บทที่ 2592 เจ้าเห็นข้าเป็นหุ่นกระดาษหรือไง? / บทที่ 2593 นางสิถึงจะเป็นดาวช่วยชีวิตที่แท้จริงของพวกเจ้า

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2592 เจ้าเห็นข้าเป็นหุ่นกระดาษหรือไง?

ตี้ฝูอีคร้านจะตอบวาจาไร้สาระของเขา ร่ายวิชาทันที แสงรุ้งสายแล้วสายเล่าบินว่อนวนเวียนอยู่ภายในจัตุรัส

ผ่านไปครู่หนึ่ง มีเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนล่องลอยมาจากสารพัดหลืบมุม หลอมรวมกันใหม่ภายในแสงรุ้งเจ็ดสี

เป็นไปอย่างเชื่องช้า เงาร่างอ่อนจางสองสายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า อยู่ท่ามกลางแสงรุ้งที่วนเวียนขึ้นๆ ลงๆ ชัดเจนขึ้นมาทีละน้อย

อวิ๋นเยียนหลีกลั้นหายใจแล้ว มองเงาร่างสองสายนั้นค่อยๆ รวมตัวกันเป็นรูปลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย

เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง คืออดีตจักรพรรดิและจักรพรรดินีเซียน

ถึงอย่างไรก็ถูกทรมานมาเนิ่นนานปานนี้ ต่อให้รวมตัวขึ้นมาใหม่แล้ว รูปลักษณ์ของพวกมันก็ซูบซีดยิ่งนัก เพียงแต่เมื่อเทียบกับสภาพซากศพก่อนหน้านี้นับว่าดีขึ้นมากแล้ว แทบจะฟื้นฟูกลับสู่รูปโฉมเดิม…

อวิ๋นเยียนหลีแทบจะโผเข้าหาแล้ว

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่!”

เขาไม่กล้าแตะต้องเงาร่างขาวซีดสองเงานี้ เพียงคุกเข่าลงแทบเท้าของพวกมัน

แรกเริ่มจักรพรรดิและจักรพรรดินีเซียนยังคงมึนงงยิ่งนัก สายตามองตรง แล้วคล้ายว่าจะค่อยๆ รำลึกความหลังได้ ดวงตาค่อยๆ ทอแววออกมา

“เยียนหลี…”

“หลีเอ๋อร์…”

“หลีเอ๋อร์ วันนี้พ่อได้รับการปลดปล่อยแล้ว”

เขาทอดถอนใจ

“อย่าได้เสียใจเลย ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีเถิด…”

“เยียนหลี แม่ยินดีนักที่สุดท้ายเจ้าทำเช่นนี้…”

จักรพรรดินีเซียนยื่นมืออกมา คล้ายอยากจะสัมผัสบุตรชาย แต่นิ้วมือกลับทะลุผ่านศีรษะของบุตรชายไป ไม่อาจแตะต้องกันอย่างแท้จริงได้

ถึงอย่างไรดวงวิญญาณของพวกมันก็เคยแตกสลาย ร่างจิตอ่อนแออย่างยิ่ง รั้งอยู่นานไม่ได้ ดังนั้นหลังจากฝืนพูดจากับอวิ๋นเยียนหลีได้สองประโยค ก็มีทีท่าว่าจะกระจัดกระจายออกไปอีกครั้ง

ถึงแม้อวิ๋นเยียนหลีจะหักใจไม่ลง แต่ก็ทราบข้อแตกต่างของมนุษย์และวิญญาณดี เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังตี้ฝูอี ชะงักไปเล็กน้อย พลันตัดสินใจ คุกเข่าลงตรงแทบเท้าเขา

“ผะ…ผู้ทรงสิทธิ์ตี้ ขอร้องท่านช่วยส่งวิญญาณพวกเขาด้วย…”

อันที่จริงเขาก็เป็นวิชาส่งวิญญาณ แต่เขาสวดส่งได้เพียงวิญญาณที่ครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น เสด็จพ่อเสด็จแม่ของเขาอ่อนแอเกินไป ดวงวิญญาณก็เห็นได้ชัดว่าไม่สมบูรณ์ หากใช้วิชาส่งวิญญาณทั่วไป เกรงว่าจะทำให้ดวงวิญญาณของพวกมันแตกแยกกันไป

ตี้ฝูอีกลับไม่ได้สร้างความลำบากให้เขา พลันยกมือ แยกพวกมันไปห่อหุ้มไว้ภายในแสงรุ้ง เอ่ยอย่างเฉยชา

“จะเซียนก็ดี มารก็ช่าง เรื่องราวชาตินี้ให้จบลงในชาตินี้ ไปเถิด”

พลันโบกแขนเสื้อ กลุ่มแสงสีรุ้งทั้งสองที่ห่อหุ้มจักรพรรดิเซียนและจักรพรรดินีเซียนเอาไว้เลือนหายไปจากนภา…

อวิ๋นเยียนหลีหลับตาลงเล็กน้อย โขกศีรษะให้เขาอีกหลายครั้ง ไม่เอ่ยวาจา ลุกขึ้นแล้วหันหลังจากไป

เฟิงหรูฮั่วไม่พอใจ

“นายท่านช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้ เขาโขกหัวไม่กี่ทีก็จบแล้วหรือ?”

คุนเสวี่ยอี๋ส่ายหน้า

“เจ้าบ้าน้อย[1] โลกของบุรุษเจ้าไม่เข้าใจหรอก”

เฟิงหรูฮั่วโมโหแล้ว

“บอกเจ้าไปไม่รู้กี่หนแล้วนะ ห้ามเรียกข้าว่าเจ้าบ้าน้อย!”

คุนเสวี่ยอี๋ปวดหัวแล้ว ไม่คิดจะถือสานาง หันหลังเดินออกไป

“ข้าจะไปดูผังดาวนั้นสักหน่อย จะปล่อยให้วิญญาณอาฆาตด้านในออกมาทำร้ายคนไม่ได้…”

ไหวกายคราหนึ่ง หนีไปทันที

กู้ซีจิ่วถามตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกาย

“พวกเราก็ไปดูผังดาวกันไหม? ถึงอย่างไรก็เป็นภัยร้ายอย่างหนึ่ง ต้องทำลายทิ้งทันทีถึงจะถูก ใช่แล้ว ร่างกายท่านเป็นยังไงบ้าง? ยังทนไหวหรือเปล่า? ไม่เช่นนั้นท่านไปพักก่อนดีไหม?”

ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งฝ่าด่านเคราะห์มา พอฟื้นขึ้นมาก็ต้องจัดการเรื่องราวมากมายปานนี้เลย เสียเรี่ยวแรงไปไม่น้อย

กู้ซีจิ่วนึกถึงสภาพตนตอนฝ่าด้านเคราะห์หนก่อน ร่างกายอ่อนแอจนยืนไม่อยู่เลย

ร่างกายของเขาก็น่าจะอ่อนแอเหมือนกันกระมัง?เพียงแต่เขาฝืนเอาไว้ ไม่แสดงออกมา…

ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้มยกแขนเสื้อลูบศีรษะนาง

“เด็กน้อย เจ้าเห็นข้าเป็นหุ่นกระดาษหรือไง?”

พลันยกแขน อุ้มนางขึ้นมาเสียเลย

“ไปเถอะ พวกเราไปทำลายผังดาวผีสางนั่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“อ๊ะ ท่านปล่อยข้าลงนะ ข้าเดินเองได้”

————————————————————————————-

บทที่ 2593 นางสิถึงจะเป็นดาวช่วยชีวิตที่แท้จริงของพวกเจ้า

“อ๊ะ ท่านปล่อยข้าลงนะ ข้าเดินเองได้” ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะอยากใกล้ชิดเขายิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรนี่ก็อยู่ท่ามกลางฝูงชน ประชาชนรอบข้างต่อให้ไม่ถึงพันก็มีอยู่แปดร้อย…

“ข้าแค่อยากอุ้มเจ้า ว่าง่ายๆ เถอะ ให้ข้าอุ้มมากหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ไยดีผังดาวอันใดแล้ว!”

นิ้วหนึ่งของตี้ฝูอีทาบลงบนริมฝีปากเธออีกครั้ง

เหล่าชาวบ้านที่อยู่รอบข้างอันที่จริงแล้วเงี่ยหูฟังอยู่ตลอด พอได้ยินประโยคนี้จากเขา ก็รีบช่วยกันเกลี้ยกล่อม

“แม่นางกู้ ท่านให้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อุ้มไปเถิด”

“แม่นางกู้ ท่านอย่าได้ลงมาเลย…”

“ใช่ๆ ท่านตั้งครรภ์อยู่ ไม่อาจทำงานหนักได้ ให้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อุ้มไปจะดีกว่า”

กู้ซีจิ่วหน้าครึ้มแล้ว เพียงแต่ในใจมีความอบอุ่นผุดพรายขึ้นมา

ได้เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้อีกครั้ง สวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าเธอตื้นตันมากแค่ไหน เธอจึงยืดแขนออกไปคล้องคอเขาไว้เสียเลย เอียงหัวซบอกเขา

“เช่นนั้นท่านก็อุ้มไปเลย ไม่อนุญาตให้ทิ้งข้าอีก”

คิดไปคิดมา รู้สึกว่าควรเอ่ยเตือนสักประโยค ดังนั้นจึงกวาดตามองรอบๆ แวบหนึ่ง เอ่ยชี้แจง

“เขาไม่เพียงแซ่ตี้เท่านั้น พวกเจ้าสมควรเรียกขานเขาว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า นี่คือสมญานามในอดีตของเขา”

“ได้ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ครานี้ต้องช่วยแดนอสุราจากทุกข์ภัยได้แน่…”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ การมาของท่านช่างดีเหลือเกิน ท่านต้องเป็นผู้ที่สวรรค์ส่งมาช่วยเหลือพวกเราแน่…”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…”

ฝูงชนพากันแซ่ซ้อง ในสำเนียงวาจาของพวกเขาล้วนซาบซึ้งและคาดหวังในตัวเขา…

ตี้ฝูอีกลับไม่ใส่ใจ สถานการณ์เช่นนี้เขาชินมานานแล้ว เพียงแต่ยังคงกล่าวไปว่า

“ข้ามาก็เพราะนาง และหากมิได้นาง ข้าคงถูกเผาอยู่กลางเพลิงแล้ว เรื่องผังดาราก็เป็นนางที่ค้นพบ คนที่พวกเจ้าสมควรขอบคุณที่สุดคือนาง”

เขาโอบกอดสตรีในอ้อมแขน

“นางสิถึงจะเป็นดาวช่วยชีวิตที่แท้จริงของพวกเจ้า”

ด้วยเหตุนี้ ความตื้นตันทั้งหมดจึงถ่ายเทไปที่กู้ซีจิ่วแทน…

กู้ซีจิ่วกอดคอตี้ฝูอีแน่น ถอนหายใจ

“ท่านสร้างฐานอำนาจที่นี่ให้ข้าอีกแล้ว…คงมิใช่คิดจะทิ้งข้าไปอีก ให้ข้าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่กระมัง?”

“เด็กน้อย เจ้าคิดมากไปแล้ว!”

“ถ้าท่านกล้าทิ้งข้าไปอีก ต่อไปข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว! ข้าจะออกเรือนกับผู้อื่นลืมเลือนท่านไปอย่างสิ้นเชิง!”

กู้ซีจิ่วข่มขู่ เธอกลัวจะถูกเขาทอดทิ้งจริงๆ!

“วางใจเถอะ ต่อไปเจ้าจะมีข้าอยู่ข้างกายตลอดไป มีข้าเสมอ”

ที่เธอรออยู่ก็คือประโยคนี้ของเขา! กู้ซีจิ่วพอใจแล้ว

ชาติก่อนพอเธอพูดคุยในหัวข้อครองคู่ตราบฟ้าดินยืนยง เขาก็จะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงซ้ายเลี่ยงขวา ตอนนั้นเธอหลงนึกว่าเขามีความลำบากใจอื่นใด ไหนเลยจะทราบว่าความจริงแล้วเขามอบการครองคู่ตราบฟ้าดินยืนยงให้เธอไม่ได้ ถึงได้เบี่ยงหัวข้อไป…

ตอนนี้เขายอมมอบคำมั่นให้เธอแล้ว นั่นก็แสดงว่าการกลับมาในครั้งนี้ของเขาคือการกลับมาจริงๆ ไม่จากไปอีกแล้ว

เธอเงยหน้ามองฟ้า บนฟ้ายังมีเมฆทะมึนบดบังอยู่ แต่ในใจเธอกลับเป็นวันเจิดจ้าฟ้าสว่างแล้ว

เธอนึกถึงจู๋ตู๋ชิงขึ้นมา ไม่สิ จู๋ตู๋ชิงเป็นเพียงนามแฝงของเขา แล้วชื่อจริงของเขาคืออะไรกันแน่?

เมื่อเธอเอ่ยคำถามนี้ออกมา ตี้ฝูอีก็เงียบไปครู่หนึ่ง ย้อนถามเธอ

“เจ้ารู้สึกว่าเขาคล้ายหลงฟั่นหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วผงะไป ส่ายหน้า

“ไม่เหมือนนะ นิสัยใจคอวรยุทธ์ล้วนแตกต่าง…”

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร หลงฟั่นและจู๋ตู๋ชิงมีนิสัยแตกต่างกันจริงๆ ในแง่วรยุทธ์ก็ไม่ซ้ำกันเลยด้วย แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าคนๆ นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลงฟั่น

ถึงอย่างไรช่วงเวลาที่จู๋ตู๋ชิงสำแดงวรยุทธ์ที่แท้จริงออกมาก็มีไม่มาก วรยุทธ์ที่แท้จริงของเขาจะเป็นอย่างไรกันแน่ ยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้จริงๆ

แต่อวิ๋นเยียนหลีได้รับคำชี้แนะจากเขาในความฝัน เพาะเลี้ยงมนุษย์ครึ่งสัตว์เหล่านั้นออกมา กลับมีความคล้ายคลึงกับผีดิบที่หลงฟั่นเคยเพาะพันธุ์ขึ้นที่โลกเบื้องล่าง

————————————————————————————-

[1]คำว่าบ้าในภาษาจีนก็ออกเสียงว่าเฟิงเช่นกัน พ้องเสียงกับแซ่เฟิงของเฟิงหรูฮั่ว คุนเสวี่ยอี๋จึงเอามาพูดล้อเลียนนาง