ตอนที่ 600 ชั้นที่สามสิบห้า

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 600 ชั้นที่สามสิบห้า โดย Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา ทันใดนั้นก็รับรู้ถึงแรงกดดันระดับของเหลวขั้นปลายสมบูรณ์แบบสี่สายพุ่งมาจากด้านหน้า

ครู่ต่อมา กลุ่มไอหมอกสีเทาสลัวๆ ก็มาปรากฏตรงหน้าห้องโถง ขณะที่ไอหมอกพวยพุ่งนั้น จะเห็นว่ามีเงาร่างสูงใหญ่สี่เงาพุ่งเข้ามา

พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ก็มองเห็นอย่างชัดเจน ที่แท้เงาร่างสูงใหญ่ทั้งสี่ ก็เป็นโครงกระดูกมนุษย์สี่ตัว

โครงกระดูกแต่ละตัวล้วนสูงสองจั้งกว่าๆ กระดูกสีขาวโพลนขนาดใหญ่โผล่ออกมาด้านนอก แสงสีเขียวหมุนวนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ในระหว่างที่มันหายใจนั้น ก็มีไอหยินสีขาวเป็นเส้นๆ เข้าออกอยู่ไม่หยุด

ดูเหมือนโครงกระดูกทั้งสี่จะยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยม ดูคล้ายๆ ค่ายกลรบแปลกประหลาดบางอย่าง

แต่หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เพียงแค่โจมตีได้ตัวหนึ่งจะต้องทำให้พลังของพวกมันลดลงไปเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงวางแผนในใจอย่างรวดเร็ว พอสะบัดข้อมือก็มีเสียงดังออกมา กระบี่เล็กสีเทาสลัวๆ หล่นลงในมือ เขาปล่อยพลังเวทเข้าไปในกระบี่เล็กโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ครู่ต่อมา กระบี่เล็กก็เปล่งแสงสีเทาทันที ลวดลายจิตวิญญาณเล็กละเอียดจำนวนมากปรากฏออกมาติดต่อกัน ชั้นกำจัดค่ายกลยี่สิบหกชั้นถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมด

มือข้างหนึ่งสั่นสะท้านเบาๆ กระบี่เล็กหลุดออกจากมือทันที มันแผ่แสงทรงกลดสีเทากลางอากาศ และขยายตามแรงลมจนมีขนาดเจ็ดแปดจั้ง

หลิ่วหมิงหยุดทำท่ามือทันที จากนั้นก็ตะคอกออกมา “ไป!!”

เกิดเสียงดังกังวาน!

แสงกระบี่สั่นสะท้านกลางอากาศเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านพวยพุ่งไปยังโครงกระดูกตรงหน้า

เมื่อเผชิญหน้ากับแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งแปดของโครงกระดูกยักษ์ทั้งสี่ ก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นลูกแสงสีขาวดำออกมาหนึ่งกลุ่ม มันประสานกันไปมาจนกลายเป็นกลุ่มแสงขนาดจั้งกว่าๆ และพุ่งออกไปรับมือกับแสงกระบี่

“ฟู่!”

พอแสงกระบี่สัมผัสกับลูกแสง มันก็สั่นสะท้านและเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก

โครงกระดูกยักษ์ทั้งสี่ชี้ผ่านอากาศไปยังลูกแสงพร้อมกัน

“ตู้ม!” ลูกแสงระเบิดออกมาในพริบตา และม้วนเอาคลื่นไปปกคลุมแสงกระบี่ทั้งหมดไว้

“เต๊ง!”

กระบี่เล็กที่ยาวหลายจั้งร่วงลงจากด้านบน และดูราวกับว่าจะสูญเสียจิตวิญญาณไปจนหมดสิ้นแล้ว

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที พอคว้ามือข้างหนึ่งออกไป กระบี่เล็กสีเทาก็ดีดตัวแล้วพุ่งกลับมาอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าลูกแสงที่โครงกระดูกเหล่านี้พ่นออกมา จะมีผลในการควบคุมวิชาขี่กระบี่มาก เช่นนี้แล้ว วิชาขี่กระบี่ที่เขาไว้วางใจก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว และหากยืดเวลาในการต่อสู้นานออกไป จะทำให้สูญเสียพลังเวทเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่านด่านชั้นที่สามสิบหก

ขณะนั้นเอง ลูกแสงที่มีแสงสีขาวดำประสานกันไปมา กลับเปล่งประกายกลางอากาศ และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง

หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายเยือกเย็น เขาชี้มือข้างหนึ่งไปทางลูกแสงสีขาวดำ จากนั้นปราณกระบี่ไร้รูปก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว

“เพล้ง!” มีเสียงระเบิดดังออกมา ลูกแสงสีขาวดำระเบิดตัวกลางอากาศ

พอเห็นฉากเช่นนี้ เขาต้องร้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ดวงตาเผยแววยินดีออกมา

แม้ว่าวิชาขี่กระบี่จะทำอะไรเปลวไฟทองคำไม่ได้ แต่ดัชนีกระบี่กลับได้ผลยิ่งนัก

พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองมาถึงจุดนี้ ก็กระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที ไอดำรอบตัวพวยพุ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาร่างอีกเงา เงาร่างทั้งสองพุ่งเข้าหาโครงกระดูกทั้งสี่พร้อมกัน หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว เงากำปั้นจำนวนมากก็ทุบเข้าใส่โครงกระดูกอย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่าโครงกระดูกทั้งสี่จะมีรูปร่างขนาดใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่เชื่องช้า ภายใต้การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็สามารถหลบการโจมตีของหลิ่วหมิงไปได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันแสงสีเขียวก็หมุนวนในดวงตาของมัน จากนั้นก็พ่นลูกแสงสีขาวดำใส่หลิ่วหมิงอีกครั้ง

แต่ว่าเมื่อโครงกระดูกเหล่านี้ถูกท่าร่างแปลกประหลาดของหลิ่วหมิงโจมตีอยู่พักหนึ่ง การก่อตัวของมันก็ดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ที่ลูกแสงสีขาวดำเหล่านั้นไม่อาจรวมตัวกันได้ เห็นได้ชัดว่าพลังของมันลดลงไปเป็นอย่างมาก

ในระหว่างที่หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ก็สามารถหลบหลีกลูกแสงสีขาวดำที่พุ่งเข้ามาได้ พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างโครงกระดูกยักษ์ตัวหนึ่ง ปราณกระบี่ก่อตัวบนนิ้วข้างหนึ่ง จากนั้นปราณกระบี่รูปเกลียวก็พุ่งยิงออกไป

ฉากที่เขาคิดไม่ถึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว โครงกระดูกอีกตัวกลับกระพริบออกมา และใช้โล่กระดูกมาต้านทานไว้ตรงหน้า

“ตู้ม!” โล่กระดูกระเบิดออกมาทันที!

โครงกระดูกสองตัวถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นออกไป และปราณกระบี่ก็ต้านทานจนสลายไปเช่นกัน

โครงกระดูกทั้งสี่ร่วมมือกันเป็นอย่างดี หากไม่สามารถทำลายตัวใดตัวหนึ่งได้ เกรงว่าจะรับมือได้ยากยิ่งขึ้น

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเช่นนี้ จากนั้นร่างของเขาพร้อมด้วยเงาหนึ่งเงาก็พุ่งไปยังมุมบอดที่โครงกระดูกทั้งสี่มองไม่เห็น เขารีบคว้าโอกาสกระตุ้นกระบี่เล็กในแขนเสื้อทันที กลิ่นไอกระบี่ประทุออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงกระบี่ที่ยาวหลายจั้งในพริบตา และพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกยักษ์ตัวหนึ่ง

การโจมตีด้วยวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งในครั้งนี้ หลิ่วหมิงไม่คิดจะเก็บพลังไว้เลยแม้แต่น้อย หลังจากแสงสีเทากระพริบผ่านไป มันก็เจาะทะลุหัวกะโหลกขนาดใหญ่

“ตู้ม!” โครงกระดูกสีขาวตัวนั้นระเบิดออกมา ท่อนกระดูกแตกสลายกลายเป็นจุดแสง

หลังจากแสงสีเทาดำลงแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่สีเทาอยู่

หลังจากสังหารโครงกระดูกไปตัวหนึ่งแล้ว เขากลับไม่คิดจะใช้วิชาขี่กระบี่ที่ทำให้สูญเสียพลังเวทมากเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นต่อให้จะสังหารโครงกระดูกที่เหลือได้ ก็คงไม่สามารถผ่านชั้นที่สามสิบหกไปได้

ดูเหมือนว่าโครงกระดูกสามตัวที่เหลือ จะรับรู้ได้ว่าสหายของพวกมันหายไป จึงระเบิดอารมณ์โมโหออกมาพร้อมกัน ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีขาวดำบนตัว แรงกดดันที่เข้าใกล้ระดับผลึกก็แผ่ออกมา และพุ่งเข้าไปหาหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด หลังจากร่างของเขาพร่ามัวแล้ว ก็พุ่งเข้าใส่หุ่นตัวหนึ่ง

ขณะนี้ โครงกระดูกทั้งสามก็ถือหอกกระดูกสีขาวไว้ และขว้างใส่หลิ่วหมิง

หอกกระดูกพร่ามัวกลางอากาศ จากนั้นก็แยกออกเป็นยี่สิบกว่าเล่ม และพุ่งมาตรงหน้าหลิ่วหมิง

พอหลิ่วหมิงบิดเอว ร่างของเขาก็พร่ามัวกลางอากาศ จากนั้นก็แยกร่างเป็นสองจนหลบหอกกระดูกจำนวนมากได้ พอเปลี่ยนท่ามือ ปราณกระบี่โปร่งแสงห้าสาย ก็พุ่งยิงออกไปรับมือกับหอกกระดูกทั้งห้า

เกิดเสียงดังก้องฟ้า!

พริบตาเดียว เงาร่างทั้งสองที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมา ก็เจาะทะลุร่างของโครงกระดูกตัวหนึ่ง

ขณะนั้นเอง โครงกระดูกตัวนี้ก็หันไปจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาโหดเหี้ยม ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีแดงก่ำ

“ตู้ม!” เกิดเสียงดังขึ้นภายในห้องโถง

โครงกระดูกระเบิดตัวออกมาเอง หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง

ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนตรงด้านหลัง จากนั้นโครงกระดูกอีกตัวก็ปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าในมือถือค้อนกระดูกตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันก็ทุบเข้ามาอย่างรุนแรง

หลิ่วหมิงบิดตัวกลางอากาศจนหลบค้อนกระดูกไปได้ และชี้นิ้วใส่หัวกระโหลกของโครงกระดูกโดยไม่หันหน้ากลับมา ปราณกระบี่รูปเกลียวพุ่งยิงออกไป

“โพล๊ะ!” ด้วยระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ โครงกระดูกยักษ์ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หัวกะโหลกของมันระเบิดออกมาในทันที และร่างของมันก็กลายเป็นจุดแสง

ตั้งแต่โครงกระดูกทั้งสามโจมตีหลิ่วหมิง หนึ่งในนั้นมีตัวหนึ่งที่ระเบิดตัวเอง อีกตัวก็ถูกหลิ่วหมิงใช้ดัชนีกระบี่ยิงหัวกะโหลก ซึ่งใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น

ขณะนี้เหลือโครงกระดูกยักษ์ตัวสุดท้ายแล้ว และหลิ่วหมิงก็สูญเสียพลังเวทไปจำนวนหนึ่ง

พอเขาขมวดคิ้วสะบัดแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงก็ม้วนตัวออกมา จากนั้นก็นั่งลงพื้นและหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาฟื้นฟูพลังเวท

ดูเหมือนว่าโครงกระดูกตัวที่เหลือจะเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา มันคำรามด้วยเสียงแปลกประหลาด จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง

ครู่ต่อมา พอหลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือ ค่ายกลทรายสีทองก็ปรากฏขึ้นรอบๆ โครงกระดูก และห่อหุ้มมันไว้ด้านในอย่างแน่นหนา จนไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย

ที่แท้เขาก็คิดจะใช้วิชาหนึ่งจิตสองพลัง ด้านหนึ่งกระตุ้นทรายทองคำร่วงให้ก่อตัวเป็นค่ายกลกักขัง เพื่อกักขังโครงกระดูกตัวสุดท้ายไว้ ด้านหนึ่งก็ช่วงชิงเวลามาทานโอสถกับใช้จิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวท

หลิ่วหมิงนำโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ด และใช้มือข้างหนึ่งกุมหินจิตวิญญาณเพื่อดูดซับพลังจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด

หลังผ่านการฝ่าด่านมาสามสิบกว่าชั้น เขาก็รู้ว่าในเจดีย์ซวีหลิงดูเหมือนจะมีชั้นจำกัดบางอย่าง พอค้นพบว่าผู้ฝ่าด่านหยุดอยู่ที่ชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นเวลานาน อสูรมายาในชั้นนั้นก็จะบ้าระห่ำมากขึ้นกว่าเดิม และพลังของมันก็เพิ่มขึ้นจนระเบิดตัวเองทำร้ายศัตรูได้

ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป เปลวเพลิงสีขาวดำในทรายทองคำร่วงก็โจมตีผนังทรายอยู่ไม่หยุด ทำให้เกิดแสงสีทองเปล่งประกายแวววาว และเริ่มไม่มั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย

ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นมา แสงสีขาวดำพุ่งออกจากทรายทองคำ หลังจากม้วนตัวออกไปแล้ว โครงกระดูกก็แผ่กลิ่นไอระดับผลึกออกมา ในมือถือขวานกระดูกขนาดใหญ่ เปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งอยู่ในดวงตาทั้งคู่ จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมเสียงคำราม

“นี่ก็พอประมาณแล้ว!”

หลิ่วหมิงยิ้มมุมปาก ร่างของเขาขยับแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านหลังโครงกระดูกยักษ์อย่างน่าประหลาดใจ กระบี่จิตวิญญาณสีเทาในมือสั่นสะท้าน แสงสีเทาเย็นสะท้านม้วนตัวออกไป……

นอกเจดีย์ซวีหลิงในขณะนี้

“ใช้เวลานานขนาดนี้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วคงติดค้างอยู่ที่ชั้นสามสิบห้าแล้ว” หลงเหยียนเฟยจ้องมองอักขระที่เปล่งประกายบนชั้นสามสิบห้าแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“โครงกระดูกยักษ์บนชั้นที่สามสิบห้าร้ายกาจมาก ประกอบกับการที่จิตของพวกมันเชื่อมต่อกันได้ ทำให้รู้ใจกันเป็นอย่างดี ตอนนั้นข้าใช้วิชาขี่กระบี่ก็มีผลกับมันไม่มาก” ซาทงเทียนก็จ้องมองเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบห้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ศิษย์สายในคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็วิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาต่างก็คิดว่าหลิ่วหมิงไม่อาจผ่านด่านนี้ได้

ขณะนั้นเอง อักขระบนชั้นที่สามสิบห้าก็พร่ามัวและดับลง

ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลิ่วหมิงพ่ายแพ้ และกำลังจะถูกส่งออกมานอกเจดีย์นั้น อักขระบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกกลับสว่างขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นหลงเหยียนเฟยหรือคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกอึ้งไปทันที

ซาทงเทียนกลับมีสีหน้าอึมครึมลง มือทั้งสองกำแขนเสื้อไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว

พอเจียหลานเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่กลับเผยแววที่แตกต่างออกไป

………………………………