ตอนที่ 637 องค์ชายใหญ่ผู้ชั่วช้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ เมืองราชวงศ์เอลฟ์ ภายในคฤหาสน์องค์ชายใหญ่เวลานี้ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศมืดหม่นดั่งกลุ่มเมฆทะมึนเข้าครอบงำ

ปัง !

“หลัวหมิงซี เจ้าโง่นั่น ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จมีไม่พอ ทว่าความสามารถในการทำลายงานกลับมีอยู่อย่างล้นเหลือ !”

หลัวหมิงรุ่ยตบโต๊ะตรงหน้าและลุกพรวดยืนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

ในตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าเขาคือบุรุษชราคนหนึ่งซึ่งมีพลังในขอบเขตนภาเซียน เขาคือจอมยุทธ์ที่ปลีกตัวออกมาจากฝูงชนก่อนหน้านี้

บุรุษชราผู้นี้เป็นผู้ที่หลัวหมิงรุ่ยส่งไปจับตาดูการเคลื่อนไหวทั้งหมดของหลัวหมิงซี สำหรับเรื่องที่หลัวหมิงซียกพวกบุกไปก่อเรื่องที่เผ่าอู๋เหวยนั้น หลัวหมิงรุ่ยก็ทราบตั้งแต่ต้นและตั้งตารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างสบายใจ

เช่นเดียวกับหลัวหมิงซี เขาเชื่อว่าหลัวหมิงฮ่าวเป็นเป้าหมายที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย ต่อให้มีจอมยุทธ์ลึกลับที่ไม่ทราบตัวตนอีกสองคนคอยช่วยเหลือ เขาก็เชื่อว่าหลัวหมิงฮ่าวก็คงจะมิใช่คู่มือของหลัวหมิงซีน้องชายแท้ ๆ ของเขา อย่างไรก็ตาม แม้แต่เขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าครานี้หลัวหมิงฮ่าวจะโต้ตอบอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันและไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย และสุดท้ายตอนนี้หลัวหมิงซีก็ตกไปอยู่ในกำมือของหลัวหมิงฮ่าวแล้ว

หากหลัวหมิงซีเปิดเผยสิ่งใดออกไป มันจะทำลายแผนการของเขาอย่างแน่นอน

“องค์ชายไม่ต้องกังวล แม้องค์ชายสี่จะยโสโอหัง เขาก็มิใช่คนเขลา เขาน่าจะทราบดีว่าควรกล่าวหรือไม่กล่าวสิ่งใด เว้นเพียงแต่ว่าองค์ชายห้าจะจับเขาทรมานเพื่อบีบเค้นความลับจากเขา เราก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล”

หัวหน้าที่ปรึกษาขององค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนนามว่า ‘หยางเสวียน’ กล่าวขึ้นเบา ๆ บุรุษผู้นี้มีรูปลักษณ์ธรรมดาทั่วไปซึ่งง่ายที่จะถูกละเลยหรือมองข้าม อย่างไรก็ตาม แววตาที่ดูเหมือนสามารถมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งของเขาดูน่าหวั่นใจเล็กน้อย

“อย่าว่าแต่ถูกทรมานเลย น้องสี่ของข้าอดทนต่อความยากลำบากใด ๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ สำหรับน้องห้า ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้เลย หากเขาทรมานหลัวหมิงซีเพื่อบีบเค้นข้อมูลจริง ๆ หลัวหมิงซีจะไม่ปริปากออกมารึ ? ข้าว่านั่นก็ไม่แน่เสมอไป !”

หลัวหมิงรุ่ยยิ้มอย่างเย็นชาขณะทิ้งตัวนั่งลงอย่างช้า ๆ และเคาะนิ้วเรียวลงบนโต๊ะตรงหน้าราวกับกำลังใช้ความคิด

“ส่งคนไปที่เผ่าอู๋เหวย สำหรับบุคคลที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้”

เขากล่าวขึ้นเบา ๆ และทำท่าลากนิ้วมือผ่านลำคอของตนเอง ราวกับเขามองหลัวหมิงซีเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่เคยไม่สนใจแม้แต่น้อย

หยางเสวียนไม่แปลกใจกับการตัดสินใจดังกล่าวและพยักศีรษะตอบรับเบา ๆ เขาทราบถึงความโหดเหี้ยมและความไร้ความปรานีของหลัวหมิงรุ่ยดีกว่าใคร แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าและน้องชายแท้ ๆ ก็เป็นได้เพียงหมากในเกมสำหรับเขา หลัวหมิงรุ่ยจะเก็บคนเหล่านั้นไว้เมื่อมีประโยชน์ ทว่าเมื่อผ่านพ้นเวลานั้นและหมดประโยชน์ที่เคยมี เขาก็จะไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนเหล่านั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

บัดนี้หลัวหมิงซีตกอยู่ในการควบคุมของหลัวหมิงฮ่าวซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อแผนการของเขา ถึงอย่างไรผู้ที่ตายไปแล้วคือผู้ที่เก็บความลับได้ดีที่สุดและการตัดสินใจที่เด็ดขาดเช่นนี้ก็ตรงตามลักษณะนิสัยปกติของหลัวหมิงรุ่ย

ทันใดนั้นใครบางคนก็รับคำสั่งและจากไปทันที คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและชำนาญในด้านทักษะการลอบสังหาร ทุกภารกิจที่หลัวหมิงรุ่ยมอบให้เขาล้วนประสบผลสำเร็จและเขาไม่เคยต้องกังวลสิ่งใด

“ท่านหยาง ตอนนี้แผนการของเราดำเนินไปถึงไหน ?”

หลัวหมิงรุ่ยมองไปที่หยางเสวียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพพอสมควร สถานะของผู้นี้ในคฤหาสน์องค์ชายใหญ่ถือว่าสูงอย่างมาก หลัวหมิงรุ่ยต้องพึ่งพาเขาในหลาย ๆ เรื่องและแน่นอนว่าเขาค่อนข้างเคารพหยางเสวียน

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทว่าก็ใกล้เต็มทีแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง องค์ชายใหญ่จะครองตำแหน่งราชาคนใหม่และควบคุมชนเผ่าเอลฟ์ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องเตือนองค์ชาย…”

หยางเสวียนหยุดชั่วคราวก่อนกล่าวต่อ “ลุงของท่าน…ท่านควรจับตาดูเขาไว้ให้ดี และท่านควรจับตาดูบุคคลที่ท่านร่วมมือด้วยเช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นที่นั่นและแผนการของเราล้มเหลว เราคงไม่อาจรับมือกับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้”

เขารู้สึกอยู่เสมอว่าความเงียบสงบในที่แห่งนั้นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดไม่น้อย ท่านลุงของหลัวหมิงรุ่ยมิใช่บุคคลธรรมดา ต่อให้จะพยายามควบคุมเขาไว้ มันก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ตาสว่างหรือรับรู้ความจริงขึ้นมา หากเขาทราบถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้วยพลังอำนาจของเขา คาดการณ์ได้ว่าคงจะไม่มีใครในทั่วทั้งชนเผ่าเอลฟ์ที่จะเป็นคู่มือให้กับเขาได้

“ไม่ต้องห่วง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะมีคนรายงานข้าอย่างแน่นอน”

หลัวหมิงรุ่ยกล่าวอย่างไม่แยแสเท่าใดนัก แม้ว่าท่านลุงของเขาจะมีพลังมหาศาล ทว่าตอนนี้เขาก็เป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งและไม่มีความสำคัญใด ๆ หากมิใช่เพราะความยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อของตัวเขาเอง เขาก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เมื่อได้ยินวาจาของหลัวหมิงรุ่ย หยางเสวียนก็ไม่ถามสิ่งใดให้มากความอีกต่อไป

ณ อีกฟากหนึ่งของชนเผ่าเอลฟ์ เผ่าอู๋เหวยยังคงดำเนินไปเช่นเดิมและไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด

เมื่อสามวันก่อน หลัวหมิงซีสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่หน้าเผ่า ทว่าข่าวที่ว่าหลัวหมิงฮ่าวระงับเหตุการณ์ไว้ได้อย่างง่ายดายก็แพร่ไปทั่วทั้งชนเผ่าเอลฟ์ ชื่อของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็แพร่ไปทั่วเช่นกันจนกลายเป็นผู้ที่ทั้งชนเผ่าให้ความสนใจกันไม่น้อย

ภายในห้องของบ้านหลังหนึ่ง หลัวหมิงซีกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่กับที่โดยไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

“หลัวหมิงซี ผ่านมาสามวันแล้ว ยังมั่นใจอยู่อีกหรือไม่ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะส่งคนมาช่วย ?”

ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าวเปิดประตูห้องก่อนเดินเข้ามาอย่างสบาย ๆ พวกเขามิได้กักขังหลัวหมิงซีทว่าจัดเตรียมให้เขาอยู่ในบ้านหลังนี้แทน

รอบตัวบ้านเต็มไปด้วยข่ายอาคมหลายประเภท เพราะเหตุนั้น แม้ว่าเข้ามาได้ง่าย ๆ ทว่าการออกไปจากที่นี่ก็เป็นไปได้ยากยิ่งนัก หากหลัวหมิงซีต้องการหลบหนีออกไป เขาไม่มีทางผ่านพ้นประตูไปได้ด้วยซ้ำและฉินอวี้โม่ทราบจุดประสงค์ของเขาเป็นอย่างดี

“เหอะ พี่ใหญ่จะส่งคนมาช่วยข้าแน่ !”

หลัวหมิงซีแค่นเสียงเย็นชาทว่าน้ำเสียงเจือด้วยความไม่มั่นใจบางอย่าง เขาเริ่มลังเลในตัวพี่ใหญ่ของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ และสงสัยใคร่รู้ว่าหลัวหมิงรุ่ยผู้ไม่เคยแยแสความเป็นความตายของผู้ใดจะสนใจความปลอดภัยของตนหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงสามวันที่ผ่านมา เขาก็ลองไตร่ตรองถึงลักษณะนิสัยของพี่ชายอย่างจริงจังและยิ่งคล้อยตามมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าพี่ชายของเขาอาจส่งคนมาฆ่าปิดปากตนเองได้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หัวใจของหลัวหมิงซีจึงเต็มไปด้วยความกังวลตลอดเวลาที่ผ่านมา หากมิใช่เพราะยังมีความเชื่อในตัวพี่ชายอยู่เล็กน้อย เกรงว่าเขาคงไม่อาจอดทนกับความกดดันได้อีกต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ คาดว่าคนผู้นั้นที่เขาส่งมาจะมาปลิดชีพเจ้าในคืนนี้ สำหรับเดิมพันของเรา…เจ้าจะเป็นผู้แพ้”

ฉินอวี้โม่ยังคงยิ้มอย่างมั่นใจไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากคำนวณเวลาที่ผ่านมา หากหลัวหมิงรุ่ยส่งใครมาจริง มันก็ใกล้ถึงเวลาเต็มทีแล้ว นางทราบมาว่าใกล้ตัวของหลัวหมิงรุ่ยมีมือสังหารที่ทรงพลังอย่างมากคนหนึ่งอยู่และฉินอวี้โม่ต้องการประจันหน้ากับคนผู้นั้นด้วยตัวเอง

“ฉินอวี้โม่ หากมีใครบางคนมาที่นี่และต้องการฆ่าข้าจริง ๆ เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่ ?”

หลัวหมิงซีกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความวิงวอนเล็กน้อย เขาไม่ต้องการเอาชีวิตของตนมาทิ้งไว้ที่นี่ และหากหลัวหมิงรุ่ยส่งคนมาสังหารเขาจริง หลัวหมิงซีก็หวังว่าตัวเขาจะรอดพ้นไปได้

“ไม่ต้องห่วง เจ้ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายไปง่าย ๆ หรอก อย่างไรก็ตาม เจ้าควรมั่นใจว่าข้อมูลที่เจ้ามีจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา มิฉะนั้น…ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการเจ้าด้วยตัวเอง”

ฉินอวี้โม่กล่าวทิ้งท้ายเพียงแค่นี้และจากไปพร้อมหานโม่ฉือ อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงฮ่าวยังไม่กลับออกไป เห็นได้ชัดว่าเขามีบางอย่างที่ต้องการพูดคุยกับหลัวหมิงซี

“น้องห้า…”

เมื่อมองหลัวหมิงฮ่าวในตอนนี้ สายตาของหลัวหมิงซีไม่มีความดูหมิ่นในอดีตหลงเหลืออีกต่อไปและน้ำเสียงเริ่มหนักแน่นมากขึ้น ที่ผ่านมาน้องห้าของเขาตบตาพี่น้องทุกคนได้อย่างแนบเนียน การประจันหน้ากันในวันนั้นช่วยให้หลัวหมิงซีตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของหลัวหมิงฮ่าวในตอนนี้เหนือชั้นกว่าตัวเขามากนัก แม้แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ของชนเผ่าเอลฟ์อย่างองค์ชายสองหลัวหมิงหล่างก็อาจยังด้อยกว่าเขา

“พี่สี่ ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ทว่าการที่ท่านต้องการทำร้ายท่านแม่…นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจยอมรับได้ !”

หลัวหมิงฮ่าวขมวดคิ้วมุ่น ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตัวเขาและเขายังไม่อาจทำใจสังหารหลัวหมิงซีได้

“ฮ่า ๆ ๆ ตั้งแต่เด็ก ราชินีเอลฟ์ก็รักเจ้ามากกว่าข้ามาเสมอ นางไม่สนใจข้าเลยสักนิดและข้าก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับนางนัก อย่างไรก็ตาม ข้าสาบานเลยว่าข้ารู้แผนการของพี่ใหญ่เพียงบางอย่างเท่านั้นและข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อท่านแม่ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือการที่ข้าไม่ได้ขัดขวางพี่ใหญ่ไว้และปล่อยให้ท่านแม่ถูกทำร้าย หากยังเป็นไปได้…ข้าขอร้องให้น้องห้าไว้ชีวิตข้าเถอะ !”

หลัวหมิงซียิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญา เขามิได้รู้สึกรักใคร่และผูกพันกับมารดาอย่างราชินีเอลฟ์เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรสตรีผู้นั้นก็เป็นมารดาของเขาและหลัวหมิงซีไม่เคยทำร้ายนางด้วยตนเอง เขาเพียงทราบแผนการบางส่วนของหลัวหมิงรุ่ยทว่าไม่เคยเข้าร่วมด้วย

“ท่านคิดว่าท่านแม่ไม่รักท่านอย่างนั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของหลัวหมิงซี หลัวหมิงฮ่าวก็หัวเราะเบา ๆ กับตัวเองทันที

“หากนางไม่รักท่าน นางจะยอมปล่อยให้ท่านทำตัวตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า ? ต่อให้ท่านทำสิ่งที่น่าอับอายหลายครา นางก็ไม่เคยลงโทษท่านอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงสักครั้ง การที่ข้าได้รับความรักมากกว่าตั้งแต่เด็กเป็นเพราะท่านแม่เห็นใจที่ข้าไม่มีพ่อ ไม่คิดเลยว่าท่านจะเข้าใจท่านแม่ผิดเพราะสิ่งนี้”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีกและหันหลังกลับเพื่อจากไป หลายสิ่งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องกล่าวบรรยายเป็นคำพูดออกไป หากอีกฝ่ายสนใจอยากทราบจริง เขาก็สามารถถามหาความจริงได้

“ข้า…”

หลัวหมิงซีเงยหน้ามองแผ่นหลังของน้องชายทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบโต้ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาป่วยไข้ในวัยเด็กและมารดาป้อนโอสถให้ด้วยตัวเอง จู่ ๆ เขาก็ตระหนักว่าความน้อยเนื้อต่ำใจตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้นผิดถนัด ! ทุกอย่างที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดเป็นเพียงข้ออ้างที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น

หลัวหมิงซีนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนและใช้ความคิดอยู่ในห้องนั้นต่อไป…

หลังพระอาทิตย์ตกดินในคืนนั้น ทุกอย่างตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบและเผ่าอู๋เหวยนิ่งเงียบไม่มีการเคลื่อนไหว ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏกายนอกบ้านที่หลัวหมิงซีพักอยู่ซึ่งเป็นบุรุษสวมผ้าคลุมสีดำและไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน กลิ่นอายจากร่างกายของเขาถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน หากเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าจะไม่มีทางค้นพบตัวตนของเขาได้เลย

หลัวหมิงซียังคงลืมตาตื่นโดยที่ไม่นอนหลับตลอดทั้งคืนเพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวข้างนอก ทันทีที่คนผู้นั้นปรากฏตัว เขาก็สัมผัสได้ทันที

“องค์ชายสี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ?”

น้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาดังขึ้นในหูของเขาจนฟังดูเย็นยะเยือกน่าขนลุก

“เจ้านั่นเอง !”

หลัวหมิงซีจำตัวตนของคนผู้นั้นได้ตั้งแต่แวบแรก เขาคือนักฆ่าลึกลับที่อยู่ในการปกครองของพี่ใหญ่ของเขานั่นเอง ทว่าในตอนนี้เขารู้สึกถึงความเยือกเย็นน่าขนลุกไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่จะส่งคนมากำจัดตนจริง ๆ !

“องค์ชายสี่ ขออภัยด้วย หากจะคิดโทษใครก็คงโทษได้เพียงตัวท่านที่ทราบแผนการมากเกินไป”

จิตสังหารแรงกล้าแผ่มาจากร่างของคนผู้นั้นและกระบี่เล่มยาวปรากฏในมือของเขาก่อนเหวี่ยงตรงเข้าโจมตีหลัวหมิงซีตรงหน้า

“จิ๊จิ๊ หลัวหมิงซี ข้าบอกแล้วว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะต้องส่งคนมาฆ่าเจ้าแน่นอน”

น้ำเสียงบ่งบอกถึงความพึงพอใจดังขึ้นในหูของนักฆ่าผู้นั้นก่อนพบว่าหลัวหมิงซีไม่อยู่ตรงหน้าตนอีกต่อไป

.