ตอนที่ 312 ต้องมีสักวันที่นางหันหลังมามองเขา

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกลนลานแทบแย่ เมื่อเปิดประตูออกไปเห็นคนสองคนที่สีหน้าร้อนรน

 

 

ซือหม่าหรุ่ยมุ่นคิ้ว เริ่มพยายามหาเหตุผลเอ่ย “นางถูกพิษหงอนกระเรียนแดง! ยังดีที่ข้ามียาถอนพิษร้อยชนิดอยู่เม็ดนึง ให้นางกินไปแล้ว แต่ว่าพวกท่านก็คงรู้พิษชนิดนี้ร้ายกาจมาก เกรงว่านางต้องนอนบนเตียงไปอีกหลายเดือน”

 

 

“หงอนกระเรียนแดง?” สีหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเย็นเยียบ

 

 

เขาหันกลับไปมองอวี้เหว่ย เค้นคำสั่งทีละคำเล็ดลอดออกจากไรฟัน “ไปสืบมา หาตัวคนวางยาพิษให้เจอ เยี่ยนจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตายอย่างศพไม่สมบูรณ์ทั้งตระกูล!”

 

 

“ขอรับ!” อวี้เหว่ยรีบออกไปตรวจสอบทันที

 

 

นี่เป็นครั้งแรกในตลอดหลายปีที่เขาเห็นเตี้ยนเซี่ยโมโหถึงเพียงนี้ แต่ว่า…เขาอยากบอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยไร้เยื่อใยกับเตี้ยนเซี่ยถึงเพียงนี้ ไฉนเตี้ยนเซี่ยยังห่วงความเป็นตายของนางอีกเล่า

 

 

ต่อให้มีคนคิดวางยาพิษฆ่านาง แล้วไปเกี่ยวอันใดกับเตี้ยนเซี่ยด้วยเล่า

 

 

เขารู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยถลำลึกดื้อดึงไม่ได้สติแล้ว แต่ว่าเขารู้จักนิสัยของเตี้ยนเซี่ยดี ดังนั้นไม่เอ่ยวาจาไร้สาระอะไร รีบไปจัดการตาม

 

 

ซือหม่าหรุ่ยก็มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยอารมณ์สับสน ถึงนางไม่เห็นกับตา แต่จะมากจะน้อยก็ยังเดาได้ว่าเยี่ยเม่ยทำกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างไร คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยทำถึงขั้นนี้แล้ว เขายังปฏิบัติต่อเยี่ยเม่ยด้วยหัวใจ

 

 

ความจริงในยามนี้ นางคิดเกลี้ยกล่อมเยี่ยเม่ยสักหลายคำ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับราชวงศ์เป่ยเฉิน ไม่แน่เขาอาจยอมช่วยเหลือเยี่ยเม่ย หากเป็นแบบนี้ก็เป็นการดีทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ

 

 

แต่ซือหม่าหรุ่ยฉุกคิดได้ เยี่ยเม่ยเคยบอกว่านางแค้นคนของราชวงศ์เป่ยเฉินทุกคน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยังแซ่เป่ยเฉินอยู่ดี

 

 

แน่นอนว่าเยี่ยเม่ยได้ยินเสียงพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านนอก

 

 

เพียงแต่นางยังคงปิดตาแสร้งเป็นสลบไสล ในใจรู้สึกไม่เป็นรสชาติ จนถึงตอนนี้นางกลับยินดีให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนใจดำกับนาง ทางที่ดีอย่าได้สนใจความเป็นตายของนาง ในทางกลับกัน…คนทั้งสองจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดถึงขั้นนี้

 

 

ซือหม่าหรุ่ยได้สติกลับมา ขมวดคิ้ว เดินกลับเข้าห้อง “นางถูกพิษได้ยังไงอย่างนั้นหรือ”

 

 

นางมองกาน้ำชาบนโต๊ะ ทั้งยังมีแก้วที่ถูกเยี่ยเม่ยปัดล้มวางอยู่ ซือหม่าหรุ่ยใช้เข็มเงินจิ้มเข้าไปในน้ำชา ไม่นาน เข็มเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

 

 

สีหน้าซือหม่าหรุ่ยหนักอึ้งลง “น้ำชามียาพิษ!”

 

 

คราวนี้สีหน้าคนทั้งหมดก็เปลี่ยนไปไม่น่าดูแล้ว

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลอกตากลับมากวาดมองดูบรรดาบ่าวรับใช้รอบหนึ่ง บ่าวไพร่ต่างคุกเข่าลงทันที เอ่ยว่า “ข้าน้อยสมควรตาย พวกเราคุ้มกันไม่ดี ขอให้องค์ชายสี่ละเว้นด้วย !”

 

 

ครั้นเห็นจิตสังหารในดวงตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ซือหม่าหรุ่ยรีบขอร้อง “องค์ชายสี่ ท่านอย่าเพิ่งสังหารคนชั่วคราวจะดีกว่า พวกเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ความผิดเล็กน้อยลงโทษสถานเบาก็เพียงพอแล้ว คนที่ชั่วช้าสามานย์จริงๆ คือตัวบงการ ตอนนี้ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ต่อให้ระวังแค่ไหนก็ยากจะป้องกันได้หมด หากท่านสังหารพวกเขาแล้ว เยี่ยเม่ยรู้เข้านางอาจไม่พอใจเอาได้!”

 

 

เยี่ยเม่ยก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ สักหน่อย เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสังหารคนเพราะเรื่องนี้ แต่ว่าบ่าวไพร่เหล่านี้คุ้มกันผิดพลาดเป็นความจริง ลงโทษสักหน่อยก็สมควร

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสีหน้าขรึมลง ใคร่ครวญคำพูดของซือหม่าหรุ่ย สั่งการว่า “ลากออกไป โบยคนละหนึ่งร้อยไม้!”

 

 

“ขอบพระทัยองค์ชายสี่! ขอบคุณแม่นางซือหม่า!” เดิมทีพวกเขาคิดว่าคงต้องตายแน่นอนแล้ว ถูกโบยร้อยไม้ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดไหม แต่ก็ยังพอมีหนทางรอดบ้าง

 

 

พวกเขาเองก็เสียใจที่ตัวเองฉวยโอกาสยามเยี่ยเม่ยไม่อยู่เรือน ละเลยหน้าที่ สุดท้ายทำให้เกิดเรื่องขึ้น

 

 

การโบยร้อยไม้ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว

 

 

หลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งจบ ดวงตาร้ายกาจของเขามองเยี่ยเม่ยที่อยู่บนเตียง ขยับเท้าเข้าไปใกล้นาง แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของนางที่เอ่ยกับเขา บอกว่าไม่อยากให้คนที่นางชอบเข้าใจผิด เขาจึงได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ

 

 

หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็มองซือหม่าหรุ่ย “นางไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

“ไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแต่ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง!” ซือหม่าหรุ่ยตอบทันควัน

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ได้ ข้าจะเฝ้าอยู่หน้าประตูรอจนนางฟื้น”

 

 

สิ้นเสียง เขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

 

 

ความจริงเขาอยากกอดนางมากกว่า รอนางฟื้นขึ้นมาอิงแอบอยู่ในอกเขารับรู้ถึงความปลอดภัยและความอบอุ่น

 

 

แต่

 

 

หากเขาไม่สนใจอะไรกอดนางเอาไว้ แล้วคนที่นางชอบเกิดรู้เข้า นางจะเอ่ยอีกหรือเปล่าวว่า นางยอมตายเพื่อแลกกับการให้เขาปล่อยมือ

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้คอยคุ้มกันอยู่ในสายตาก็พอ

 

 

บางทีอาจมีสักวันหนึ่งที่นางหันกลับมามองเขาก็ได้

 

 

หลังจากเขาเดินออกประตูใหญ่ไป ก็ยืนเงียบๆ อยู่กลางเรือน วันในฤดูหนาวเย็นมาก แผ่นหลังของเขาท่ามกลางลมหนาวดูแล้วบอบบางอ่อนแออยู่บ้าง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเห็นเช่นนี้ ก็ทนดูไม่ไหว ถอนสายตากลับมา จิ่วหุนเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินออกไปพลางเข้าใจว่าอย่างไรห้องนี้ก็เป็นห้องของสตรี เขาอยู่ด้านในก็ไม่เหมาะสม เขาเป็นน้องชายของนางแต่ในนาม แต่ก็หาใช่พี่น้องแท้ๆ

 

 

จิ่วหุนเอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่ง “ข้าออกไปรอพี่สาวฟื้นข้างนอก”

 

 

……

 

 

ภายในห้องของเป่ยเฉินอี้

 

 

ยามข่าวนี้ไปถึงหูเป่ยเฉินอี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจเขากลับกระตุกสั่น ลุกขึ้นมาด้วยความแตกตื่นเล็กน้อย ถามทันทีว่า “นางเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ชิงเกอมองเขาอยู่ไม่กี่วินาที

 

 

ค่อยเข้าใจการแสดงออกอย่างไม่สงบของเจ้านายในยามนี้ผิดจากปกติ เป่ยเฉินอี้สงบใจนั่งลงในไม่ช้า คนค่อยๆ สงบนิ่งลง

 

 

เขากังวลอะไรกัน

 

 

นางคือเยี่ยเม่ย หาใช่อาซี หากนางตายไปแล้วจริงๆ สำหรับเขานับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

 

 

แต่เมื่อครู่ ความกังวลตอบสนองออกโดยสัญชาตญาณ ทำให้เขารู้สึกงุนงง

 

 

บางทีเขาก็แค่ไม่อยากให้ใบหน้าที่เหมือนอาซีอย่างไม่ผิดเพี้ยนนั้นหายไปจากโลกอย่างง่ายดายเช่นนี้เท่านั้นเอง

 

 

ชิงเกอไม่ถามว่าเหตุใดเขาถึงมีปฏิกิริยาแปลกไป เพียงเล่าต่อไป “ตามที่ได้ยินมาช่วยชีวิตได้แล้ว ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่คนวางยาโหดเ**้ยมนัก ใช้พิษหงอนกระเรียนแดง พิษนี้รุนแรงมาก จำเป็นต้องนอนพักเป็นเวลาหนึ่งเดือน!”

 

 

เป่ยเฉินอี้นิ่งเงียบสักพัก ค่อยสั่งการเสียงขรึม “ไปสืบมา หาคนลงมือด้วย ดูสิว่านางถูกพิษจริง หรือเป็นเพียงละครฉากที่นางกำกับและแสดงเองกันแน่”

 

 

“หืม…” ชิงเกอชะงักเล็กน้อย นี่ยังเป็นการจัดฉากอีกหรือ

 

 

แต่ก็เป็นไปได้

 

 

เขารีบพยักหน้าทันที “ขอรับ!”

 

 

……

 

 

ณ เมืองหลวง ภายในวังหลวง

 

 

ฮ่องเต้ทรงจ้องมองสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางตำหนักเงียบๆ ตรัสถามว่า “เหยาฉือ เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ ซือถูเฉียงก็เป็นตัวอย่างอยู่ตรงหน้าแล้ว!”

 

 

สตรีที่ถูกเรียกว่าเหยาฉือเอ่ยปากตอบว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดดีแล้วเพคะ! หม่อมฉันจะต้องไปชายแดนให้ได้ เดิมทีหม่อมฉันก็เป็นสตรีเดียวดายไร้ที่พึ่งพา ไม่มีอะไรให้พะวงคิดถึง ดังนั้นจึงไม่มีความกลัว ขอให้ฝ่าบาททรงประทานอนุญาตด้วย!”