กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นไม่ใช่ตัวเดียวกับที่อยู่ในแหวนคลังเก็บ แต่รัศมีที่มันเปล่งออกมาเหมือนอีกตัวไม่ผิดเพี้ยน น่าสะพรึงกลัวเหมือนกันไม่มีผิด ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าเหตุใดเจ้ามนุษย์กระดาษในแหวนคลังเก็บของเขาจึงดีดดิ้นขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้น ความไม่แน่ใจและสับสนก็สะท้อนขึ้นในใจเขาขณะที่สายตายังจ้องมองไปยังเรือที่ลอยใกล้เข้ามา
เรือนี้…เป็นตัวแทนของสิ่งใดกัน
หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเรือนี้เป็นตัวแทนของอะไร แต่ชายหนุ่มรู้ว่า…ต้องมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ปริศนาภายในแหวนคลังเก็บแน่นอน กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนกับตัวที่อยู่บนเรือต้องเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งแน่!
พวกมันเป็นผู้ฝึกตนจากอารยธรรมเดียวกันอย่างนั้นหรือความคิดหนึ่งฉายวับขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนั้นกว้างใหญ่และอัดแน่นไปด้วยอารยธรรมจำนวนมหาศาล คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดอาศัยอยู่
อย่างไรก็ดี หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยแม้แต่น้อย ทั้งแขนขาของชายหนุ่มก็ผอมแห้ง กระดูกก็เปราะบาง แถมน้ำหนักของเขายังลดไปมากโข หวังเป่าเล่อไม่อาจทนต่อความยากลำบากได้อีกต่อไป ชายหนุ่มเตรียมจะหลบเลี่ยงเรือประหลาดหน้าตาน่ากลัวลำนั้น
หนุ่มสาวบนเรือลำนั้นเป็นพวกที่ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย การสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องอันตราย ข้าไม่สนใจว่าทำไมพวกเขาจึงอยู่บนเรือ หรือกำลังจะเดินทางไปที่ใด ไม่เกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อยหวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะถอยทันที
ชายหนุ่มบอกได้ว่าผู้โดยสารบนเรือไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา ต่างคนต่างก็เปล่งรัศมีเย็นยะเยือก แถมยังถูกจัดให้นั่งห่างๆ กัน ดูราวกับว่ามาจากคนละขั้วอำนาจ พวกเขาไหนเลยจะสัมผัสถึงตัวตนของหวังเป่าเล่อที่อยู่นอกเรือไม่ได้ แต่ถึงจะอย่างนั้น ดวงตาของทุกคนก็ปิดสนิท หากไม่ใช่เพราะรัศมีที่คนพวกนั้นแผ่ออกมา พวกเขาก็ดูเหมือนศพดีๆ นี่เอง
ไม่มีใครสนใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนเหล่านี้และหวังเป่าเล่ออยู่กันคนละโลกประหนึ่งช้างที่ไม่สนใจมดปลวก ความรู้สึกนั้นทำให้ชายหนุ่มอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่เขาก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่น้อย และเรือนั่นก็ดูน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อไม่อยากเฉียดเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจออกมาก่อนจะเร่งฝีเท้าหนีให้เร็วขึ้น พยายามถอยห่างจากเรือให้ไกลที่สุด
แต่…บางครั้ง ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอไป หวังเป่าเล่อพยายามเต็มที่ที่จะหนีให้เร็วที่สุด แต่ไม่เป็นผล เรือวิญญาณที่ลอยคว้างอยู่ไกลๆ นั้นประชิดตัวเขาเข้ามาทุกที ภาพของเรือพร่าเลือนทุกครั้งที่กระดาษรูปมนุษย์ขยับไม้พาย และในการจ้วงพายแต่ละครั้ง เรือก็ขยับไหลเข้ามาใกล้เขาขึ้นทุกขณะ
ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อขนลุกขนชันไปหมด ชายหนุ่มปล่อยวิชาแห่งศาสตร์มืดออกมาตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่เป็นผล พลังของเขาไม่ช่วยชะลอเรือลงแม้แต่น้อย เรือนั้นยังคงวูบวาบจางหายสลับกับปรากฏขึ้นมาใหม่ และขยับใกล้เข้ามาทุกทีๆ
เรือบัดซบนี่มันอะไรกันแน่หวังเป่าเล่อขนหัวลุกชา ชายหนุ่มกัดกรามแน่นและเตรียมตัวจะหนีไปอีกครั้ง
แต่ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เรือก็พร่าเลือนไปอีกคราว อึดใจต่อมา…เมื่อก็มันกลับมาชัดเจนอีก และทะยานข้ามจักรวาลมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!
ภาพนั้นทำเอาเหงื่อเย็นเยียบเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนหน้าผากของชายหนุ่ม รัศมีโบราณของเรือวิญญาณที่พุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย นัยน์ตาของชายหนุ่มเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง สีหน้าฉาบไปด้วยความตื่นกลัว…กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้น ที่ยืนอยู่บนหัวเรือและกำลังแจวเรืออยู่ จู่ๆ ก็นิ่งไป จากนั้นแทนที่จะจ้วงพายกระดาษลงไปในห้วงอวกาศ มันกลับเงยหน้าขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาที่เย็นเยียบและว่างเปล่า!
สายตาของมนุษย์กระดาษทำเอาหวังเป่าเล่อแข็งทื่ออยู่กับที่ ราวกับถูกสะกดด้วยพลังมหาศาล พลังปราณของชายหนุ่มสั่นคลอน ดวงวิญญาณเทพเริ่มกระสับกระส่ายไม่อยู่นิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงเส้นขนบนร่างที่ลุกชันพร้อมๆ กับคลื่นความกลัวที่ไหลบ่าไปทั่วกาย สัมผัสอันตรายที่คืบคลานเข้ามาเริ่มทำให้สัญญาณเตือนในศีรษะของชายหนุ่มดังลั่น
หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาอย่างไม่รอช้า ถึงขนาดต้องใช้เกราะมหาจักรพรรดิที่ยังไม่ทันฟื้นฟูเสร็จเพื่อเพิ่มความเร็วไปการหลบหนี
แต่…ก็ไม่เป็นผล!
เรือนั้นดูเหมือนจอดนิ่งอยู่กับที่ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะใช้ความเร็วเต็มที่ในการหลบหนี ถึงกระนั้น…ไม่ว่าชายหนุ่มจะเคลื่อนที่เร็วเพียงใด ระยะห่างระหว่างตัวเขาและเรือก็ยังเท่าเดิม เรือยังอยู่ตรงหน้าเขาเช่นเดิม เขารู้สึกราวกับว่าทั้งตัวเขาและเรือไม่ได้เคลื่อนที่ไปแต่อย่างใด
หวังเป่าเล่อตัวสั่นก่อนจะเคลื่อนย้ายตำแหน่งหนีอีกครั้ง แต่ในวินาทีถัดมา ทันทีที่เขาปรากฏขึ้นในตำแหน่งใหม่…เรือนั้นก็อยู่ตรงหน้าเขาอีก ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย กระทั่งสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ที่จับจ้องมาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง!
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อซีดขาวลงไปในทันที ชายหนุ่มกำลังจะพูดอะไรออกมาเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ยกมือซ้ายขึ้นส่งสัญญาณมาที่เขา เหมือนกับว่าจะชวนเขาขึ้นเรือ
เมื่อนั้นเองที่หนุ่มสาวบางคนบนเรือเปิดตาขึ้นและมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างประหลาดใจ ไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนที่มีปฏิกิริยากับการเชิญชวนนั้น แต่คนกว่าครึ่งต่างเปิดตาขึ้นก่อนจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยอาการประหลาดใจอย่างเปิดเผย
นอกจากความประหลาดใจแล้ว ผู้โดยสารบนเรือยังแสดงอารมณ์อื่นๆ อีก บ้างก็ดูห่างเหินไม่ใส่ใจ บ้างก็หรี่ตาจ้องมอง บ้างก็ดูสับสนไม่แน่ใจ ในขณะที่คนอื่นๆ แสดงความไม่เป็นมิตรออกมาชัดเจน บางคนก็ม้วนริมฝีปากขึ้นแสดงอาการดูหมิ่น
พวกเขาไม่ได้สนใจข้า เอาแต่นั่งเงียบงันอยู่บนเรือ แต่หลังจากที่มนุษย์กระดาษโบกมือเรียก พวกเขาจึงเริ่มสนใจ แถมยังดูแปลกใจกับอาการของเจ้ามนุษย์กระดาษอีกด้วย…แปลว่าพวกเขาคิดว่าข้าไม่สมควรได้ขึ้นเรือตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือกลไกในศีรษะของหวังเป่าเล่อทำงานอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มจ้องมองผู้โดยสารบนเรือสลับกับกระดาษรูปมนุษย์ผู้ที่ยังโบกมือเรียกเขาอยู่ไปมา ก่อนที่เขาจะยกมือประสานคารวะไปทางกระดาษรูปมนุษย์
“ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่ผู้ทรงเกียรติสำหรับความกรุณา แต่ตัวข้าผู้ต่ำต้อยมีธุระเร่งด่วนต้องไปสะสาง ไม่อาจจะร่วมขึ้นเรือไปด้วยได้ ข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ…” หวังเป่าเล่อพูดพลางขยับตัวเหมือนจะหนีไปอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะข้ออ้างของชายหนุ่มได้ผล หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่เรือไม่ได้มาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกเมื่อเขาเคลื่อนย้ายมายังจุดหนึ่งในจักรวาลที่ห่างออกมา เรือนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็มีคลื่นอารมณ์มากมายถาโถมขึ้นมาในใจแทบจะทันที ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตนปล่อยโอกาสทองหลุดมือไปหรือไม่…
เรือลำนั้นอาจเป็นเรือที่มุ่งหน้าไปสู่โอกาสทองก็เป็นได้…หาไม่แล้วจะมีผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมนั่งอยู่บนเรือตั้งมากมายเพราะเหตุใด แถมพวกเขายังดูตกใจด้วยเมื่อข้าถูกเชิญขึ้นไปบนเรือยิ่งหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้นเท่านั้น แต่หลังจากที่ครุ่นคิดไปสักระยะ เขาก็สรุปว่าเรือนั้นยังมีบางอย่างแปลกๆ อยู่นั่นเอง
สิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดว่าแปลกเกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาและตัวที่แจวเรืออยู่ ไหนจะเรื่องเรือวิญญาณลำนั้นอีก ชายหนุ่มคิดว่าเรือลำนั้นอาจเป็นโอกาสทอง แต่ก็อาจเป็น…การเดินทางสู่ความตายก็เป็นได้
แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญนัก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกกลัวแหวนคลังเก็บที่เขาได้มามากขึ้น ชายหนุ่มรีบผนึกมันซ้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผนึกที่เขาผนึกไว้บนแหวนก่อนหน้านี้จะถูกทำลายจนทำให้ตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผย แต่หวังเป่าเล่อก็เชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่เขาต้องทิ้งแหวนวงนี้ไป ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ตัดสินใจไม่จับแหวนคลังเก็บนี้อีกจนกว่าจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็พยายามปลอบใจตัวเองก่อนจะออกตัวมุ่งหน้าไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง
การคาดเดาของหวังเป่าเล่อนั้นถูกต้อง ตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผยออกมาจริงๆ เมื่อเจ้ากระดาษรูปมนุษย์พังผนึกออกมา ในอาณาเขตจักรวาลอันห่างไกล ด้วงสีทองขนาดยักษ์ที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านอวกาศตัวสั่นขึ้นมาพร้อมๆ กับผนึกที่ถูกทลายลง ก่อนจะเลี้ยวกลับหลังทันทีและมุ่งตรงไปยังตำแหน่งของหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง
ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นชานหลิงจื่อนั่งอยู่ในด้วงสีทองตัวนั้น ระดับปราณของเขาลดลงทำให้ขณะนี้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้น ข้างๆ เขาคือตันโจวจื่อ ผู้ที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ในใจที่จริงแล้วเต็มไปด้วยความโลภโมโทสัน คลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ขั้นต้นแผ่ออกมาจากกายเขาไม่หยุดหย่อน
“สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ ข้าเพิ่งจะสัมผัสตำแหน่งของแหวนคลังเก็บของได้ เจ้าโจรโง่งมคงพยายามเปิดมันอีกแน่ ถึงแม้เขาจะล้มเลิกความตั้งใจไปอย่างรวดเร็ว และข้าก็หาตำแหน่งของเขาไม่พบแล้ว แต่ข้าก็เชื่อว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง” ความอาฆาตฉายชัดอยู่ในแววตาของชานหลิงจื่อขณะที่เขาพูดรายงานสหายเรื่องตำแหน่งที่เพิ่งค้นพบ
“พวกเราอยู่ไม่ไกลแล้ว” ข้างกายเขานั้น ตันโจวจื่อยิ้มออกมาบางๆ เขาไม่ได้ซ่อนแววตาละโมบขณะขยับทิศทางของตัวด้วงทองที่กำลังพุ่งทะยานผ่านอวกาศไป อาณาเขตที่ชานหลิงจื่อบอกมานั้นกว้างเกินไป คงเป็นการยากที่จะบอกตำแหน่งแน่นอนของเป้าหมาย หากพวกเขาจะดั้นด้นค้นหาต่อไปเช่นนี้ คงใช้เวลานานมากกว่าที่พวกเขาจะค้นพบอะไรในอาณาเขตที่ชานหลิงจื่อบอกมา แต่…เหมือนว่าโชคชะตาจะอยู่ข้างพวกเขา หลังจากที่ตะลุยผ่านจักรวาลมาหลายวัน…ตาของชานหลิงจื่อก็เบิกโพลงด้วยความยินดี เขาสัมผัสได้ถึง…ตำแหน่งของแหวนคลังเก็บของตนอีกครั้ง!