นเดียวกับพวกเรา เขาบ่มเพาะคาถาของประตูแห่งการเสียสละ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนความสามารถในการต่อสู้มาอย่างใกล้ชิดแต่เขาก็รู้มวยปล้ำมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขามีสมองที่เรียบง่ายและมีอารมณ์ที่เย่อหยิ่ง เธอก็ไม่ต้องใส่ใจเขามากนักก็แล้วกัน”
ตอนต่อไป →