ตอนที่ 599 อสูรสิงโตพยัคฆ์ โดย Ink Stone_Fantasy
“ชั้นสามสิบห้าเป็นปีศาจระดับของเหลวขั้นปลายสี่ตัว พลังที่แท้จริงเหนือกว่าระดับผลึกขั้นต้น ประกอบกับการที่ไม่สามารถนำอสูรเลี้ยงกับหุ่นอื่นๆ เข้าไปช่วยได้ และผู้ฝึกฝนสายกระบี่ก็ใช้พลังเวทค่อนข้างมาก เจ้าสามารถบุกไปถึงชั้นสามสิบห้าได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” เหยียนหลงเฟยมองดูทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ซาทงเทียนหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ขณะนั้นเอง ศิษย์หญิงยอดเขาเลื่อนลอยที่อยู่บริเวณนั้นกลับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจ เมื่อมองตามสายตาของพวกนางไป จะเห็นว่าอักขระอีกตัวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบห้าดับมืดลง จากนั้นอักขระบนชั้นที่สามสิบหกก็เปล่งแสงออกมา
“ศิษย์น้องเจียหลานบุกขึ้นไปถึงชั้นที่สามสิบหกแล้ว!” ศิษย์หญิงชุดสีขาวที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยความปลาบปลื้ม
หลงเหยียนเฟยได้ยินก็มองไปยังชั้นสามสิบหกเช่นเดียวกัน
และใบหน้าซีดขาวของซาทงเทียนก็เผยสีหน้าตกใจออกมา ดวงตาของเขาเป็นประกาย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
คนที่อยู่ในเจดีย์อีกคนก็คือเจียหลานนั่นเอง
ศิษย์สายในของยอดเขาอื่นๆ อีกสองสามคน ก็พากันกระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่งดูเหมือนว่ากำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเจียหลานอยู่
……
ขณะที่เจียหลานบุกไปถึงชั้นที่สามสิบหกนั้น หลิ่วหมิงก็บุกมาถึงชั้นที่ยี่สิบหกแล้ว
ตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไป หลิ่วหมิงรู้สึกว่าห้องโถงจะกว้างใหญ่กว่าเดิมไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีพื้นที่บริเวณรอบๆ หลายลี้
และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าในตอนนี้ก็คือหุ่นนักรบระดับของเหลวขั้นกลางจำนวนสองตัว ดูเหมือนว่าหุ่นทั้งสองจะรู้ใจกันมาก หนึ่งในนั้นถือกระบี่ยักษ์สีฟ้าที่ยาวสองสามจั้ง อีกตัวก็ถือโล่ยักษ์สีแดงขนาดจั้งกว่าๆ
แม้จะบอกว่าเป็นหุ่นระดับของเหลวขั้นกลาง แต่หลิ่วหมิงยังคงไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น ภายใต้การสั่นสะท้านของกระบี่สีเทาในมือ ปราณกระบี่สีเทาจำนวนมากก็ม้วนตัวออกไป
แต่ทว่าพอหุ่นสองตัวนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็พอที่จะหลบการโจมตีจากวิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงได้ และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงทันที
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แววสังหารปรากฏในดวงตา และร่างของเขาก็พร่ามัวมาอยู่ตรงหน้าหุ่นตัวหนึ่ง
ดูเหมือนว่าหุ่นตัวนี้จะปราดเปรียวเป็นอย่างมาก และไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ แต่กลับพุ่งถอยออกไป ส่วนหุ่นตัวที่ถือโล่ยักษ์สีแดงก็กระพริบมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนคาถาในทันที พอคว้ามือข้างหนึ่งไปข้างหน้า ฝ่ามือยักษ์สีดำข้างหนึ่งก็โจมตีออกไป
“ตู้ม!” หมอกดำพุ่งขึ้นฟ้า มีแสงทรงกลดสีแดงปะปนอยู่ในนั้น ซึ่งก็คือแสงสีแดงที่โล่ยักษ์ปล่อยออกมานั่นเอง
มีเพียงรอยเล็บจางๆ ปรากฏบนผิวโล่สีแดงสามเส้นเท่านั้น แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว หากใช้วิชาขี่กระบี่ในตอนนี้ล่ะก็ คงจะเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่พลังเวทก็จะสูญเสียไปไม่น้อย ตอนนี้เข้าใกล้ชั้นที่สามสิบแล้ว จะต้องลดการใช้พลังเวทหน่อย
เพราะหลังจากโจมตีหุ่นในห้องโถงจนพ่ายแพ้แล้ว ก็จะถูกส่งไปต่อสู้ยังชั้นถัดไปทันที
หลังจากหลิ่วหมิงกลอกลูกตาไปมาแล้วก็วางแผนไว้ในใจ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัว
ครู่ต่อมา เขามาปรากฏตัวตรงหน้าหุ่นที่ถือกระบี่ยักษ์สีฟ้าอีกครั้ง
แต่พอหุ่นตัวนี้เห็นเช่นนี้กลับไม่คิดจะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย มันหมุนตัวทันทีเพื่อคิดหลบหนี แต่เงาสีเทาก็พุ่งเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง
ขณะนั้นเอง ปราณกระบี่รูปเกลียวก็พุ่งออกจากมือหลิ่วหมิง มันคือเคล็ดดัชนีกระบี่ที่หลิ่วหมิงแอบก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว
“ตู้ม!”
ปราณกระบี่ไร้รูปสายหนึ่งกระพริบผ่านไป กระบี่ยักษ์เจาะทะลุหัวของหุ่นร่างมนุษย์ และขณะนี้มันหยุดชะงักอยู่ในท่าวิ่งหนีอยู่ จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง
ขณะเดียวกัน หุ่นที่ถือโล่ยักษ์สีแดงก็เพิ่งเข้ามาถึง แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง
หลังจากหลิ่วหมิงโจมตีสำเร็จแล้ว ร่างของเขาก็หายวับออกไปหลายจั้ง และหยิบโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ดอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็หยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมากำไว้ในมือหนึ่งก้อน เพื่อใช้ฟื้นฟูพลังเวท
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดจะเยื้อเวลาให้ยาวออกไปนั้น หุ่นที่เดิมทีอาศัยการป้องกันเป็นหลักโดยไม่ค่อยลงมือโจมตี ก็กระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่าหน้านั้นหนึ่งเท่า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง เขาจึงกระตุ้นเคล็ดวิชาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทำให้ไอหมอกดำม้วนออกจากตัว ในระหว่างที่ร่างของเขาเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วนั้น ก็ฟันโล่ยักษ์สีแดงที่พุ่งเขามาจนขาด จากนั้นก็ฟันลงบนคอของหุ่นตัวนี้อย่างรุนแรง
“ตู้ม!” หุ่นร่างมนุษย์ระเบิดตัวออกมาโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงโจมตี
ภายใต้ความตกใจ หลิ่วหมิงรีบกระตุ้นไอดำอันพวยพุ่งให้คุ้มกันร่างไว้ และพุ่งถอยออกไปทันที
ขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงดังอยู่ข้างหู แสงสีเขียวม้วนตัวตรงใต้เท้า และภาพตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำ
เมื่อเขามองเห็นทุกอย่างชัดเจนอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองมาปรากฏตัวที่ชั้นยี่สิบเจ็ดแล้ว
……
ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม การต่อสู้ท่ามกลางเจดีย์ซวีหลิงบนชั้นที่สามสิบหกก็กำลังดำเนินอย่างดุเดือด
ภายในห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยระลอกคลื่นสีฟ้าเป็นชั้นๆ ในระหว่างที่แสงสีฟ้าเปล่งประกาย เงาร่างหญิงสาวชุดสีฟ้าสิบกว่าเงา ก็กำลังหลบหลีกแสงสีแดงเจิดจ้าที่พุ่งเข้ามาอยู่
ทันใดนั้น คลื่นอัคคียักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้ง ก็พุ่งมาทางด้านหลังของเงาร่างสีฟ้า ดูเหมือนจะปกคลุมเงาร่างทั้งหมดไว้ในนั้น
ขณะนี้ เงาร่างสีฟ้าก็รวมตัวกันเป็นชั้นๆ เผยให้เห็นเงาร่างอรชรสีฟ้าของหญิงนางหนึ่ง จากนั้นยันต์ผืนหนึ่งก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของนาง และกลายเป็นเกราะป้องกันสีทองจางๆ คลุมนางไว้
ครู่ต่อมา คลื่นยักษ์สีแดงก็พวยพุ่งเข้ามาถึง!
“โครมคราม!”
เกราะป้องกันสีทองสั่นสะท้านเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมามั่นคงเช่นเดิม
คลื่นยักษ์ม้วนตัวไปด้านหลัง พอแสงดับลง ปีศาจอสูรครึ่งสิงโตครึ่งพยัคฆ์ก็มาปรากฏเหนือศีรษะของหญิงชุดฟ้า มันคำรามเสียงออกมา หลังจากมีแสงเปล่งประกายในแววตา มันก็อ้าปากพ่นสายฟ้าสีเงินฟันลงไป
หญิงสาวชุดฟ้ากระตุ้นพลังเวทใส่เกราะป้องกันสีทองด้วยความตกใจ
“เพล้ง!”
เกราะป้องกันสีทองยืนหยัดได้เพียงพริบตาเดียว ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้การทำท่ามือของหญิงชุดฟ้า ร่างของนางก็กลายเป็นแสงสีฟ้าพุ่งออกไปด้านหลัง
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง พายุบ้าระห่ำสีแดงสามลูกที่สูงหลายจั้งได้ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ พริบตาเดียวก็พัดมาด้านหลังของนาง และปิดทางหนีไว้……
ครู่ต่อมา สายรุ้งสีเขียวก็พุ่งออกจากเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก และกระแทกใส่ต้นไม้ที่อยู่ห่างจากเจดีย์ไปไม่ไกล
“ตุ๊บ!”
หลังจากแสงสีเขียวดับลง หญิงสาวชุดฟ้าก็ค่อยๆ ร่วงลงจากต้นไม้ นางก็คือเจียหลานที่ถูกเจดีย์ซวีหลิงถีบออกมานั่นเอง
แต่ว่าใบหน้างดงามของนางไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย ดวงตางดงามทั้งคู่ปิดสนิท กลิ่นไอบนตัวก็ดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หญิงชุดขาวที่อยู่นอกเจดีย์รีบพุ่งออกจากกลุ่มคนมาอยู่ตรงหน้าเจียหลานทันที นางนำยันต์สีขาวมาขยี้แล้วนำมาแปะไว้บนหน้าอก จากนั้นแสงสีขาวอันนุ่มนวลก็ปรากฏออกมา
หลังจากเปล่งประกายไม่กี่ที ใบหน้าของเจียหลานถึงดูดีขึ้นเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ซาทงเทียนก็หายวับมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง และส่งยันต์รักษาเข้าไปในร่างของนาง จากนั้นศิษย์ยอดเขาเลื่อนลอยคนอื่นๆ ก็ทยอยกันเข้ามา
“ขอบคุณศิษย์พี่อิน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั้งสี่ตัวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก แต่ละตัวจะมีพลังไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกเลย ทั้งยังมีคุณสมบัติสี่ประการ พอมันรับมือไม่ได้ก็ใช้วิชารวมร่างเป็นอสูรสิงโตพยัคฆ์ตัวหนึ่งที่มีพลังระดับแก่นเสมือน วิชาที่ข้ามีทำอะไรมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ดูเหมือนว่าเจียหลานจะได้รับบาดเจ็บไม่มาก ภายใต้การประคองของหญิงชุดขาว หลังจากนางนั่งตัวตรงได้แล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าเสียดายเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าเพิ่งทะลวงระดับผลึกมาได้ไม่นาน สามารถบุกไปถึงเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ปีนั้นศิษย์พี่บุกไปถึงชั้นที่สามสิบสี่ก็ถูกส่งตัวออกมาแล้ว” หญิงชุดขาวพูดปลอบโยนเบาๆ ขณะเดียวกันก็หันไปมองซาทงเทียนทีหนึ่ง
“เอ๊ะ! ไม่รู้ว่าศิษย์ระดับของเหลวที่สามารถผ่านด่านชั้นที่สามสิบหกได้ เป็นคนประเภทใดกันแน่” เจียหลานถอนหายใจเบาๆ
หลังจากซาทงเทียนเห็นว่าเจียหลานไม่เป็นอะไรมากแล้ว ก็หันไปมองอักขระบนเจดีย์ชั้นสามสิบสี่ที่เปล่งประกายออกมา
“ศิษย์พี่หลง ไม่ทราบว่านอกจากข้ากับเจียหลานแล้ว ยังมีใครบุกเจดีย์อยู่หรือไม่ ทั้งยังบุกไปถึงชั้นที่สามสิบสี่ด้วย” ซาทงเทียนถามออกมาทันที
ขณะนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนบุกเจดีย์อีกคนจริงๆ ทั้งยังเป็นแค่ศิษย์สายนอกที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น
“ศิษย์น้องหลิ่วมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย คิดไม่ถึงว่าจะบุกถึงชั้นที่สามสิบสี่ได้ ช่างมีพลังยอดเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นอันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่” หลงเหยียนเฟยเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“อะไรนะ! ท่านพูดถึง…… หลิ่วหมิง?” ซาทงเทียนเบิกตากว้าง และสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
เจียหลานได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจขึ้นมา ดวงตางดงามรีบมองไปทางเจดีย์ยักษ์ทันที
นางเพิ่งบุกเจดีย์ซวีหลิงไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้นนางยังจำได้ดี โดยเฉพาะตอนที่ไปถึงเจดีย์ชั้นที่สามสิบ จะเป็นชั้นที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการที่ไม่มีเวลาในการฟื้นฟูพลังเวท ก็รู้สึกรับมือไม่ไหวเล็กน้อยแล้ว
หลิ่วหมิงยังอยู่แค่ระดับของเหลว คิดไม่ถึงว่าจะบุกถึงชั้นที่สามสิบสี่ได้!
ขณะที่ผู้คนกำลังกระซิบกระซาบคาดเดากันว่าผู้ที่บุกรุกเจดีย์เป็นใครนั้น ฉากที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่หยุดก็ได้ปรากฏขึ้น!
อักขระบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบสี่มืดลง และชั้นที่สามสิบห้ากลับเปล่งประกายออกมา……
บรรดาศิษย์ทั้งหลายพากันฮือฮาขึ้นมาทันที
ท่ามกลางห้องโถงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบห้า
หลิ่วหมิงกำลังกุมหินจิตวิญญาณระดับสูงก้อนหนึ่งไว้แน่น และยืนนิ่งฟื้นฟูพลังเวทอยู่กับที่ด้วยความระแวดระวัง
หุ่นยักษ์ทั้งสี่ตัวในเจดีย์ชั้นที่สามสิบสี่ในเมื่อครู่ มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว เมื่อทั้งสี่รวมพลังกันก็พอที่จะเทียบกับระดับผลึกขั้นต้นได้
แม้จะบอกว่าพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้ สามารถรับมือกับหุ่นทั้งสี่ได้ไม่ยาก เพียงแค่ใช้ทรายทองคำร่วงกับมุกพลังวารีก็สามารถเอาชนะได้โดยง่ายแล้ว แต่ยังคงสูญเสียพลังเวทค่อนข้างมาก
เพื่อการฟื้นฟูพลังเวทให้ได้ไวที่สุด เขาถือโอกาสที่ยังไม่ถูกส่งตัวไปยังชั้นถัดไป หยิบโอสถจินหยวนจากหอยสังข์ย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ด ขณะเดียวกันก็ดูดซับปราณจิตวิญญาณจากหินจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
………………………………