เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก คือจุดจบที่น่าอนาถที่สุด เฉินฉางเซิงจึงหวาดกลัว กังวล ไม่สบายใจ…ทว่าไม่สิ้นหวัง
เขาเปี่ยมด้วยความสิ้นหวังเมื่อครั้งอายุสิบขวบ ได้คุ้นชินกับมันแล้วและรู้ว่ามันไร้ประโยชน์
เขาจ้องมองไปที่บัณฑิตวัยกลางคนที่อยู่ไกลออกไปในขณะที่มือขวากำกระดุมอยู่ในแขนเสื้อ
บัณฑิตวัยกลางคนดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างและสายตาก็แหลมคมยิ่งขึ้น เยียบเย็นและคมกริบราวกับกระบี่ ไอพลังปราณอันน่าหวั่นเกรงกระจายไปในผืนป่าโดยรอบ
ก้อนหินในอากาศสั่นสะท้านจากแผ่นดินไหวพร้อมกับเสียงอันดัง
พายุหิมะพลันรุนแรงขึ้นและเส้นทางภูเขาก็หนาวเย็นยิ่งขึ้น อาวุธมากมายของผู้บำเพ็ญเพียรร่วงลงพื้นเสียงดังอึงอล
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่ามือขวาไม่ยอมฟังคำสั่งเขา ประหนึ่งถูกแช่แข็งไปแล้วจริงๆ ทำให้เขาไม่อาจทำลายกระดุมในมือได้!
ด้วยพลังที่มั่นคงจากค่ายกลภายในหานซาน หินสวรรค์หลายร้อยก็ก้อนตกลงอีกครั้ง
บัณฑิตวัยกลางคนยกมือขวาขึ้น ดูเหมือนจะสะบัดนิ้วไปที่เส้นทางภูเขาที่อยู่ห่างออกไป
ไอพลังปราณที่มองไม่เห็นไหลผ่านหินสวรรค์และไปจนถึงเส้นทางภูเขา
มือขวาของเฉินฉางเซิงถูกไอพลังปราณของบัณฑิตวัยกลางคนตรึงเอาไว้แต่มือซ้ายยังสามารถเคลื่อนไหวได้
ลูกเหล็กลอยออกมาจากฝักกระบี่และขยายตัวออกด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการพร้อมกับเสียงโลหะบาดหู
ร่มเก่าคันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือซ้ายของเฉินฉางเซิง
ร่มกระดาษทอง
เสียงโครมครามดังก้องไปทั่วเส้นทางภูเขา น้ำในลำธารพลุ่งพล่านสาดกระจายกลายเป็นหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน
ไอพลังปราณพุ่งเข้ากระทบผิวนอกของร่มกระดาษทอง
พลังอันบ้าคลั่งเกินจินตนาการถ่ายทอดมาตามร่มกระดาษทอง เข้าสู่ร่างกายของเฉินฉางเซิง
ร่างเฉินฉางเซิงเป็นประดุจก้อนหินเล็กๆ ที่ถูกค้อนเหล็กทุบ ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านอากาศกระแทกหน้าผาอย่างรุนแรง!
ฝุ่นลอยไปในอากาศจากนั้นก็สงบลง
รูปร่างของมนุษย์ปรากฏชัดบนหน้าผา เช่นเดียวกับเศษหินบางส่วน แต่ไม่มีร่องรอยของเฉินฉางเซิงให้เห็น
……
……
สาเหตุที่เฉินฉางเซิงสามารถหลบหนีจากการคุมขังของบัณฑิตวัยกลางคนและใช้วิธีที่คาดไม่ถึงหายตัวไปนั้นย่อมเป็นเพราะกระดุมที่เขาถือเอาไว้ในมือตลอดเวลา
มันไม่ใช่กระดุมธรรมดาทั่วไป มันคือกระดุมพันลี้
ตอนนั้นเมื่อลั่วลั่วได้พบกับมือสังหารเผ่ามารในสำนักฝึกหลวง นางก็ใช้กระดุมพันลี้แต่ถูกตาข่ายฟ้าขวางกั้นไว้
ตาข่ายฟ้านั้นเป็นอาวุธของราชามาร แม้ว่ามันอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ก็ยังสามารถสะกดกระดุมพันลี้เอาไว้ได้
ในตอนนี้ ตาข่ายฟ้าอยู่ในมือของราชสำนักต้าโจว
วันนี้บนเขาหานซาน เฉินฉางเซิงได้พบกับเจ้าของตาข่ายฟ้า เขาใช้กระดุมพันลี้และไม่ถูกตาขายฟ้าขวางกั้น แต่เขากลับถูกหินสวรรค์ขวางแทน
ในตอนนี้ เขาควรออกจากระยะของเขาหานซานและไปรวมตัวกับพวกเหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่ที่เชิงเขา แต่เขากลับยังอยู่ภายในเขา
หินหลายพันก้อนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ผนึกเขาหานซานเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจออกไปได้
หินใหญ่ราวกับภูเขาขนาดย่อมตั้งอยู่บนทางเดินภูเขา ขวางทางเอาไว้
ใบหน้าเฉินฉางเซิงซีดขาวอย่างเหลือเชื่อ อาการบาดเจ็บภายในร่างกายปะทุออกมา จนเขาต้องกระอักเลือดลงบนก้อนหิน
แค่นิ้วของบัณฑิตวัยกลางคนก็เหนือกว่ากระบี่ของจูลั่วที่เขาพบในเมืองสวินหยางแล้ว
หากมิใช่เพราะร่มกระดาษทอง เขาคงตายไปแล้ว
ถึงกระนั้นก็มีรูปรากฏขึ้นบนผืนผ้าของร่มกระดาษทอง
เฉินฉางเซิงตรวจดูรอยเลือดบนก้อนหิน แม้ว่าจะยืนยันแล้วว่ามันไม่มีกลิ่น เขาก็ยังไม่วางใจ เขานำฝุ่นขึ้นมากลบรอยเลือดและพุ่งตัวไปบนทางภูเขา
ในการต่อสู้ที่ผ่านๆ เขาแทบไม่เคยหนี การทิ้งเพื่อนยิ่งน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม วันนี้ต่างออกไป เพราะไม่มีทางที่จะเอาชนะบัณฑิตวัยกลางคนได้เลย แม้แต่จะต่อต้านก็ยังไม่อาจทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ดีว่าเป้าหมายของบัณฑิตวัยกลางคนก็คือเขา ดังนั้นยิ่งเขาหนีไปไกลเท่าไร เพื่อนเขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงหนี หนีไปอย่างตั้งอกตั้งใจเกินปกติ
เขาใช้เพลงกระบี่สันดาปจุดปราณแท้ในกายจนแทบไม่ใส่ใจในชีวิตของตัวเอง วิ่งด้วยความบ้าคลั่งไปยังยอดเขาหานซาน
มังกรฝุ่นลอยขึ้นท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมภูเขา ในชั่วพริบตาเขาก็อยู่ห่างจากยอดเขาไม่กี่ลี้เท่านั้น
……
……
ทั้งลำธารและภูเขาต่างก็เงียบงัน
กลุ่มคนมองดูฝุ่นจางลง จ้องมองรอยที่เหลือจากการปะทะด้วยความตกใจ ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วไม่ได้มอง ยังคงจับจ้องไปที่บัณฑิตวัยกลางคนริมลำธาร แม้ว่าพวกเขาจะหน้าซีด หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และรู้ว่าตนจะตายในไม่ช้า แต่พวกเขาก็ยังคงจ้องมองต่อไป
บัณฑิตวัยกลางคนเคลื่อนไหว มุ่งขึ้นไปตามลำธาร
ค่ายกลหินสวรรค์แห่งหานซานตอบสนอง หินสวรรค์หลายร้อยก้อนห้อมล้อมติดตามเขาไป
เจ๋อซิ่วกับถังซานสือลิ่วก็เคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียงพุ่งเข้าหาบัณฑิตวัยกลางคน พวกเขารู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบัณฑิตวัยกลางคน แต่เห็นได้ชัดว่าเขามาเพราะเฉินฉางเซิง ในตอนนี้เขากำลังมุ่งไปตามล่าเฉินฉางเซิงดังนั้นต่อให้พวกเขาชะลอได้แค่ครู่เดียว ก็ยังถือว่าได้ครู่หนึ่ง…
พวกเขาไม่อาจชะลอบัณฑิตวัยกลางคน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตาย
เขาอยู่ไกลจากเมืองเสวี่ยเหล่าและมายังโลกมนุษย์ ดังนั้นเวลาของบัณฑิตวัยกลางคนจึงมีค่าอย่างมาก อย่างน้อยก็มีค่ามากกว่าชีวิตของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ให้ความสนใจกับคนทั้งสอง
เป็นไปไม่ได้ที่เจ๋อซิ่วกับถังซานสือลิ่วจะไล่ตามบัณฑิตวัยกลางคนได้ทัน
บัณฑิตวัยกลางคนดูเหมือนจะก้าวเดินอย่างช้าๆ แต่กลับเดินทางไปได้ไกลในชั่วพริบตา
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เขายังลากหินสวรรค์หลายร้อยก้อนไปพร้อมกับเขาด้วย
หินสวรรค์พวกนั้นมีน้ำหนักที่เกินจินตนาการได้ และตอนนี้พวกมันก็ติดอยู่บนตัวของบัณฑิตวัยกลางคน แม้กระนั้นก้อนหินก็ยังไม่อาจทำให้เขาก้าวช้าลงเลยแม้แต่นิดเดียว
เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วแนวเขา หน้าผาจำนวนนับไม่ถ้วนถล่มทลายและเส้นทางภูเขาก็เสียหาย
ภาพนี้แปลกประหลาดมาก น่าตกใจอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยพลังและความน่ากลัว
เมื่อบัณฑิตวัยกลางคนและหินสวรรค์จากไป พายุหิมะและแรงกดดันเหนือลำธารและเส้นทางภูเขาก็หายไปในทันที
น้ำในลำธารพุ่งขึ้นหลายร้อยจั้งพร้อมกับเสียงระเบิดและตกลงมาราวกับสายฝน
หน้าผาบนเส้นทางภูเขาและหญ้าสั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงระเบิดอื้ออึงดังขึ้นไม่หยุด
ลูกพลับที่ดูเหมือนกับโคมไฟสีเหลืองบนต้นไม้ร่วงลงทีละลูก ไม่ว่าจะสุกหรือไม่ก็ล้วนร่วงลงสู่พื้นดินจนหมดสิ้นและแหลกเหลวเป็นเศษเนื้อ
เช่นเดียวกับศพและเศษเลือดเนื้อริมลำธาร
……
……
ก้อนหินใหญ่ยังคงลอยอยู่อย่างเงียบงัน แต่ก็ใกล้กับพื้นจนดูไม่ต่างไปจากภูเขาลูกย่อม
บัณฑิตวัยกลางคนยืนบนหน้าผาด้านตรงข้าม แบมือคว้าจากระยะไกล ก้อนหินที่ใหญ่ปานภูเขาลอยมาตกลงในมือเขา
เมื่อเทียบกับก้อนหินใหญ่ยักษ์นี้แล้ว เขาดูเล็กจ้อยไร้ความสำคัญจนแทบมองไม่เห็น
ภูเขาตกลงมาอยู่ในมือเขา นี่อาจฟังดูไม่ถูกต้องเท่าไรนัก แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ
ลมเย็นพุ่งผ่านหน้าผา พัดฝุ่นผงบนก้อนหิน เผยให้เป็นรอยคราบเลือดที่ยังชื้นอยู่
บัณฑิตวัยกลางคนก้มหน้าลงและดมกลิ่น สีหน้าเขายังคงเรียบเฉยแต่ดวงตาปิดลงช้าๆ ราวกับมึนเมา
“ลูกข้าคิดไม่ผิดจริงๆ”
บัณฑิตวัยกลางคนลืมตามองดูคราบเลือดบนก้อนหิน เขาเผยรอยยิ้มอ่อนจางดูพึงพอใจอย่างมาก
ภูเขาและแม่น้ำบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสงดงาม ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม
ชั่วขณะต่อมา ภูเขาและแม่น้ำก็หม่นมัวลงอีกครั้ง
เพราะเขาขมวดคิ้ว
มันยังไม่สุกงอมดีแต่ก็ยังใช้ได้
อาการบาดเจ็บจากอดีตที่ซุกซ่อนไว้สามารถรักษาให้หายได้อย่างสมบูรณ์
ในที่สุดเขาก็สามารถวางภาระหนักหน่วงนี้และมุ่งหน้าเข้าสู่ขั้นมหาอิสระต่อไป
ความคิดนี้และความคะนึงถึงเวลาหนึ่งพันปีที่ยาวนานไร้สิ้นสุด ทำให้แม้แต่คนเช่นเขายังต้องทอดถอนใจ
……