ตอนที่ 1260 สิ่งที่ลุ่มหลง

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1260 สิ่งที่ลุ่มหลง โดย Ink Stone_Fantasy

ทิลลีมองเห็นว่ากลุ่มแรกที่บินขึ้นไปนั้นสังเกตเห็นคู่ต่อสู้ที่ไล่บี้เข้าไปแล้ว เครื่องหมายเลข 1 กับหมายเลข 3 ต่างแยกตัวไปคนละทางทันที เหมือนว่าต้องการจะโจมตีกระหนาบกลุ่มที่สอง

รูปขบวนของกลุ่มที่สองไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนอย่างตอนแรกอีก หากแต่เป้าหมายของพวกเขายังคงเป็นเครื่องหมายเลข 1 ที่อยู่ใกล้ที่สุด

นี่ทำให้เครื่องหมายเลข 1 ตกอยู่ในสถานการณ์ 1 ต่อ 3 ทันที

ด้วยดวงตาแห่งเวทมนตร์ ทำให้ทิลลีสามารถมองเห็นสีหน้ากังวลของนักบินได้อย่างชัดเจน

ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะพุ่งเข้าหากัน ขอเพียงล็อกเป้าเอาไว้ที่ลำใดลำหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้แลกกันแบบลำต่อลำได้ แต่ความตื่นเต้นของนักบินนั้นส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขา หลังเล็งไปแค่ 3 วินาที เขาก็เลือกที่จะเหยียบแป้นเหยียบข้างซ้ายเพื่อหมุนตัวหนีไป ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกัน 500 กว่าเมตร นี่ทำให้กลุ่มที่สองไม่มีความกดดันในระหว่างที่ปรับเส้นทางการบิน พวกเขาเปลี่ยนจากที่เผชิญหน้ากันกลายเป็นไล่ตาม

เมื่อจะพยายามสลัดคู่ต่อสู้ให้หลุด เครื่องหมายเลข 1 จึงเริ่มบินด้วยท่าทางต่างๆ ออกมา ก็เหมือนกับที่ทิลลีพูดเอาไว้ในตอนแรก นักบินได้งัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เรียนมาออกมาใช้ การที่เขาสามารถขับทำท่าต่างๆ ที่ีเรียนมาในระยะเวลาหนึ่งเดือนได้อย่างเชี่ยวชาญนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาฝึกมาอย่างหนักทีเดียว

แต่นักเรียนที่มาจากกองทัพที่หนึ่งก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้ถูกเครื่องบินหมายเลข 1 สลัดทิ้ง หากแต่คอยตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน บวกกับความได้เปรียบเรื่องจำนวน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเอาหัวเครื่องบินจ่อไปที่อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา แต่เครื่องบินหมายเลข 1 นั้นจำเป็นต้องคอยจับตาดูความเครื่องไหวของเครื่องบินทั้ง 3 ลำพร้อมๆ กัน การเคลื่อนไหวที่มากเกินไปทำให้ระดับความสูงและความเร็วของเครื่องหมายเลข 1 ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่สามารถสลัดหลุดได้ นักบินของเครื่องหมายเลข 1 จึงกัดฟันเลี้ยวเข้าไปหาเครื่องบินหมายเลข 3 ที่ยังคงไล่ตามเข้ามา

กลุ่มที่สองเองก็สบโอกาสในการลงมือที่ดีที่สุด เครื่องหมายเลข 6 ที่รักษาเพดานบินเอาไว้ค่อนข้างสูงได้พุ่งแนวแทยงไปที่หางของเครื่องหมายเลข 1 ทาง 7 นาฬิกา

ถึงแม้มือยิงจะสังเกตเห็นถึงภาพเหตุการณ์นี้ ตัวนักบินเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่เครื่องบินก็ยังไม่อาจสลัด ‘การกวาดยิง’ ครั้งนี้ได้

แค่พริบตาเวลาก็ผ่านไป 10 วินาที

ทิลลีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เครื่องหมายเลข 1 ยกธงแดง!”

ในเวลานี้เครื่องหมายเลข 3 เพิ่งจะมาถึง

สิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่เครื่องหมายเลข 6 ที่กำลังบินไต่ระดับขึ้นไปกับเครื่องหมายเลข 4, 5 ที่กำลังอยู่ในสภาพที่ดี

สถานการณ์ดูแล้วเหมือนจะเลวร้ายอย่างมาก

ถ้าหากไม่นับเครื่องหมายเลข 2 ที่บินอยู่ในระดับที่สูงมาโดยตลอดเข้าไปด้วยล่ะก็นะ

เธอมองไปยังทองฟ้าเหนือโรงเรียน

“ข้ามองเห็นพวกเขาแล้ว!” ฟินกิ้นชะโงกตัวออกไปมองนอกเครื่องบินแล้วตะโกนออกมาว่า “เดี๋ยวๆ เครื่องหมายเลข 1 เหมือนจะถูกยิงตกแล้ว!”

“เจ้าแน่ใจ?”

“ตัวเลขหมายเลข 1 บนสนามบินกลายเป็นสีแดงแล้ว แต่ว่าพวกเขายังไม่ออกมาจากสนามรบ”

“เพราะว่าพวกเขายังไม่รู้น่ะสิ” กู๊ดขมวดคิ้ว เพื่อนรวมทีมโดนกำจัดออกไปเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก “เครื่องหมายเลข 3 ล่ะ?”

“ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นจุดดำๆ ที่กำลังบินเข้ามาจากที่ไกลๆ โน่น!” ฟินกิ้นตะโกนเสียง “เพื่อน ตอนนี้พวกเขาโดนเล่นงานจนแย่แล้ว ได้เวลาพวกเราเข้าไปแล้ว!”

“รออีกเดี๋ยว…ลองพวกด้านหลังเจ้าดูหน่อย มองเห็นพระอาทิตย์หรือเปล่า?”

เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะถูกแสงแดดแยงเข้าตาทันที “เฮ้ ไม่เสียทีที่เป็นนักบินที่ข้าเลือกมา ตอนนี้ด้านหลังเราคือพระอาทิตย์พอดี ข้าแทบจะลืมตาไม่ได้เลย!”

เจ้าเป่ายิงฉุบแพ้ต่างหากล่ะ กู๊ดส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะออกแรงดันคันบังคับ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!”

“ยะ…..ฮู้ววววว!” ฟินกิ้นส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา

เครื่องยนต์ส่งเสียงคำรามจนกลบเสียงลม ท่ามกลางกระแสอากาศที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรง ตัวเครื่องบินเหมือนกำลังสั่นขึ้นมา ความรู้สึกที่ได้ร่อนฝ่าลมลงไปข้างล่างนั้นทำให้กู๊ดรู้สึกเลือดลมพุ่งพล่าน

เขาคืออัศวินที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า!

แต่เส้นทางที่เขากำลังควบไปข้างหน้ากก็คือท้องฟ้าแห่งนี้!

เครื่องหมายเลข 3 พุ่งความสนใจไปที่อยู่เครื่องบินกลุ่มที่ 2 ที่บินช้าที่สุด เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามอีกสองลำเริ่มไล่ตามเครื่องบินหมายเลข 3 จนกระทั่งพวกเขาบินฝ่าออกมาจากแสงแดดที่เจิดจ้าและพุ่งเข้าใส่ทีมที่สองราวกับสายฟ้า เสียงหวีดของลมจึงทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ กู๊ดรู้ว่าถ้าเครื่องบินสองลำนี้รีบยิงเครื่องหมายเลข 3 ทิ้งโดยไม่ไปมัวสนใจเพื่อนร่วมทีม ป่านนี้พวกเขาคงทำสำเร็จไปแล้ว และก็เป็นเพราะความลังเลของพวกเขาถึงได้เปิดช่องให้เขาได้มีโอกาสโจมตี

กว่าเครื่องบินอีกสองลำจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว หลังบินผ่านเครื่องบินหมายเลข 4 ไปอย่างรวดเร็ว กู๊ดก็เปลี่ยนเป้าหมายไปยังเครื่องบินที่มีตัวเลข 5 ติดอยู่บนเครื่องอย่างไม่ลังเล ความจริงกู๊ดล็อกเป้าเครื่องหมายเลข 4 ตั้งแต่ตอนที่เขาพุ่งลงมาแล้ว ถึงแม้มันจะดูเหมือนบังเอิญ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยิงเครื่องหมายเลข 4 ร่วงลงมาจากระยะนั้นจริงๆ แต่องค์หญิงทรงตั้งกฎขึ้นมาแบบนี้ เขาเชื่อว่าองค์หญิงต้องเห็นเหตุการณ์นี้แน่นอน

เพื่อนร่วมทีมอาจจะถูกไล่ต้อนจนต้องออกมาจากฝึกซ้อมได้ เขาจำเป็นต้องรีบทำเวลา

เครื่องบินสี่ลำกำลังพัวพันกัน สถานการณ์พลันดุเดือดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเครื่องหมายเลข 4 กู๊ดถึงขนาดมองเห็นสีหน้าที่ดุร้ายของมือยิงอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะเปิดเผยตัวเองออกมาแล้ว แต่เขายังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบในเรื่องความเร็วอยู่ หลังบินไล่อยู่สองสามรอบ สุดท้ายกู๊ดก็มีเวลาเล็งเป้าอีกฝ่ายมากพอ ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองเล็งเป้าครบ 10 วินาทีแล้ว ฟินกิ้นที่นั่งอยู่ด้านหลังพลันรายงานผลออกมา

“ธงของหมายเลข 5 กลายเป็นสีแดงแล้ว!”

แทบจะในเวลาเดียวกัน เครื่องหมายเลข 3 เองก็ต้องออกมาจากการต่อสู้เหมือนกัน

หมายเลขบนสนามบินที่ยังยกธงสีเขียวอยู่เหลือเพียงแค่หมายเลข 6 กับพวกเขา

น่าจะเป็นเพราะเครื่องบินทั้งสองลำของทีมที่สองสร้างความกดดันให้กับเพื่อนร่วมทีมมากเกินไป เครื่องหมายเลข 3 จึงไม่มีเวลาเล็งเป้ามากพอ หลังจากเครื่องหมายเลข 6 ได้พักหายใจเล็กน้อย ไม่นานอีกฝ่ายก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังทั้งสองคน

“เจ้าพวกนั้นมันทำอะไรเนี่ย ไม่ได้ยิงเลยซักลำ!” ฟินกิ้นหมุนปืนพร้อมส่งเสียงด่าออกมา “นี่ก็เท่ากับเราลำเดียวสู้กับอีกฝ่ายสามลำน่ะสิ!”

“ก็ใครใช้ให้พวกเราเอาพวกเขาเป็นเหยื่อล่อตั้งแต่แรกล่ะ” กู๊ดไม่สนใจ “ยังมีความเป็นได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือเครื่องหมายเลข 6 เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยยาก”

และไม่นานการคาดเดานี้ก็ได้รับการยืนยัน

ไม่ว่าเขาจะเลี้ยวไปทางไป เครื่องหมายเลข 6 ก็ตามหลังเขามาติดๆ ไม่มีโอกาสให้เขาได้สลัดหลุดแม้แต่น้อย เขาจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องเล็งเป้าตัวเองครบ 10 วินาทีแน่

“บ้าเอ้ย” เสียงของเพื่อนร่วมทีมฟังดูร้อนใจขึ้นมากกว่าเดิม “เจ้าขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอไง?”

“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว!”

“แบบนี้ช้าเร็วพวกเราต้องถูกจัดการแน่ รีบคิดหาทางเร็ว! ไปหลบตรงท่าเรือดีไหม? ที่นั่นมีเรือใบเป็นที่กำบัง!”

“ถ้าไปชนถูกเรือผู้อพยพ ไม่ว่าจะใช่พวกเราหรือเปล่า เจ้าคิดว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง?”

“เอ่อ น่าจะโดนยิงเป้ามั้ง” ฟินกิ้นดูซึมไปทันที “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ช่างมันแล้วกัน อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ได้ถูกยิงเป็นลำแรกสุด พวกเราคงไม่รอดแน่ นอกจากจะมีลมส่งพวกเขาขึ้นไปข้างบน”

“มีลม…” กู๊ดตกตะลึงไปเล็กน้อย ภายในหัวเขาเหมือนมีลำแสงแวบขึ้นมา “เจ้าพูดถูก ข้ามีแผนแล้ว!”

“หา?”

“เจ้ายังจำลมที่พัดขึ้นด้านบนตรงริมหน้าผาได้ไหม?”

ลมทะเลที่พัดจากทะเลน้ำวนเข้ามายังชายฝั่งนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะลมที่อยู่ใกล้กับชายฝั่ง เนื่องจากมีหน้าผากั้นอยู่ กระแสอากาศจึงมักจะแตกกระจายไหลไปตามหน้าผา ซึ่งจะมีลมส่วนหนึ่งที่จะพัดขึ้นไปด้านบนอย่างรุนแรง ขอเพียงยืนอยู่ริมหน้าผาก็จะสามารถได้ยินเสียงหวีดดังเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา

หลังรู้แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร ฟินกิ้นก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เราไม่รุู้เลยว่าจะได้เจอลมนั่นหรือเปล่า แถมถ้าเราเข้าไปใกล้หน้าผาเกินไป เกิดมือเจ้าสั่นเพียงนิดเดียว พวกเราได้จบเห่กันแน่!”

ขอบเขตของลมที่พัดขึ้นด้านบนนั้นเล็กน้อย เมื่อพัดผ่านหน้าผาไปก็จะถูกลมทะเลพัดหายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้รับผลกระทบจากผิวหน้าผาที่ขรุขระด้วย ทิศทางของลมจึงค่อนข้างซับซ้อน เผลอๆ ความยากของมันยังยากกว่าการที่บินผ่านใบเรือของเรือใบเสียอีก

“ข้าไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงแบบนั้น แค่แตะๆ ก็พอ เหมือนกับลอยไปบนผิวน้ำ!” กู๊ดลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตรงไปยังโรงเรียนอัศวินอากาศ

เครื่องหมายเลข 6 ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเร่งความเร็วพุ่งลงไปเหมือนกัน

“เจ้าจะรู้ได้ยังไงว่าลมจะมาเมื่อไร?” ฟินกิ้นถามอย่างสงสัย

“เรือที่บรรทุกผู้อพยพพวกนั้นจะบอกข้าเอง!” เขาพาเครื่องบินร่อนลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ ปล่อยให้เครื่องบินหมายเลข 6 ไล่เข้ามาใกล้ หลังจากเขาตีวงเลี้ยว เส้นทางการบินของเขาทับซ้อนเส้นหน้าผาพอดี ระดับความสูงของเครื่องบินแทบจะเท่ากับพื้นดิน สำหรับนักเรียนคนอื่นแล้ว การบินแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการยอมแพ้ ถึงแม้เครื่องหมายเลข 6 จะยังบินด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูง แต่มันก็ไม่มีทางให้หนีได้อีกแล้ว

หลังจากนั้นคู่ต่อสู้ก็ตามหลังเขามา แล้วกัดพวกเขาไว้แน่น

“นับเวลา!” กู๊ดตะโกนเสียงดัง

“ข้าว่าน่าจะยังเหลืออีก 8 วินาที! 6, 5, 4…” ฟินกิ้นกัดฟัน

ในระหว่างนี้เอง กู๊ดก็เพ่งสมาธิไปยังเรือเดินทะเลลำหนึ่งที่อยู่ในอ่าวน้ำตื้น แต่สิ่งที่เขาดูนั้นไม่ใช่ธงหรือใบเรือ หากแต่เป็นนกทะเลที่เกาะอยู่บนเสากระโดงเรือ ธงกับใบเรือนั้นโบกสะบัดอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่สามารถแยกแยะแรงลมได้ มีเพียงนกทะเลที่อยู่กับลมมานานถึงจะไล่ตามแรงลมได้ทัน

ราวกับว่าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นกทะเลฝูงหนึ่งกางปีกทั้งสองข้าง ก่อนจะถลาลงมาจากเสากระโดงเรือแล้วบินไปทางหน้าผา ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกับซีกัลตอนที่บินถลาออกไปอย่างมาก เขาเคยสังเกตมานานแล้ว พวกนกเหมือนจะชื่นชอบการถลาแบบนี้มาก จากเรือไปถึงหน้าผา ต่อให้ไม่ต้องกระพือปีก มันก็จะร่อนไปตามลมได้!

ในตอนที่ฝูงนกกำลังจะไปถึงขอบหน้าผา กู๊ดพลันดึงหัวเครื่องบินขึ้นไปด้านบน

ถ้าเป็นปกติ การบังคับเครื่องบินแบบนี้จะทำให้หัวเครื่องบินเชิดมากเกินไป แล้วก็จะทำให้สูญเสียความเร็วได้ง่าย แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฝูงหนึ่งก็บินสูงขึ้น เหมือนกับว่าด้านล่างมีมือที่มองไม่เห็นคอยประคองพวกมันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ลม….มาแล้ว

พริบตานั้นเอง กู๊ดพลันได้ยินเสียงหวีดที่เสียดหู

สายลมที่รุนแรงจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะปะทะเข้ากับปีกของเครื่องบิน หลังตัวเครื่องสั่นอย่างรุนแรง เครื่องหมายเลข 2 ก็เร่งความเร็วอีกครั้ง มันพุ่งตรงขึ้นไปข้างบนราวกับปาฏิหาริย์ ก่อนจะม้วนกลับไปด้านหลัง!

โลกทั้งใบพลันกลับหัวกลับหาง

มีอยู่ชั่วขณะที่เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งลง เขามองเห็นเครื่องหมายเลข 6 ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวบินผ่านหัวเขาจากทางด้านล่างไป คนขับของอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าตกใจ

อีกฟากหนึ่ง นกทะเลก็กำลังบินเป็นเส้นตรง ปีกสีขาวของพวกมันกลายเป็นเหมือนบันได้ที่ทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขาไม่ได้หลอกเจ้าหญิง

นับตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาในโรงเรียน เขาก็หลงรักการบินมากขึ้นทุกวัน ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองได้บินไปอย่างอิสระทำให้เขาจมอยู่ในความลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวได้

ในบรรดาทุกสิ่งที่กู๊ดได้เรียนรู้มา นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจมากที่สุด

สถานการณ์พลิกกลับแล้ว

……………………………………………………….