ตอนที่ 638 ทักษะสาปวิญญาณ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ใบหน้าของหลัวหมิงซีซีดเผือดจนดูราวกับหมดลมหายใจไปชั่วขณะ หากมิใช่เพราะ ‘เดิมพัน’ ที่ตกลงกับฉินอวี้โม่ไว้ก่อนหน้านี้และนางให้คำมั่นว่าจะช่วยชีวิตเขา เกรงว่าหลัวหมิงซีคงถูกกำจัดโดยคนของหลัวหมิงรุ่ยเสียแล้ว

“พี่ใหญ่ช่างโหดเหี้ยมนัก… หลัวหมิงรุ่ยเจ้าคนชั่วช้า !”

เขากัดฟันแน่นและกล่าวออกไป เวลานี้หลัวหมิงซีตระหนักแล้วว่าคิดผิดไปจริง ๆ ที่เชื่อมั่นในตัวพี่ชายผู้โหดเหี้ยมของตน หากชนเผ่าเอลฟ์ตกอยู่ในมือของเขา เกรงว่าทุกอย่างคงเลวร้ายเกินควบคุม !

“คนผู้นี้คงจะเป็นนักฆ่าที่พี่ใหญ่ของเจ้าส่งมา เจ้าคิดว่าหากกำจัดเขาเสีย พี่ใหญ่ของเจ้าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้ขณะมองไปยังนักฆ่าในห้องนอกคฤหาสน์เฟิงหัวด้วยแววตาเย็นชาราวกับมองร่างที่ไร้วิญญาณ

“เอ่อ…”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลัวหมิงซีก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และตั้งสติ หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะสงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าหลังจากได้เห็นพลังความแข็งแกร่งอย่างไม่คาดคิดก่อนหน้านี้ หลัวหมิงซีก็ตระหนักได้แล้วว่าไม่ควรคลางแคลงใจในวาจาของฉินอวี้โม่อีกต่อไป ในเมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่านางมั่นใจแล้ว แม้นักฆ่าของหลัวหมิงรุ่ยจะทรงพลังมาก ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ลึกลับยากเกินหยั่งถึงอย่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เกรงว่าโอกาสคว้าชัยของเขาแทบไม่มีเหลือ

“โม่ฉือ ออกไปพบกับเขาสักหน่อยเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจับมือหานโม่ฉือมุ่งหน้าออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวในทันที

ภายในห้อง เมื่อนักฆ่าเห็นหลัวหมิงซีหายตัวไปอย่างกะทันหัน เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าตนถูกจับได้แล้ว ทว่าเมื่อหันหลังและเตรียมจะออกไป เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลกประหลาดของคนสองคนที่ปรากฏขึ้นมาในห้อง

“จิ๊จิ๊ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็อยู่ต่อก่อนเถอะ”

น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้นในหูของนักฆ่าชุดดำทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย

“เหอะ !”

เขาแค่นเสียงเย็นชาก่อนพุ่งตรงออกไปเพื่อที่จะฝ่าผ่านประตูที่อยู่ไม่ไกล อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะก้าวออกไปพ้น จู่ ๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป อสูรยักษ์ใหญ่ร่างหนึ่งที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนปรากฏตัวขึ้น มันพุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล

แน่นอนว่านักฆ่ามากฝีมืออย่างเขาไม่ประมาทแม้แต่น้อยและรวบรวมพลังของตนอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างม่านป้องกันตรงหน้าและขวางกั้นการโจมตีของอสูรยักษ์ใหญ่ดังกล่าวไว้

“ข้าวางข่ายอาคมมากมายหลายประเภทไว้ในระยะสิบลี้นี้ หากเจ้าคิดจะฝ่าผ่านข่ายอาคมเหล่านั้นคงต้องใช้เวลากว่าปีครึ่งเพื่อที่จะทะลวงผ่านข่ายอาคมทั้งหมดได้สำเร็จ หากไม่ระวังมากพอ เจ้าก็อาจต้องทิ้งชีวิตของตนเองไประหว่างนั้น การที่เจ้าเป็นนักฆ่า เจ้าก็คงจะเฉลียวฉลาดไม่น้อยและคงจะตัดสินใจได้เองว่าควรทำอย่างไร”

วาจาเปี่ยมด้วยความมั่นใจทว่าไม่แยแสของฉินอวี้โม่ดังขึ้นในหูของนักฆ่าผู้นั้นอีกครั้ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามแผนที่นางคาดไว้แล้วและนั่นทำให้หัวใจของนักฆ่าเกิดความหวาดหวั่นเล็กน้อย

เขาเป็นนักฆ่าขององค์ชายใหญ่ที่มีทั้งความสามารถและประสบการณ์โชกโชน ความเป็นความตายมิใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาและเขาก็ไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใด อย่างไรก็ตาม คำพูดเพียงสั้น ๆ ของฉินอวี้โม่กลับทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนอย่างประหลาด

“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ?”

เขาตอบโต้ด้วยเสียงแหบพร่าขณะหันหลังกลับและเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขาทราบดีว่าภายในห้องนี้คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตน

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าพวกข้าจะเป็นใครก็มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล ไม่ต้องห่วง…เราจะไม่ฆ่าเจ้าหรอกและเราต้องการส่งสาส์นบางอย่างกลับไปบอกหลัวหมิงรุ่ย ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เราจะเก็บเจ้าไว้สักสองสามวันก่อนปล่อยไป”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวแผนการที่วางไว้ ในตอนแรกนางคิดที่จะสังหารคนผู้นี้ในทันทีก่อนเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน นักฆ่าผู้นี้ยังมีประโยชน์พอให้เก็บไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ควรจะส่งข่าวทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่กลับไปที่คฤหาสน์องค์ชายใหญ่ เมื่อหลัวหมิงรุ่ยได้รับข่าว เขาจะรีบตัดสินใจตอบโต้อย่างรวดเร็วและการกระทำอย่างกะทันหันเช่นนั้นย่อมมาพร้อมกับข้อผิดพลาดบางอย่าง เมื่อถึงเวลานั้นมันจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกนาง

“ข้าไม่มีทางบอกสิ่งใด หากพวกเจ้าหวังข้อมูลใด ๆ จากข้าอยู่ละก็…ฝันไปเถอะ !”

นักฆ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้า ๆ ลักษณะท่าทางของเขาดูเยือกเย็นและไม่แยแส

“โอ้ ? หลัวหมิงซีคนเดียวก็เพียงพอ เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดหรอก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวต่อ “เชิญเจ้าอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขได้เลย อีกสามวันข้างหน้าจะมีใครสักคนมาที่นี่และปล่อยเจ้าไป หากเจ้าไม่มีอะไรทำก็ลองพยายามฝ่าผ่านข่ายอาคมของข้าดู จิ๊จิ๊ แต่นั่นมิใช่สิ่งที่ง่ายเลย แม้ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าก็คงไม่อาจฝ่าผ่านข่ายอาคมประเภทเดียวได้สำเร็จภายในเวลาสามวัน”

หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ฉินอวี้โม่ก็จับมือหานโม่ฉือและหายตัวไปจากห้องจนเหลือเพียงความว่างเปล่าอีกครั้ง

ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบ หานโม่ฉือไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายที่ทรงพลังและเยือกเย็นของเขาทำให้นักฆ่าผู้นั้นหวั่นใจไม่น้อย หากมิใช่เพราะหานโม่ฉืออยู่ด้วย เขาก็คงไม่หยุดนิ่งและฟังวาจาของฉินอวี้โม่อย่างเชื่อฟังและอาจหาทางโจมตีนางไปนานแล้ว

นักฆ่าชุดดำหยิบยันต์เคลื่อนย้ายของตนออกมาและมองดูมันอย่างพินิจพิจารณาครู่หนึ่งก่อนเก็บกลับตามเดิม จากนั้นเขาก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนออกจากตัวบ้านและเข้าสู่เขตข่ายอาคมที่ฉินอวี้โม่วางไว้

ในเมื่อสตรีผู้นั้นกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่าข่ายอาคมของนางน่าสนใจยิ่งนัก เขาก็อยากออกไปสำรวจมันด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรภารกิจในวันนี้ก็ล้มเหลวแน่ชัดแล้ว ไม่ว่าจะกลับไปช้าหรือเร็วก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของหลัวหมิงรุ่ยเท่านั้น ด้วยลักษณะนิสัยขององค์ชายใหญ่ ในตอนนี้เขาก็คงจะถูกสงสัยคลางแคลงใจอย่างแน่นอน หลังจากกลับไปครานี้ เห็นทีเขาควรพิจารณาออกจากที่นั่น

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ทราบความคิดในใจของนักฆ่าแม้แต่น้อย เวลานี้นางกำลังสืบถามความจากหลัวหมิงซีภายในคฤหาสน์เฟิงหัว

หลัวหมิงซีไม่ทราบข้อมูลและแผนการของหลัวหมิงรุ่ยมากนัก ทว่าครานี้เขาไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดอีกต่อไปและยอมบอกทุกอย่างที่ทราบต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยหวังว่าจะใช้การร่วมมือนี้เป็นข้อต่อรองเพื่อเอาตัวรอด

ยิ่งไปกว่านั้น เขาผิดหวังในตัวหลัวหมิงรุ่ยอย่างที่สุด เขาเชื่อว่าเวลานี้มีเพียงหลัวหมิงฮ่าวและฉินอวี้โม่เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตของตนได้

แท้ที่จริง แผนการของหลัวหมิงรุ่ยเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อน

ชาวเอลฟ์เป็นชนเผ่าที่สงบสุขอย่างยิ่ง ภายใต้การปกครองของราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยิน ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและราบรื่นมาตลอดเป็นเวลานานกว่าพันปีและนั่นเป็นสิ่งที่เอลฟ์ทั้งหมดสบายใจอย่างที่สุด

ราชินีเอลฟ์มีสามีสี่คนและให้กำเนิดองค์ชายและองค์หญิงสืบสกุลรวมทั้งหมดหกคน

บุตรชายสี่คนของนางเป็นคนเสียสละและมีความคิดทัศนคติที่ดี พวกเขาไม่เคยคิดทำในสิ่งชั่วร้ายและจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นภยันตรายต่อชนเผ่าเอลฟ์ของตน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ราชินีเอลฟ์ครองบัลลังก์นานขึ้นเรื่อย ๆ และแก่ชราลงเรื่อย ๆ ในที่สุดใครบางคนก็มีความคิดเป็นอื่น

หลัวหมิงรุ่ย—บุตรชายคนโตของราชินีเอลฟ์ผู้มีพรสวรรค์ความสามารถอันโดดเด่นและได้รับความรักจากราชินีเอลฟ์เป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าในฐานะบุตรคนโต เขาจะได้สืบทอดตำแหน่งราชาเอลฟ์คนต่อไปอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อน้องชายและน้องสาวเริ่มเติบโตขึ้น พวกเขาก็กลายเป็นภัยคุกคามที่ขึ้นมาแย่งชิงตำแหน่งนี้

หลัวหมิงหล่าง—องค์ชายรองของชนเผ่าเอลฟ์เป็นที่รู้จักในสมญานาม ‘เทพบุตรสงครามแห่งชนเผ่าเอลฟ์’ เขาเป็นคนองอาจกล้าหาญและชำนาญด้านการต่อสู้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนเที่ยงธรรมและเป็นที่เคารพของนักรบทั้งชนเผ่า

หลัวหมิงเฟย—องค์ชายสามของชนเผ่าเอลฟ์ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะธรรมดา ทว่าเขาก็ชาญฉลาดอย่างมาก เขามีความสามารถด้านกลยุทธ์ทางการทหารที่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังถ่อมตนและสุภาพอย่างมาก เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับความเคารพในหมู่เอลฟ์

หลัวหมิงซีและหลัวหมิงฮ่าวก็หมกมุ่นในเรื่องที่ตนสนใจเท่านั้นและไม่ได้มีชื่อเสียงในหมู่เอลฟ์มากนัก พวกเขามักไม่สนใจเรื่องของโลกภายนอกและไม่มีท่าทีว่าจะสนใจในตำแหน่งราชาแห่งเอลฟ์ซึ่งไม่ถือเป็นภัยคุกคามใด ๆ ต่อหลัวหมิงรุ่ย

ในทางกลับกัน หลัวอวิ๋นซี—องค์หญิงเล็กของชนเผ่าเอลฟ์ไม่เพียงแต่สืบทอดทัศนคติเช่นเดียวกับราชินีเอลฟ์เท่านั้น ทว่านางยังอาจหาญและมีความสามารถทัดเทียมกับบุรุษซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าผู้อาวุโสของชนเผ่าเช่นกัน นอกจากนี้ นางก็แสดงความสนใจต่อบัลลังก์ของชนเผ่าอย่างชัดเจนซึ่งทำให้หลัวหมิงรุ่ยรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมาก

ในวันหนึ่งเมื่อสามสิบปีก่อน หลัวหมิงรุ่ยตัดสินใจไปพบกับผู้อาวุโสที่เขาไว้วางใจอย่างมากและขอให้เขาช่วยเสนอชื่อตนให้สืบทอดตำแหน่งราชาเอลฟ์คนต่อไป ทว่าในตอนนั้นหลัวจื๋อยินกล่าวว่านางยังอายุน้อยอยู่และบุตรทั้งหกยังไม่โตมากพอ นางจึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว นอกจากนี้นางยังกระตุ้นมิให้บุตรของตนรีบร้อนไขว่คว้าหาความสำเร็จและเก็บเรื่องนั้นไว้ก่อน

หลัวหมิงรุ่ยคิดว่าราชินีเอลฟ์กล่าวเป็นนัยมิให้เขาคิดฝันเกินตัวในสิ่งที่ไม่ควรและนั่นเป็นการจุดชนวนที่ทำให้เขาคึกคะนองใจร้อนในเวลาต่อมา

ในเวลานั้นเขาได้ออกไปข้างนอกเป็นเวลาพักหนึ่ง และหลังจากกลับมา เขาก็เรียกพบคนที่ไว้วางใจทั้งหมดที่คฤหาสน์องค์ชายใหญ่

เขาไม่รอช้าและเริ่มวางแผนทันทีด้วยหวังว่าจะยึดบัลลังก์ครองตำแหน่งราชาเอลฟ์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับความเคารพจากทุกคน ในตอนแรกหยางเสวียนซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับแผนการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงรุ่ยก็ไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้นและยืนกรานที่จะดำเนินแผนการนี้ เขาบอกว่ามีคนภายนอกที่จะคอยช่วยเหลือเขา ดังนั้นเขาจึงลงมือกระทำการอย่างอาจหาญเช่นนี้

หลังจากนั้น แผนการของเขาก็เริ่มดำเนินการทีละขั้นตอน

อันดับแรก เขาส่งคนหลายคนเข้าไปแฝงตัวใกล้ชิดกับราชินีเอลฟ์เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวทั้งหมดและรายงานกลับไปที่ตนทุกอย่าง จากนั้นเขาก็ส่งคนออกไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของน้อง ๆ ทุกคน

หลังจากการเตรียมความพร้อมนานสามสิบปี เขาก็ออกไปนอกชนเผ่าอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ ไม่อาจทราบได้ว่าเขาติดต่อกับผู้ใดหรือทำสิ่งใดกับราชินีเอลฟ์ ทว่าจู่ ๆ หลัวจื๋อยินผู้เป็นมารดาของเขาก็หลับใหลและไม่ได้สติอีกเลย

สหายใกล้ชิดของราชินีเอลฟ์หลายคนสืบหาสาเหตุของอาการของนางทว่าไม่พบร่องรอยของอาการหรือโรคใด ๆ นอกจากนี้มันก็ยังไม่เหมือนถูกวางยาพิษและไม่มีอาการบาดเจ็บปรากฏให้เห็น ราวกับว่านางเพียงหมดสติไปและไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น

แผนการนี้เป็นความลับสุดยอด หลัวหมิงรุ่ยไม่เคยบอกหลัวหมิงซีมาก่อนและเขาก็ไม่ทราบเกี่ยวกับสาเหตุอาการของราชินีเอลฟ์ นอกจากนี้เขาก็ไม่ทราบถึงแผนการต่อ ๆไปของหลัวหมิงรุ่ยเช่นกัน

“ข้าบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ไปแล้ว แม้ข้าไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าหรือไม่ ทว่าข้าก็ให้สัญญาว่าข้าไม่ได้ปิดบังสิ่งใด”

หลัวหมิงซีมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างเป็นกังวล แท้ที่จริงเขาเชื่อว่าข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวออกไปล้วนได้รับการสืบความอย่างดี ทว่าเขาไม่มั่นใจว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะปล่อยตนไปหรือไม่

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองหน้ากันเล็กน้อยและวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าสองคราที่หลัวหมิงรุ่ยออกจากชนเผ่าเอลฟ์เป็นเบาะแสที่สำคัญอย่างยิ่ง เขาน่าจะนัดพบและร่วมมือกับใครสักคนและคนผู้นั้นน่าจะมีสถานะสูงพอสมควรในชนเผ่าเอลฟ์ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นน่าจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าบังเอิญได้ยิน ครานั้นที่ข้าไปที่คฤหาสน์องค์ชายใหญ่ ข้าได้ยินหลัวหมิงรุ่ยและหยางเสวียนหารือกันเกี่ยวกับ ‘ทักษะสาปวิญญาณ’ ข้าสงสัยว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้กับท่านแม่จนหลับใหลไม่ได้สติเช่นนี้”

เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลัวหมิงซีก็เริ่มกล่าวเสริมทันที

“ทักษะสาปวิญญาณงั้นรึ ?”

เมื่อทั้งสามได้ยินคำนี้ พวกนางก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนสีหน้ากลายเป็นความตึงเครียดและจริงจังอย่างรวดเร็ว .