บทที่ 2590 หักใจไม่ลงก็คงไม่ได้กระมัง... / บทที่ 2591 ไม่ได้เลวร้ายเกินเยียวยา...

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2590 หักใจไม่ลงก็คงไม่ได้กระมัง…

นางที่อยู่ข้างกายของเขาเต็มใจพึ่งพาเขา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชา ยามนี้กลับดีอกดีใจเสมือนเด็กน้อย เขาสัมผัสได้แม้กระทั่งอารมณ์ตื่นเต้นของนาง…

คล้ายกู้ซีจิ่วจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้าถามเขาอีกครั้ง

“เช่นนั้น…ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่านี่คือเป็นลูกของท่านจริงๆ? ถึงอย่างไรพวกเราก็แยกจากกันนานขนาดนี้ ซ้ำยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากขนาดนี้ด้วย…”

ตี้ฝูอีอดจะกุมขมับไม่ได้ สาวน้อยในอ้อมกอดดีใจจนโง่งมไปแล้วกระมัง? คำถามเช่นนี้ก็ยังถามออกมาได้…

เห็นนางดูซื่อบื้อเช่นนี้ ทำให้เขาสะกดความอยากจะกลั่นแกล้งนางไว้ไม่อยู่

เขางอนิ้วเขกศีรษะนางเบาๆ คราหนึ่ง

“ตัวโง่งม! ข้าเป็นใครกัน? จะมองลูกของตนไม่ออกได้อย่างไร? ข้าไม่เพียงแต่รู้ว่านางเป็นลูกของข้าเท่านั้น ข้ายังรู้ด้วยว่านางเป็นแม่หนูน้อย…”

หา? ลูกสาวเหรอ?

เขากับเธอเล่นพลิกผ้าห่มกันยังไม่ถึงเดือนเลยกระมัง? ทารกน้อยยังเป็นตัวอ่อนอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมองเพศออกแล้ว! วิชาแพทย์เช่นนี้…

กู้ซีจิ่วไม่ใส่ใจเพศของเด็กเลย ขอเพียงเป็นลูกของเธอกับเขา เธอก็ชอบทั้งนั้น!

หัวใจเธอพลันอ่อนยวบยาบ จู่ๆ เธอก็คิดถึงเฮ่าเอ๋อร์ขึ้นมา…

เธอจับแขนตี้ฝูอีไว้

“ถ้าพวกเราจัดการเรื่องที่นี่เสร็จ ไปรับเฮ่าเอ๋อร์มาอยู่ด้วยกันไหม?”

เธอชะงักไปเล็กน้อย ยังคงตัดสินใจพูดให้กระจ่างกันสักครา

“ข้าไม่ได้คลอดเฮ่าเอ๋อร์จริงๆ ข้าเก็บเขาได้ แต่เด็กคนนั้นกับข้าถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ รู้สึกคล้ายเป็นผู้ให้กำเนิด หลังจากรับเขามาอยู่ด้วยแล้ว ท่านอย่าเลือกปฏิบัติกับเขานะ มองเขาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านเสีย…”

ตี้ฝูอีนิ่งเงียบ

“ใช่แล้ว เขาก็แซ่ตี้ นามเต็มคือตี้เฮ่า…ท่านว่าเขามีวาสนากับพวกเราหรือเปล่า? อ่อ ใช่แล้ว ลูกในท้องข้ายังไม่ทันถือกำเนิด ท่านก็มองออกแล้วว่าเป็นเชื้อไขของท่าน เช่นนั้นเด็กที่เป็นตัวเป็นตนแล้วแบบเฮ่าเอ๋อร์ ท่านก็น่าจะมองออกสินะ รู้ว่าข้าไม่หลอกท่าน…”

ตี้ฝูอีหลุบตานิดๆ มองดูนาง เห็นพวงแก้มนางแดงเรื่อเล็กน้อย ค่อยๆ เปิดปากเอ่ย

“เขาใช่บุตรของข้าหรือไม่ข้าย่อมมองออก…อืม เจ้าคิดจะพาเขามาอยู่ด้วยเพื่อตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาใช่ไหม?”

กู้ซีจิ่วนิ่งไปแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม พอคิดว่าเมื่อพบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตี้เฮ่าแล้วก็ต้องมอบให้ผู้อื่นไป ในใจก็อึดอัดยิ่งนัก หักใจไม่ลงยิ่งนัก ราวกับส่งมอบลูกน้อยของบ้านตนให้ผู้อื่นก็มิปาน…

เธอสูดหายใจนิดๆ ในที่สุดก็พยักหน้า

“อืม ต้องคืนเขาให้พ่อแม่ที่แท้จริง”

“เจ้าหักใจลงหรือ?”

หักใจไม่ลงก็คงไม่ได้กระมัง…

เว้นแต่ว่า…

“เว้นแต่ว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…”

“ไม่ พ่อแม่ของเขายังอยู่ดี และจะมีชีวิตยืนยาวด้วย!”

ตี้ฝูอีตัดบทนาง สุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง

“ท่านรู้ได้ยังไง?”

“ข้าหยั่งรู้อนาคต”

กู้ซีจิ่วไม่พูดแล้ว ด้วยทราบถึงความสามารถของตี้ฝูอีดี มั่นใจว่าสามารถทำนายเช่นนี้ได้

ตี้ฝูอีมองแพขนตายาวที่หลุบลู่นิดๆ ของนาง อดใจไม่ไหวรั้งนางเข้าสู่อ้อมแขน จุมพิตลงบนดวงตานางอีกครั้ง เอ่ยอย่างใจกว้าง

“วางใจเถอะ ข้าจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกชายแท้ๆ! จวบจนเขาคิดอยากจะจากไปเอง…”

เด็กคนนั้นมาจากอนาคต แถมอายุจริงก็มากโขแน่นอน เป็นผู้ใหญ่แล้ว

เพียงไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดหลังจากข้ามห้วงเวลามา ถึงกลายเป็นเด็กทารกไปเอง เช่นนั้นวันหน้าเขาย่อมจากไปแน่ กลับไปยังโลกเดิมของเขา…

เพียงแต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะถือกำเนิดตอนไหนกันแน่? ครรภ์ในยามนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เขา…

“นี่ ข้าว่า พวกท่านแสดงความหวานแหววพอแล้วกระมัง? หวานกันพอแล้วก็สมควรจัดการเรื่องราวได้แล้วนะ อาหารหมาชามนี้แทบจะทำให้พวกข้าสำลักตายแล้ว…”

————————————————————————————-

บทที่ 2591 ไม่ได้เลวร้ายเกินเยียวยา…

เสียงของคุนเสวี่ยอี๋แทรกเข้ามาได้ถูกเวลาเลย ซ้ำยังส่งเสียงดังด้วย

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้สติแล้ว หันไปมองคุนเสวี่ยอี๋

คุนเสวี่ยอี๋ทำแผลบนแขนให้อวิ๋นเยียนหลีเรียบร้อยแล้ว ยามนี้กำลังมองเธอกับตี้ฝูอีอย่างไม่พอใจ

ตี้ฝูอีปัดแขนเสื้อ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง

“คุนเสวี่ยอี๋ เจ้าเปลี่ยนสายพันธุ์ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่น่าเชื่อว่าจะกินอาหารหมาด้วย…”

คุนเสวี่ยอี๋พูดไม่ออกแล้ว

เอาเถอะ เรื่องฝีปากเขาสู้ราชันมารท่านนี้ไม่ได้อยู่แล้ว…

คุนเสวี่ยอี๋ฉลาดพอที่จะไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง แล้วเอ่ยถามอย่างจริงจังนัก

“นายท่านตี้ ไอ้ต้นไผ่อัปลักษณ์ผู้นั้นหนีไปแล้ว เราจะเอายังไงกันต่อ?”

“เจ้าคิดจะเอาอย่างไรต่อเล่า?”

ตี้ฝูอีถามไปส่งๆ

“ปลอบขวัญประชาชน ทำลายผังดารา รักษาผู้บาดเจ็บ…”

กล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย คุนเสวี่ยอี๋ก็มองอวิ๋นเยียนหลีที่นั่งทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น เสมือนเป็นเสาไม้แวบหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ นวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว

“ข้าสงสัยว่าเขาจะเสียสติไปแล้ว ตอนนี้เหมือนคนปัญญาอ่อนผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะพูดอะไรไปก็ไม่สนใจผู้อื่นเลย…”

“เจ้าอยากช่วยเขา?”

“ข้ารู้สึกว่าเขาน่าเวทนา…ถึงจะอย่างไรแล้วสุดท้ายแล้ว เขาก็ทำไปเพื่อปวงชนจริงๆ อีกอย่างผังดาราเหล่านั้นก็ไม่ใช่ฝีมือเขา เขาเพียงรับหน้าที่โคจรและฝึกฝนวรยุทธ์เท่านั้น ตัวการที่ทำลายล้างแดนอสุราจนวอดวายไม่ใช่เขา อันที่จริงเขาก็ถูกหลอกใช้เหมือนกัน…”

คุนเสวี่ยอี๋ถอนหายใจ

“ยากนักที่เจ้าจะห่วงใยคนอื่นถึงเพียงนี้…”

ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม

“หรือเป็นเพราะเข้าพิธีกับเขา จึงคิดว่าตนเป็นภรรยาของเขาไปแล้วจริงๆ?”

คุนเสวี่ยอี๋ชะงักไปเล็กน้อย โต้กลับทันควัน

“จะเป็นไปได้อย่างไร?! ในเรื่องนี้ข้าน้อยไม่เคยเป็นรองผู้ใดเสมอมา!”

“หืม?”

ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว

“เพียงไม่ยอมอยู่ด้านล่างเท่านั้นหรือ?”

คุนเสวี่ยอี๋ทราบว่าพลั้งปากไปแล้ว กระแอมคราหนึ่ง

“กล่าวผิดไปน่ะ กล่าวผิดไป นายท่านตี้ ข้าน้อยเพียงใจอ่อนไปบ้าง…ว่าไปตามเนื้อผ้า…ข้าน้อยไม่ได้มีความคิดเชิงนั้นกับเขาเลยแน่นอน อีกอย่างเขาเป็นชายแท้ ข้าน้อยแน่ใจยิ่งนัก และไม่คิดจะดัดเขาให้งอด้วย ที่เมื่อก่อนพูดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนเพื่อยั่วโมโหเขาเท่านั้น…”

เขาฉุดอวิ๋นเยียนหลีให้ลุกขึ้นมาเสียเลย

“ข้าจะบอกให้นะ พวกเราเป็นบุรุษเหมือนกันมิใช่หรือ?! ลูกผู้ชายถือได้วางเป็น! ท่าทางซังกะตายเช่นนี้ของเจ้าหากดวงวิญญาณของบิดามารเจ้าได้เห็นเข้า คงโมโหจนกระโดดออกมาเขกหัวเจ้า! พวกเขาต้องการให้บุตรชายเป็นชายชาญเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง มิได้ต้องการตัวไร้ประโยชน์ที่เหยาะแหยะอยากตาย!”

“เจ้าพูดให้เบาหน่อยเถอะ! ได้รับความสะเทือนใจเช่นนี้ผู้ใดจะรับไหว? แล้วเขาก็ไม่ใช่ตัวไร้ประโยชน์ด้วย! เขาเป็นชายชาตรีที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งจริงๆ!”

เจ้าวังน้อยที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายอวิ๋นเยียนหลีมาโดยตลอดกระโดดขึ้นมาอย่างเหลืออด โต้เถียงแทนเจ้านาย

คุนเสวี่ยอี๋ไม่อยากถกเถียงกับสตรี ได้แต่หุบปากไปเสีย

ในที่สุดตี้ฝูอีก็มองอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่งแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกดีต่ออวิ๋นเยียนหลีเลย

ถึงอย่างไรอดีตองค์ชายผู้นี้ก็วางแผนเล่นงานเขามาโดยตลอด ไล่ล่าสังหารเขาตอนที่ยังไม่รู้สึกตัว ถึงขั้นที่เกือบจะเผาเขาให้ตายแล้ว…ที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าคือ เจ้าคนผู้นี้เกือบจะบังคับให้กู้ซีจิ่วเข้าพิธีวิวาห์…

เรื่องพวกนี้ถ้าขุดขึ้นมา ล้วนเพียงพอให้เขาล้างสังหารเขาได้แปดครั้งสิบครั้งแล้ว!

อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ยังนับว่าพอมีจิตสำนึกอยู่ ไม่ได้เลวร้ายเกินเยียวยา…

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นสหายของซีจิ่ว หากว่าเขาอับปางลงเช่นนี้ เกรงว่าซีจิ่วคงจะเสียใจ…

ช่างเถอะ ผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาใจกว้างพอ ไม่ถือสาหาความเขาก็แล้วกัน

แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อย มือในแขนเสื้อกำๆ แบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย

“อวิ๋นเยียนหลี ดวงวิญญาณบิดามารของเจ้ายังไม่ดับสลายไปอย่างสมบูรณ์ ข้าช่วยเจ้ารวบรวมพวกเขาให้ครบถ้วน แล้วส่งพวกเขาไปเกิดใหม่ได้”

อวิ๋นเยียนหลีเงยหน้าขึ้นทันที เอ่ยเสียงสั่นพร่า

“จริง…จริงหรือ?”