ลัทธิเต๋าจะซวยก็ซวยตรงที่เอะอะก็ใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องสังเวย นิสัยเลวทรามที่หลงเหลือมาจากโบราณเช่นนี้จวบจนถึงตอนนี้ก็ยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หลังจากที่ศรัทธาจนถึงขีดสุด เห็นว่าไม่มีอะไรจะอุทิศให้กับเทพเจ้า ก็เอาชีวิตคนไปเติมเต็ม เฉิงเสวียนอิงก็คือตัวอย่าง หลักจากที่ไปตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ทะเลตงไห่ คิดถึงอนาคตของลัทธิเต๋าไม่ออก เขาก็ใช้วิธีที่รุนแรงที่สุดในการกระตุ้นสมองของคนศรัทธา การจากลาตลอดชีวิต ความรู้สึกที่น่าจดจำที่สุด คือของขวัญบนแท่นบูชาของเขา สำหรับชีวิตของเด็กพวกนั้นกลับกลายเป็นไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่เฉิงเสวียนอิงเองก็ยังไม่เชื่อว่าราชามังกรทะเลจะได้รับของขวัญจากเขา ยิ่งบำเพ็ญศีลธรรมลึกซึ้งเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่เชื่อในเทพเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เคยถามพระภิกษุรูปหนึ่งว่าการบำเพ็ญเพียรที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ พระภิกษุบอกว่า “ตอนแรกคือการบูชาเทพเจ้า ต่อมาคือการบูชาหลักธรรม และต่อมาคือการบูชาตัวเอง”
เด็กที่ลอยอยู่บนคลื่นที่ปั่นป่วนเหนือทะเลตงไห่พวกนั้น เสวียนจั้งใช้บอกเป็นนัยกับเฉิงเสวียนอิงว่าอะไรคือความน่ากลัว ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยจะใช้วิธีเดียวกันมาจัดการกับเฉิงเสวียนอิง ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ ข้างในหนังสือเล่มนี้มีความลับของลัทธิเต๋ามากเกินไป หากมันรั่วไหลออกไป ศาสนาพุทธก็จะใช้หลักการเหล่านี้ในการสร้างกลยุทธ์เชิงรุกและป้องกันตนเอง ภายในไม่กี่ร้อยปี ลัทธิเต๋าก็ต้องหาวิธีอื่นเท่านั้น วัฒนธรรมที่สะสมมาก่อนหน้านี้ก็ไร้ประโยชน์ มันจะเสื่อมถอยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้กันระหว่างศาสนาไม่เคยสงบมาก่อน และมีเพียงคนข้างในเท่านั้นที่รู้ถึงโศกนาฏกรรม
ซุนซือเหมี่ยวมาแล้ว เขาไม่พูดไม่จา นั่งจิบชาที่หน้าโต๊ะหนังสือของอวิ๋นเยี่ย รออวิ๋นเยี่ยอธิบายให้เขาฟัง
“เสวียนจั้งจะกลับมาแล้ว เอาคัมภีร์กลับมาด้วยมากมาย คำสอนธรรมะของเขาเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากในเทียนจู๋ ว่ากันว่าเขาได้เจอกับพระพุทธเจ้าสามสิบสามองค์ที่แดนฮั่นไห่ผู้นอนหลับไปหลายล้านปี เห็นว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็บอกว่าโลกใบนี้ไม่ดี เขาจะนอนหลับต่อไปจนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะประสูติขึ้นมาอีก เจ้ากับข้าก็รู้ดีว่านี่มันคือเรื่องเหลวไหล แต่เหล่าสาวกที่ศรัทธาพวกนั้นกลับหลงเชื่อ ตอนนี้ฝ่าบาทยังคงต้องการโอกาสในการป่าวประกาศความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง ดังนั้นมันได้กำหนดแล้วว่าเสวียนจั้งจะกลายเป็นศัตรูของศาสนาพุทธ พิธีไว้อาลัยเป็นแค่เรื่องจอมปลอม เสวียนจั้งจะทำลายความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเจ้าอย่างง่ายดาย”
ไม่มีอะไรต้องปิดบังซุนซือเหมี่ยว หากแม้แต่เขาก็เชื่อไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็คิดว่าไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์ราชวงศ์ถังอีกแล้ว เขาน่าจะขับเรือออกไปสร้างประเทศของตัวเองในต่างแดน เรียกมันว่าเกาะเถาฮวาก็ไม่เลวเหมือนกัน
หากเอ่ยว่าซุนซือเหมี่ยวคือนักบวชลัทธิเต๋า ไม่สู้เอ่ยว่าเขาคือหมอคนหนึ่งดีกว่า สวมชุดลัทธิเต๋าทำงานของหมอ สองสามปีมานี้ยังไม่เคยเห็นเขาจุดธูปจุดเทียนมาก่อน
“ไอ้หนุ่ม เจ้าอยากได้ ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ ไปทำอะไร ข้าอ่านแล้วยังปวดหัว เจ้าสนใจที่จะศึกษาหรือ” ซุนซือเหมี่ยวไม่ได้ตกใจกับข่าวที่ว่าเสวียนจั้งกำลังจะกลับมา ความเจริญรุ่งเรืองหรือล่มสลายของลัทธิเต๋าไม่ได้มีความหมายสำหรับเขามากนัก
“‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า เอามาข้าก็เอามาเผา บนนั้นมีเลือดของเด็กติดอยู่ สิ่งของสกปรกเช่นนั้นไม่มีทางเข้าตาข้าได้ สิ่งที่ข้าต้องการก็คือลิ้นที่ก่อปัญหาของเฉิงเสวียนอิง เอามาให้ข้าป้อนสุนัข ข้าก็จะบอกข่าวการกลับมาของเสวียนจั้งให้เขารู้”
ซุนซือเหมี่ยวถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ถือกาน้ำชาเดินออกไปข้างนอกและพูดกับอวิ๋นเยี่ย “เจ้าอยากได้ลิ้นของเฉิงเสวียนอิงก็เอาแต่ลิ้นก็พอแล้ว เหตุใดต้องพูดถึง ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ หยวนเทียนกังตกใจจนเป็นบ้า เขาคิดว่าเจ้ากลายเป็นผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธไปแล้ว ขอร้องให้ข้ามาถามเจ้าว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่ ขอแค่เจ้าไม่ศรัทธาในศาสนาพุทธและยังให้ความช่วยเหลือพวกเขา เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าก็ให้เป็นเรื่องของข้าไปแทน ส่วนเรื่องที่เจ้าอยากได้ลิ้น ข้าจะไปบอกหยวนเทียนกังเอง คนที่ชอบพูดจาเหลวไหลเช่นนั้น มีลิ้นไว้ก็เป็นส่วนเกิน ไม่มีก็ดีเหมือนกัน”
อวิ๋นเยี่ยส่งเหล่าซุนเดินออกไป เขาเห็นหยวนเทียนกังเฝ้าดูอยู่นอกประตูไกลๆ เห็นเหล่าซุนเดินออกมาเขาก็เดินอ้อมมาหา คงกะจะเดินเข้ามาถาม เหล่าซุนพูดอะไรกับเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นรถม้ากลับเขาอวี้ซัน ทิ้งให้หยวนเทียนกังกับลูกศิษย์ยืนมองหน้ากันอยู่ตรงนั้น
ซุนซือเหมี่ยวไม่มีทางบอกข่าวที่เสวียนจั้งจะกลับมาให้หยวนเทียนกังรู้ อย่างมากเขาก็แค่บอกว่าอวิ๋นเยี่ยอยากได้ลิ้นของเฉิงเสวียนอิง ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน ไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า
อวิ๋นเยี่ยสั่งให้คนจัดหารถม้าให้กับหยวนเทียนกังหนึ่งคัน วันนี้เขายุ่งมาก ต้องหารือกับคนจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องลิ้นของเฉิงเสวียนอิง การเดินทางไม่ใช่เรื่องที่ดี เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อาจารย์และลูกศิษย์ขอม้าสองตัว จากนั้นก็วิ่งไปทางสำนักเสวียนตู
สองวันนี้ตระกูลอวิ๋นค่อนข้างครึกครื้น คนใหญ่คนโตมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ถามอวิ๋นเยี่ยอ้อมๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อวิ๋นเยี่ยหัวเราะและบอกพวกเขาไปว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่ เอาลิ้นของเฉิงเสวียนอิงมาให้ข้าเดี๋ยวก็รู้เอง แม้จะพูดจาอย่างสุภาพแต่เจตจำนงแน่วแน่มาก
กลางค่ำกลางคืนก็ไม่หยุดหย่อน มีคนบินไปๆ มาๆ บนหลังคา รบกวนซ่านอิงที่กำลังจีบสาว ดังนั้นขาของคนที่บินไปๆ มาๆ จึงมีลูกธนูปักอยู่ทุกคน ก่อนจะร่วงตกลงมาเหมือนเป็ดแล้วถูกทหารองครักษ์ตระกูลอวิ๋นเอาไปโยนทิ้งไว้นอกประตู อวิ๋นเยี่ยไม่ถามสักคำ องครักษ์แอบบอกอวิ๋นเยี่ยว่าคนเหล่านั้นหัวล้านกันตั้งหลายคน
พระอวี้หลินมาหาอวิ๋นเยี่ย สายตาของเขาริบหรี่ เขาคือคนที่รู้เรื่องอย่างแน่นอน ทำทีมารับลมฤดูใบไม้ร่วงที่ตระกูลอวิ๋น ชื่นชมใบชาของตระกูลอวิ๋น ชื่นชมความกตัญญูของซือซือ และยังถือโอกาสมาปิดทองที่วัดของตระกูลอวิ๋น สวดมนต์ให้ท่านย่าฟังสองชั่วโมง จากนั้นถึงได้มาคุยเรื่องพิธีไว้อาลัยกับอวิ๋นเยี่ย
“อวิ๋นโหว พิธีไว้อาลัยคือพิธีกรรมสูงสุดของศาสนาพุทธ ไว้อาลัยให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ปลดปล่อยผู้ที่ยังไม่ไปเกิด คืนอิสระให้กับผู้ที่ไม่ศรัทธาในลัทธิเต๋า สังเวยให้กับภูตผีวิญญาณ เหตุใดอวิ๋นโหวถึงได้ไม่เห็นด้วย”
“พระอาจารย์พูดเกินไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยบำเพ็ญศีลธรรมกับอาจารย์ของตระกูลมาตั้งแต่เด็ก ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้าแต่ก็ไม่ลบหลู่ ข้าเชื่อในความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมของสวรรค์เท่านั้น ศาสนาพุทธของเจ้าครั้งนี้ยิ่งใหญ่เสียจริง เรื่องของสำนักสุ่ยลู่นั้นข้ารู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก ช่วยเหลือคนตาย ปลอบประโลมคนมีชีวิต ถือว่าเป็นศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่อาจารย์เสวียนจั้งกลับมาจากแดนไกล เหตุใดถึงต้องปิดข่าวถึงเพียงนี้
จดหมายของเสวียนจั้งที่ทูตของแดนอวี๋เถียนเอาไปมอบให้ฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าเก็บไว้เอง ช่างกล้าหาญเสียจริง ถือโอกาสตอนที่ฝ่าบาทยังไม่ทราบข่าว รีบเอาไปมอบให้ฝ่าบาทซะ มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าเจ้าจะจัดพิธีไว้อาลัยแต่มันก็คงไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องสูญเสีย”
พระอวี้หลินสีหน้ามืดมน กุมมือโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยและรีบออกไปทันที ทำเอาท่านย่าที่กำลังเตรียมจะต้อนรับพระอวี้หลินถึงกับตกใจ
ประตูใหญ่ของตระกูลอวิ๋นปิดแน่น ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา แต่มีป้ายไม้แขวนอยู่นอกประตู บนนั้นเขียนเลขสิบเอาไว้ ผ่านไปวันหนึ่ง ตัวเลขก็จะลดลง เมื่อตัวเลขลดลงเป็นเลขสาม จั่งซุนก็มาพอดี นางเมินเฉยต่อพิธีกรรมทั้งหมด เปิดประตูเดินเข้ามาเอง เดินตรงไปลานหลังบ้าน ขุดอวิ๋นเยี่ยออกมาจากห้องหนังสือ เบิกตาโตแล้วถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห “เจ้าไปรู้อะไรมา เหตุใดถึงต้องเอาลิ้นของเฉิงเสวียนอิงให้ได้ เจ้าจะเอาไปทอดกินหรือ”
“กราบทูลฮองเฮา กระหม่อมก็แค่ทำให้หยวนเทียนกังตกใจนิดหน่อย อยากจะเอาหนังสือ ‘คัมภีร์ศีลธรรมภายใน’ มาทำเป็นกระดาษเช็ดมือ ครั้งก่อนกระหม่อมไปขอมาจากเฉิงเสวียนอิงแต่เขาไม่ให้ เขาไม่เห็นหัวหลานเถียนโหวอย่างกระหม่อม กระหม่อมเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยท่านก็รู้ กระหม่อมจึงพูดเช่นนั้นออกไป”
อวิ๋นเยี่ยกะจะไม่สนใจ หากจะให้เหตุผลกับจั่งซุนมันก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก เหตุผลมาจากตระกูลนางทั้งนั้น นางจะพูดอะไรย่อมต้องมีเหตุผล คำสั่งที่ออกมาไม่ใช่พูดไปตามอำเภอใจ
“ตำแหน่งขุนนางเล็กเท่าเมล็ดงา เต่าในเเม่น้ำจินสุ่ยยังใหญ่กว่าเจ้าเสียอีก หากยังรู้จักการรักษาหน้ากันบ้าง เฉิงเสวียนอิงคือพระอาจารย์ซีหวาที่ฝ่าบาทพึ่งจะแต่งตั้ง ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็ถูกเจ้าขู่จะเอาลิ้นไป เจ้าจะให้ฝ่าบาทเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างไร้อารมณ์ “โลกสงบสุข ราษฎรร่ำรวย เหล่าทหารกล้าหาญชาญชัย ขยายดินแดนออกไปให้ประเทศชาติยิ่งใหญ่ สิ่งพวกนี้คือหน้าตาของฝ่าบาท พระอาจารย์ที่มีแต่คำพูดสวยงามยังพูดไม่ได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับฝ่าบาทได้”
ปากพูดออกไปแบบนั้นแต่กลับด่าอยู่ในใจ ข้าสู้เต่าในแม่น้ำไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าจั่งซุน ทีกับคนอื่นมักจะให้ความรู้สึกที่สบายใจ แต่พอกับข้ากลับกลายเป็นลิ้นที่มีพิษทันที
“โย๊ะ ไม่ได้เจอกันหลายวัน เก่งขึ้นไม่น้อย รู้จักโยนความผิดให้คนอื่นแล้ว ไอ้หนุ่ม เจ้าจะทำอะไรกันแน่ ถูกกักบริเวณยังไม่หยุดอยู่นิ่งๆ อีก ข้ากับฝ่าบาทจะคอยดูเรื่องสนุกอย่างมีความสุข เจ้าทำอะไร เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าเสวียนจั้งกำลังจะกลับมายังเมืองหลวง”
พระเจ้า นี่ยังเป็นฮองเฮาที่อ่อนโยนและสง่างามอยู่หรือเปล่า หูของอวิ๋นเยี่ยถูกดึงจนจะกลายเป็นหูลาอยู่แล้ว คำว่าไอ้หนุ่มยังออกมาจากปากนาง แล้วยังพูดออกมาอย่างเต็มเสียง
“หากยังดึงอีกหูกระหม่อมจะขาดแล้ว!” อวิ๋นเยี่ยกระโดดพร้อมกับตะโกน เขาทำอะไรจั่งซุนไม่ได้เลย
“ขาดไปก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ฉางอันไม่ค่อยสงบสุข เจ้าตั้งใจเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านก็พอ ไม่ได้ยินเรื่องข้างนอกก็ดีเหมือนกัน แต่เจ้ากลับเรื่องมาก ความขัดแย้งระหว่างศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า เจ้าเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยเช่นนี้สนุกมากหรือ ตระกูลเจ้าจับนักฆ่าได้กี่คน อย่าบอกว่าไม่มีใครอยากจะฆ่าเจ้า ใครคือคนที่สามารถยิงธนูในความมืดตอนกลางคืนได้ พึ่งจะรู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าแอบซ่อนคนมีความสามารถเช่นนั้นเอาไว้
อวิ๋นเยี่ยนั่งบนเก้าอี้จับที่วางแขนแล้วพูดว่า “กระหม่อมรู้อยู่แล้ว และกระหม่อมก็วางแผนว่าจะทำเช่นนั้น กระหม่อมยังคิดจะแอบออกไปดูการร้องเพลงเต้นรำที่ฉางอัน ไปฟังเพลงของแดนซิวซือ ใครจะไปรู้ จู่ๆ ก็ให้กระหม่อมรู้เรื่องที่เฉิงเสวียนอิงจับเด็กโยนลงทะเลตงไห่ตอนนี้ เรื่องเช่นนี้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้ต้องจับเด็กโยนลงไปทุกปี โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้เป็นพระอาจารย์ซีหวา เดิมทีโยนปีละสองคน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นปีละสี่คน ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นทุกปี นั่นก็หมายความว่าเรื่องเช่นนี้จะดำเนินต่อไปทุกปี ตอนนี้ฝ่าบาทเห็นชีวิตของราษฎรเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า ก็เลยจะจับพวกเขาโยนลงทะเล แม่น้ำ หลุมไฟทุกปีหรือ
เรื่องที่แม้แต่ซีเหมินเต้ายังไม่ทำ แต่ตอนนี้ไอ้พวกนี้ทำอย่างเอาจริงเอาจัง หากไม่เห็นแก่หน้าฝ่าบาท กระหม่อมจะเลียนแบบซีเหมินเต้า เอาเฉิงเสวียนอิงโยนลงทะเลตงไห่ กระหม่อมไม่สน ครั้งนี้กระหม่อมจะต้องเอาลิ้นเขามาป้อนสุนัขให้ได้”
จั่งซุนตกใจ เมื่อก่อนแค่นางออกโรง ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่แค่ไหนอวิ๋นเยี่ยก็จะยอมฟังนาง แต่ครั้งนี้ นางฟังออกว่าอวิ๋นเยี่ยจริงจังมาก
นางนั่งลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความพ่ายแพ้ “เพื่อเด็กพวกนั้น เจ้าไม่ลังเลที่จะเข้าไปวุ่นวายระหว่างศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าเลยหรือ”
อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้น รินน้ำชาให้จั่งซุนแล้วพูดเบาๆ ว่า “เรื่องหมากัดหมามีอะไรน่าสนใจ ท่ามกลางความโกลาหลฝ่าบาทถึงจะเห็นได้อย่างชัดเจน มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของราษฎร ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของราษฎร เมื่อฝ่าบาทเห็นชัดเจนแล้ว ต้องการทำเช่นไร ด้วยสติปัญญาของฝ่าบาทมันต้องมีผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน ส่วนสำหรับกระหม่อมแล้ว ชีวิตของเด็กพวกนั้นย่อมสำคัญกว่าพระภิกษุและสาวกพวกนั้นมากมาย”