หันซื่อพักอยู่ที่เขาอวี้ซันเป็นเวลาสิบวัน กองทัพพ่อค้าของตระกูลอวิ๋นกำลังจะกลับแดนเสฉวนพอดี นางจึงตัดสินใจกลับไปพร้อมกับกองทัพพ่อค้า จะได้มีคนคอยดูแลระหว่างทาง ท่ามกลางการร้องห่มร้องไห้ของตี๋เหรินเจี๋ย หันซื่อกัดฟันบอกลาเขาและจากไป การจากลาในช่วงนี้ มีหลายครั้งที่มันกลายเป็นการจากลาตลอดไป พ่อแม่อยู่ทางไกลคือหลักการที่ถูกต้องของคำสอนโบราณ
ผ่านไปสองสามวัน หลังจากที่เสี่ยวอู่ได้กำหนดตำแหน่งพี่สาวคนที่สองของนางแล้ว นางก็ดีกับตี๋เหรินเจี๋ยมากขึ้น แม่ของนางก็ไปแดนเสฉวนแล้วเช่นกัน ทั้งสองคนตอนนี้ก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องดูแลกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตหรือเรื่องของการเรียน เสี่ยวอู่ก็ให้ความช่วยเหลือตี๋เหรินเจี๋ยเป็นอย่างมาก
ที่จริงแล้วหน้าที่อาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยผ่านเกณฑ์สักเท่าไหร่ เขาเพียงแค่อธิบายโจทย์คณิตศาสตร์สั้นๆ ให้กับลูกศิษย์ หลังจากสอนวิธีการคิดเสร็จก็ไม่สนใจทันที จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง โชคดีที่ตี๋เหรินเจี๋ยไม่ใช่เด็กธรรมดา คำถามง่ายๆ บวกลบคูณหาร เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว บวกกับความช่วยเหลือของเสี่ยวอู่ พูดได้ว่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ใช้เวลาไม่นาน เขาก็จะแซงหน้าเสี่ยวยาแล้ว หากผ่านไปหนึ่งปีจะแซงหน้าซือซือได้ก็ไม่แปลกอะไร
พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญมากจริงๆ บางครั้งอวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก เสี่ยวอู่กับตี๋เหรินเจี๋ยก็เข้าใจแล้ว แต่พวกเสี่ยวยา พวกนางยังนั่งมองพวกเขาด้วยสายตาที่ไร้เดียงสา ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยก็จะไปอธิบายให้เสี่ยวยาคนเดียวอีกรอบ ไม่ได้ขอให้พวกนางเข้าใจอย่างถี่ถ้วน เพียงแค่ขอให้พวกนางมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ก็พอ
วันนี้สอนเสร็จเรียบร้อย นอกหน้าตากเริ่มมีฝนโปรยปรายลงมา ถึงเวลาต้องบัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนานแล้ว มีคำสั่งให้เตรียมขนส่งเสบียงอาหารอีกครั้ง เสบียงอาหารของกวนจงไม่เคยเพียงพอ ต่อให้มีเท่าไหร่ก็กินจนหมดเกลี้ยง
หลี่ซื่อหมินไม่ได้บอกให้อวิ๋นเยี่ยไปหลิ่งหนานอีกครั้ง แต่สั่งให้หลิวเหรินย่วนเป็นผู้นำกองทัพขนส่งเสบียงอาหารชั่วคราว ขนส่งเสบียงอาหารไปที่เหอเป่ยโดยตรง แล้วค่อยขนส่งไปยังเมืองหลวงโดยเรือทางน้ำ
หัวหน้าของชนเผ่าถู่อวี้หุนมาส่งมอบของขวัญให้กับหลี่ซื่อหมินอีกครั้ง ทูตของชนเผ่าเซวียเหยียนถัวก็มาถึงฉางอันแล้วเช่นกัน ชนเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่ในฉ่าวหยวนก็ส่งทูตมายังเมืองหลวง ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ แต่ละชนเผ่าล้วนแต่พาสาวงามมาด้วย แล้วยังมีวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่มาที่ฉางอันด้วย แดนซิวซือและแดนอวี๋เถียนล้วนแต่มียอดฝีมือด้านการร้องเพลงเต้นรำ นักดนตรีที่มีชื่อเสียงเตรียมจะจัดแสดงขึ้นที่เมืองฉางอัน นี่คือการเอาใจราชวงศ์ถัง สิ่งที่ชาญฉลาดจริงๆ คือการมอบหมวกราชาให้กับหลี่ซื่อหมิน นั่นก็คือเทียนเค่อหันซึ่งมีความหมายว่าราชาที่สรวงสวรรค์ส่งลงมา
นี่คือความสำเร็จชั่วนิรันดร์ หลี่ซื่อหมินชอบใจ คนทั้งประเทศก็ตื่นเต้นดีใจ เหล่าขุนนางพากันไปแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ เหล่านักปราชญ์พากันสรรเสริญยกย่อง ฉางอันเต็มไปด้วยความครึกครื้นในชั่วขณะนั้น มีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น
อวิ๋นเยี่ยและหยวนเทียนกังนั่งอยู่ที่จุดสูงสุดของเขาอวี้ซัน ฝนที่ตกโปรยปรายนอกศาลายังคงไม่หยุด ซือซือกับเสี่ยวอู่กำลังชงชา ตี๋เหรินเจี๋ยกำลังรินเหล้า หลี่ฉุนเฟิงไม่มีอะไรทำก็เอนตัวมองดูทิวทัศน์อยู่บนเสาอย่างน่าเบื่อ
ทุกครั้งที่จอกเหล้าของหยวนเทียนกังหมดไป ตี๋เหรินเจี๋ยก็จะเติมให้อย่างขยันขันแข็ง มองดูเทพเซียนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยสายตาแห่งความศรัทธา สำหรับจอกเหล้าของอาจารย์ ต้องเคาะโต๊ะเรียกเขาถึงจะรู้
“มีกลิ่นอายของเรื่องดีๆ กำลังจะมาที่ฉางอัน ไม่รู้ว่าทูตของแดนไหนมาแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” หยวนเทียนกังลูบเคราเบาๆ ท่าทางที่คาดเดาไม่ออกของเขาทำให้ตี๋เหรินเจี๋ยเห็นอกเห็นใจ
“เหล่าหยวน เจ้าเปลี่ยนวิธีพูดหน่อยได้หรือไม่ อย่าเอาแต่เสแสร้งทำเป็นเหมือนรู้อนาคต กองทัพขนาดใหญ่อยู่บนถนนใต้ภูเขาแบบนั้น คนโง่ยังรู้ว่าพวกเขาเป็นกองทัพของท่านทูต เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้า” ทนต่อการสนทนาจอมปลอมแบบนี้ไม่ได้ กิริยาที่ไร้ซึ่งความเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอวิ๋นเยี่ยทำให้ดวงตาที่เป็นประกายของตี๋เหรินเจี๋ยมืดมนลงอย่างรวดเร็ว
“อวิ๋นโหว เจ้าน่าเบื่อมากเลย เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าฉลาด แต่เจ้าทำให้ทุกคนฉลาดเหมือนเจ้าได้หรือ พวกเขาต้องการคำแนะนำ ต้องการการสั่งสอน ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ต้องการการสนับสนุนทางจิตใจ พระภิกษุสงฆ์ก็ทำกันเช่นนี้ หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะทำลายโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ลัทธิเต๋ามีมานับพันปี
ทุกวันนี้พระภิกษุสงฆ์เกิดความวุ่นวาย เจ้าไม่เคยรู้สึกดีกับศาสนาพุทธ แต่เหตุใดเจ้าถึงได้ช่วยเหลือพวกเขา หนังสือเรื่องไซอิ๋วที่เจ้าเป็นคนเขียนขึ้นมา ตอนนี้ได้กลายเป็นบทสุดท้ายที่ศาสนาพุทธจะต้องพูดถึง ชาวบ้านโง่เขลา สิ่งที่พวกเขาชอบที่สุดก็คือเรื่องของเทพเจ้า ตอนนี้ศาสนาพุทธก็กำลังจะฟื้นคืน การที่แต่ละดินแดนมาที่นี่ในครั้งนี้ได้ยินมาว่าพวกเขาได้ทำการจัดกลุ่มพระภิกษุสงฆ์หนึ่งร้อยรูป บอกว่าจะจัดพิธีไว้อาลัยให้กับคนที่ตายในสนามรบสามวันสามคืน เจ้าจะให้ข้ารับมือเช่นไร”
การเผชิญหน้าระหว่างศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าไม่เคยหยุดนิ่ง ครั้งนี้ลัทธิเต๋าได้บริจาคสิ่งที่จะกลายเป็นต้นทุนให้กับยุคหลังคือสถานที่ไว้อาลัยซึ่งมีชื่อเรียกว่าสำนักสุ่ยลู่ ไว้เป็นสถานที่บูชาที่อุทิศให้กับคนตาย
เดิมทีจะถูกส่งต่อไปยังอู่เหลียงตี้ ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่งอู่เหลียงตี้กำลังนอนหลับ ในความฝันมีพระภิกษุรูปหนึ่งบอกกับเขาว่า “ทั้งหกอาณาจักรทนทุกข์ทรมาน เหตุใดถึงไม่สร้างสำนักให้กับดวงวิญญาณ” ดังนั้นฮ่องเต้ผู้นับถือศาสนาพุทธผู้นี้จึงได้ทำการศึกษาพิธีกรรม ก่อสร้างสำนักสุ่ยลู่ขึ้นที่เจิ้นเจียงเพื่ออุทิศให้กับดวงวิญญาณ
ตอนแรกศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ปัจเจก สาวก วิทยราช แปดเทพและพราหมณ์ ต่อมาศรัทธาในคำสอนของผู้พิทักษ์ศาสนา เชื่อในเทพเจ้าทุกสิ่งอย่าง และต่อมาก็ศรัทธาเทพเจ้ามังกรแห่งขุนเขาทั้งห้า เหล่าคนโบราณ เหล่าอสูร เหล่าขุนนาง เหล่าสัตว์นรก ภูตผีปีศาจ เทพเทวดาและสัตว์เดรัจฉานของศาสนา พระพุทธเจ้าและสรรพสัตว์ในหกอาณาจักร คือความศรัทธาธรรมดา ไม่มีผู้ที่ตรัสรู้ เช่นนี้สุ่ยลู่จึงได้รับชนะ ผู้ที่ไม่หลุดพ้น ไม่มีทางให้หันหลังกลับ ไม่มีผู้ที่บรรลุ เช่นนี้สุ่ยลู่จึงได้รับชัยชนะ
ไม่ต้องพูดถึงผลกระทบ เพียงแค่พูดถึงค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย นี่คือเงินจำนวนมหาศาล ในเมื่อต้องการจะสร้างวัด หากมีพื้นที่น้อยกว่าสี่ร้อยไร่ก็คงอับอายขายขี้หน้า ระยะเวลาก่อสร้างก็สั้น งานก็หนัก ดูเหมือนว่ากลุ่มนักก่อสร้างของตระกูลอวิ๋นสามารถทำเงินก้อนใหญ่ได้อีกแล้ว
“เหล่าหยวน ข้าจะช่วยเจ้าทุกครั้งได้อย่างไร เจ้ามากินมาดื่มมือเปล่าที่บ้านข้า ถึงขั้นหยิบของไปมือเปล่าด้วยซ้ำ พวกเขายังเข้าใจทำมากกว่าเจ้าเสียอีก ถามข้าคำถามหนึ่ง ก็เอาลูกประคำที่ดีที่สุดไปให้ท่านย่าของข้า เจ้ามามือเปล่ายังไม่รู้จักอาย”
“เจ้า ไอ้สารเลวที่ไม่รู้จักพอ ‘คัมภีร์หวงถิง’ ก็ถูกเจ้าหลอกเอาไปแล้ว ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอสินบนอีก รีบคิดหาวิธี หากเจ้าคิดออกเจ้าอยากได้อะไรก็ได้ หากเจ้าคิดไม่ออก ข้าจะเอาคนทั้งตระกูลมากินข้าวที่บ้านเจ้า”
ซือซือยกถ้วยชาให้อวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้ยกให้หยวนเทียนกัง อวิ๋นเยี่ยถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เหล่าหยวนพูดถึงพระภิกษุสงฆ์ตั้งหลายประโยค พ่อของซือซือก็เป็นพระภิกษุสงฆ์เช่นกัน นางได้ยินเช่นนั้นนางจึงไม่พอใจ
“เหล่าหยวน หากเจ้ายอมเอาต้นฉบับของ ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ ของพระอาจารย์ซีหวาให้ข้า ข้าจะบอกความลับที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง การไว้อาลัยเป็นเพียงกลไกอย่างหนึ่ง สิ่งที่สำคัญจริงๆ เจ้าไม่รู้และก็ไม่เข้าใจ และที่บังเอิญก็คือข้าคือคนเดียวที่รู้ความจริงของเรื่องนี้ ครั้งก่อนข้าขอเฉิงเสวียนอิง เขาไม่สนใจข้า บอกว่าความลับของลัทธิเต๋าไม่ปรากฏให้คนนอกเห็น ก็แค่เขียนหนังสือเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือ ข้าก็เขียนหนังสือเหมือนกัน แล้วยังเป็นหนังสือชั้นสูง สุดยอดไปเลยใช่หรือไม่”
สายตาของเสี่ยวอู่เป็นประกายขึ้นมา มองดูอาจารย์ข่มขู่หยวนเทียนกัง ซือซือกังวลว่าอาจารย์จะพูดความลับของศาสนาพุทธออกมาเป็นอย่างมาก ตี๋เหรินเจี๋ยสับสนไปตั้งนานแล้ว ที่แท้แล้วคนที่สูงส่งล้วนแต่มีศีลธรรมเช่นนี้ อาจารย์หลอกเอาเงินเขา เทพเซียนหยวนก็พูดคำหยาบ และเขาก็ไม่ได้วิเศษอะไรขนาดนั้น คำพูดของคนนอกนั้นเชื่อไม่ได้จริงๆ เรื่องทุกอย่างตัวเองต้องเป็นคนไปค้นหาความจริงเอง คำพูดที่ไพเราะนั้นสามารถฆ่าคนได้
หยวนเทียนกังเหลือบมองอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง เห็นว่าถึงแม้เขาจะยิ้มแต่มันกลับไม่ได้หมายความว่าล้อเล่น นั่นก็คือ หากอยากจะรู้ความจริง ก็ต้องเอา ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ ที่เฉิงเสวียนอิงหวงแหนเท่าชีวิตมาให้เขา
“อวิ๋นโหว เจ้าน่าจะรู้ว่า ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ คือเลือดเนื้อของอัจฉริยะลัทธิเต๋าเฉิงเสวียนอิง เพราะว่าหนังสือเล่มนี้ เขาถึงได้มีชื่อเสียงเป็นพระอาจารย์ซีหวา ในหนังสือเล่มนั้น สำหรับลัทธิเต๋าแล้ว มันมีความลับที่เปิดเผยออกไปไม่ได้ตั้งมากมาย และยังมีความเข้าใจของโหราศาสตร์ บอกได้ว่ามันถือเป็นการตกผลึกปัญญาของลัทธิเต๋าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ายินดีใช้ทองคำแลกเปลี่ยนกับคำพูดของอวิ๋นโหวแค่คำเดียว ขอให้อวิ๋นเยี่ยปล่อยเฉิงเสวียนอิงไปเถอะ หากไม่มีหนังสือเล่มนั้น เขาอาจจะตายได้”
“เขาจะตายหรือไม่ตายข้าไม่สนใจ ตั้งแต่ตอนที่เขาโยนลูกของชาวประมงที่โง่เขลาลงไปในในทะเลตงไห่เพื่อขอความสงบสุขจากเทพเจ้า เขาจะเป็นจะตายข้าก็ไม่สนใจ หากไม่ใช่เพราะเขา เห็นแก่มิตรภาพระหว่างเจ้ากับข้า ข้าจะบอกเจ้าฟรีๆ ก็ยังได้”
“อวิ๋นโหว เฉิงเสวียนอิงก็รู้สึกเสียใจ ตอนนั้นเขาหลงติดอยู่ในเวทมนตร์ของลัทธิเต๋า เขาคิดว่าเทพเจ้าทั้งหลายต้องการสังเวยเลือดถึงจะคืนความสงบกลับมา คลื่นลูกใหญ่ในทะเลมาจากสาเหตุที่เทพมังกรกำลังโมโห เจ้าดูสิว่าหลังจากที่โยนเด็กลงไปในทะเล สองวันต่อมาคลื่นก็สงบลงทันที”
“หยวนเทียนกัง! เจ้ากล้ามาอำพรางความผิดต่อหน้าข้า ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นทุกปี เริ่มในเดือนมีนาคมและสงบลงในพฤษภาคม ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะมีฝนตกหนักหรือแดดแผดเผา เดิมทีก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เฉิงเสวียนอิงกล้าที่จะพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความเป็นจริง โยนเด็กบริสุทธิ์ลงไปในทะเล และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ เขายังบอกว่าเป็นพิธีกรรมที่ตายตัว ต้องฆ่าเด็กตายสองคนทุกปี เขาเสียใจหรือ มันคงขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าจะยกโทษให้เขาหรือไม่ ซือซือ ส่งแขก!”
อวิ๋นเยี่ยพูดเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกจากศาลา เดินออกไปสองก้าวแล้วหันกลับมาและพูดกับหยวนเทียนกังว่า “ความลับนี้สำคัญมาก สำหรับลัทธิเต๋าของเจ้า มันเป็นเรื่องที่สำคัญถึงชีวิต เจ้าไม่เอา ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ มาให้ข้าก็ได้ แต่ไปตัดลิ้นของเฉิงเสวียนอิงมาให้ข้าแทน ข้าถึงจะยอมบอกเจ้า”
เสี่ยวอู่ถือร่มวิ่งตามอาจารย์ออกไปอย่างมีความสุข ซือซือทำหน้าบึ้งตึงยืนส่งแขก ตี๋เหรินเจี๋ยไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร คนสองคนที่เมื่อครู่ยังพูดคุยหัวเราะ แค่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน
เสี่ยวอู่เขย่งเท้ากางร่มเดินตามอาจารย์ไป นางพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์เก่งมากเลย แสดงให้ชายเฒ่าลัทธิเต๋าคนนั้นเห็นไปเลย เขาไม่มีอะไรทำก็มักจะมองหน้าข้าไปๆ มาๆ เขาต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ จะให้ดีกว่านี้คือไม่ต้องให้เขาเข้ามาที่บ้านของเราอีกต่อไป ลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ ท่านอาจารย์ช่างเกรียงไกร”
อวิ๋นเยี่ยตบที่ท้ายทอยของเสี่ยวอู่เบาๆ เขาหยิบร่มมาจากนางและพูดว่า “เสี่ยวอู่จำเอาไว้ เมื่อไหร่ก็ตามอย่าเพิกเฉยต่อชีวิตคน สิ่งนี้คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด พวกเราทุกคนต่างก็มีแค่ครั้งเดียว หมดแล้วก็คือหมดเลย บอกไม่ได้ว่าชีวิตของใครต่ำต้อยกว่าใคร เจ้าไม่รู้ ลุงตงอวี่ของเจ้า เพราะว่าเขาไม่ยอมเอาชีวิตของเด็กอุทิศให้กับราชามังกรทะเล เขาจึงถูกลัทธิเต๋าไล่ฆ่าที่ทะเลตงไห่ เพื่อที่จะไม่ให้เขาเปิดเผยความจริง เขาถูกตัดลิ้นขาดทั้งเป็น ต่อมาเขาถึงได้เรียนรู้หนังสือกับเซี่ยวชังเซิง เขาถึงได้บอกความจริงกับข้า”
“เพราะเช่นนี้อาจารย์ถึงไม่เห็นแก่มิตรภาพของอาจารย์กับหยวนเทียนกัง ไม่สนใจชื่อเสียงของเฉิงเสวียนอิง ต้องลงโทษเขาให้ได้ เช่นเดียวกับตอนที่คืนความยุติธรรมให้กับพี่ลวี่จู๋ใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง โลกใบนี้ต้องมีสิ่งที่น่าเกลียดน้อยลงและมีสิ่งที่สวยงามเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย”