เฉินฉางเซิงวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง รองเท้ากับภูเขาบดบี้ไปด้วยกันเมื่อเขาวิ่งไปในเมฆฝุ่น ในเวลาไม่นานเขาก็วิ่งขึ้นเขามาได้ครึ่งทางแล้ว
เขาไม่รู้ว่าอีกไกลเพียงไรกว่าจะไปถึงทะเลสาบสวรรค์และยอดเขาหานซาน รู้แค่ว่าเขาต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ยิ่งวิ่งไปได้ไกลเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น
แต่ในไม่ช้าเขาก็หยุดเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขาสัมผัสได้ว่าลูกปัดหินร้อนขึ้น
เทือกเขาพลันเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม นี่คือเสียงหินหลายร้อยก้อนถูกบังคับให้เคลื่อนแหวกฝ่าอากาศเช่นนั้นหรือ
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงหน้าผาพังทลายก็ดังขึ้น
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่เป็นลูกปัดหินก็ร้อนขั้นเรื่อยๆ จนแทบจะลวกผิว
ทันใดนั้นเสียงทั้งหมดก็หายไป
ของสิ่งหนึ่งส่องแสงสะท้อน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือสะท้อนเข้าตาเขา
มันคือผนึก เขาไม่รู้ว่ามันถูกสลักลงบนหินประเภทใด แต่เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งแปลกประหลาดอะไรจากสิ่งนี้
หินผนึกส่ายไหวอยู่ในสายลมอย่างแผ่วเบา
ผนึกนั้นผูกมัดอยู่กับข้อมือของชายคนหนึ่ง
คือบัณฑิตวัยกลางคน
จากนั้นเฉินฉางเซิงก็เห็นหินสวรรค์หลายร้อยก้อนติดตามบัณฑิตวัยกลางคนไป
เห็นได้ชัดว่าพวกมันสะกดความเร็วของเขาเอาไว้ด้วยพลังพิสดาร มืดฟ้ามัวดิน การพยายามเหนี่ยวรั้งความเร็วของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดานี้ทำให้พวกมันดูเหมือนเป็นทั้งผนึกและเครื่องประดับของเขา
นี่คือหน้าผา ด้านบนมีคูตื้นๆ ถูกขุดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เป็นเส้นทางลวกๆ ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยตะไคร่
เฉินฉางเซิงอยู่ใต้หน้าผาในขณะที่บัณฑิตวัยกลางคนอยู่ด้านบน ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น
“มนุษย์อย่างเจ้าดูเหมือนจะชอบติดอยู่ในกับดักที่พวกเจ้าสร้างขึ้นเองนะ”
บัณฑิตวัยกลางคนมองดูเขาอย่างสุขุมและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าค่ายกลหินสวรรค์ที่ผนึกภูเขานี้ไว้เป็นแผนการหรือเปล่า แต่ข้ารู้ว่ามันได้ผนึกความตายของเจ้าไว้ในเขาแห่งนี้”
เฉินฉางเซิงไม่ตอบเพราะมันไม่มีความหมาย
ไม่มีความสิ้นหวังอยู่ในใจของเขา เพราะมันไม่มีความหมาย
ดวงจิตของเขาสัมผัสอยู่ที่ลูกปัดหินดำ เตรียมตัวที่จะหนีเข้าไปในสวนโจวเป็นการชั่วคราว
เขาไม่รู้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนจะสามารถทำลายม่านพลังรอบสวนโจวได้หรือไม่ หากการสันนิษฐาจของเขากับสวีโหย่วหรงถูกต้อง คนผู้นี้เคยบุกเข้าไปในสวนโจวมาแล้ว ดังนั้นหากเขาเข้าไปในสวนโจวต่อหน้าต่อตาคนผู้นี้ ก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย แต่ด้านหลังคือหน้าผาและเขาก็อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ดังนั้นก็ได้แต่ต้องทดลองดู
ที่ทำให้เขาตกใจและประหลาดใจก็คือ เขาไม่อาจใช้หินดำเข้าสู่สวนโจวได้
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขายังอยู่ในหานซานหลังชนหน้าผา
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะค่ายกลหินสวรรค์ที่ผนึกพื้นที่รอบหานซานหรือว่าเป็นเพราะบัณฑิตวัยกลางคนนั้นทรงพลังจนทำให้การมีอยู่ของเขานั้นส่งผลต่อห้วงมิติ
สรุปก็คือเขาไม่สามารถเข้าไปในสวนโจวและเสียกลยุทธ์สุดท้ายไปแล้ว
แต่เขาก็ยังไม่สิ้นหวัง
เขายกกระบี่ไร้ราคีขึ้นและกำซ่อนคมเอาไว้ จ้องมองไปทางบัณฑิตวัยกลางคนด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
นี่เป็นศัตรูที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ แต่แล้วจะทำไม
บัณฑิตวัยกลางคนแสดงความชื่นชมเล็กน้อยในสายตา “เจ้าคงรู้เป้าหมายของข้าสินะ”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวต่อ “ข้าจะค่อยๆ กินเจ้าด้วยความขอบคุณจากใจ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้ารู้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน ข้ายังรู้จักการทำให้หยกกระเบื้องแหลกลาญไปพร้อมกัน ผู้อาวุโสซูหลีสอนเพลงกระบี่สันดาปให้ข้า ข้าสามารถเผาไหม้ตัวเองจนกลายเป็นเถ้า”
บัณฑิตวัยกลางคน “คิดจะใช้ความตายมาขู่ข้าอย่างนั้นหรือ แม้ว่าการเล่นกับชีวิตเหยื่อจะสนุก แต่ข้าก็ไม่สนหรอกนะหากต้องฆ่าเจ้าเสียก่อน”
เฉินฉางเซิงตอบ “แต่เจ้าก็ยังไม่ฆ่าข้า”
ใช่แล้ว หากบัณฑิตวัยกลางคนต้องการจะสังหารเขา ไม่ว่าเขาจะมีร่มกระดาษทองหรือกระดุมพันลี้หรือจดหมายก็ตาม เขาก็ยังต้องตายอยู่ดี
รอยยิ้มบัณฑิตวัยกลางคนจางลง เขากล่าวอย่างเรียบเฉย “ต่อหน้าข้าต่อให้คิดจะตายก็ไม่ง่ายนัก”
“ข้าอยากจะลองดู”
ในเมืองสวินหยางตอนเผชิญหน้ากับจูลั่ว หวังผ้อก็พูดเช่นนี้ ต้องการจะดูว่าเขาจะโจมตีจูลั่วได้สักครั้งหรือไม่ วันนี้ที่หานซาน เฉินฉางเซิงก็พูดคำนี้ เขาอยากจะลองดูว่าหากเขาจะเผาตัวเองเป็นเถ้าต่อหน้าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ได้หรือไม่
กระบี่หมื่นเล่มกระทบกันอยู่ในฝักเตรียมที่จะลงมือครั้งสุดท้าย มือกำจดหมายเอาไว้แน่นเตรียมพร้อมจะออกกระบี่ได้ทุกเมื่อ
ปราณแท้ไหลผ่านเส้นลมปราณที่พิการของเขาอย่างแข็งขัน เกิดพายุปั่นป่วนในห้วงแห่งจิต ทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจุดเพลิงครั้งสุดท้าย
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็สงบเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง
ยังมีเรื่องอีกมากที่เขายังทำไม่สำเร็จ
……
……
เวลาผ่านไปช้าๆ กระบี่หมื่นเล่มยังไม่ออกจากฝัก และเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เขายังไม่มอดไหม้
มิใช่เพราะบัณฑิตวัยกลางคนได้ควบคุมร่างกายเขาเอาไว้ แต่เป็นเพราะมีคนสองคนปรากฏขึ้นที่หน้าผา
เป็นชายสองคน เดินออกมาจากไม้เลื้อยที่ห้อยลงมาจากหน้าผา
ชายคนหนึ่งมีใบหน้าขาวและสีหน้าเป็นกังวล เมื่อใดก็ตามที่มองไปทางบัณฑิตวัยกลางคน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชายอีกคนมีใบหน้าประหนึ่งผ่านความผันผวนของชีวิตมามาก แต่ก็ยากจะบอกวัยที่แท้จริงของเขาได้ เขาสวมชุดที่ดูธรรมดาอย่างยิ่งท่าทางก็สงบมาก ดูเหมือนนักท่องเที่ยวที่มาชมวิวทิวทัศน์
แต่เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เพราะเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น บัณฑิตวัยกลางคนก็ไม่ได้มองที่เฉินฉางเซิงอีกต่อไปแต่กลับไปมองเขาแทน
ตอนที่อยู่ตรงริมทางภูเขาและลำธาร ไม่ว่าหลิวชิงหรือเสี่ยวเต๋อหรือแม้แต่ค่ายกลหินสวรรค์ของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ไม่อาจทำให้บัณฑิตวัยกลางคนละสายตาจากร่างของเฉินฉางเซิงได้ เพราะเป้าหมายที่เขาเดินทางจากเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่มานานพันปีก็คือเฉินฉางเซิงนั่นเอง
สำหรับบัณฑิตวัยกลางคน ไม่มีใครสำคัญไปกว่าเฉินฉางเซิง
แต่กระนั้นบัณฑิตวัยกลางคนกลับจ้องมองชายที่ดูเหมือนกับนักท่องเที่ยวนี้ด้วยความตั้งใจเกินกว่าปกติ
ภูเขาและแม่น้ำบนใบหน้าเขาดูเหมือนจะเป็นแค่ภาพลวงตาในทันที หายไปอย่างไร้ร่องรอย เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
นี่เป็นความเคารพหรือว่าความกังวล ใครกันที่มีค่าพอให้เขามอบความเคารพหรือทำให้เขาเป็นกังวลได้ เทียนไห่ สังฆราช หรือจักรพรรดิขาว
ไม่ ดูจากรูปร่างของนักท่องเที่ยวแล้วเขาไม่เหมือนกับปราชญ์ทั้งสาม
แต่สำหรับบัณฑิตวัยกลางคน นักท่องเที่ยวผู้นี้คู่ควรกับความเคารพและความระแวดระวังยิ่งกว่าปราชญ์ทั้งสามคนนั้นเสียอีก
สายลมเย็นพัดผ่านหน้าผา ท้องฟ้าราตรีถูกหินสวรรค์หลายร้อยก้อนฉีกกระชากจนค่อยๆ แตกออก แต่ก็ยังคงหม่นมัวถึงขนาดน่าอนาถอยู่บ้าง
ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานานมากและบรรยากาศบนหน้าผาก็แปลกประหลาดอย่างที่สุด
บัณฑิตวัยกลางคนและชายที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวจ้องมองกันอยู่เงียบๆ พายุสายฟ้าดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นในจุดที่สายตาของทั้งคู่ปะทะกัน แต่ก็ค่อยๆ หายไปราวกับก้อนเมฆลอยล่อง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าสถานการณ์นั้นได้เปลี่ยนเป็นดีขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวผู้นี้ แต่ว่าเขาเป็นใครกัน
นอกเหนือจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สังฆราชและจักรพรรดิขาว จะมีใครในโลกที่ดึงดูดความสนใจของบัณฑิตวัยกลางคนได้ถึงเพียงนี้ มากจนขนาดไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาคิดไม่ออกเลยสักคน
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง บัณฑิตวัยกลางคนก็เอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงดูเหมือนโศกเศร้าหรือแม้แต่อ่อนไหวอยู่บ้าง “เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย”
ชายคนนั้นยิ้มตอบ “ฝ่าบาทยังไม่ตายแล้วข้าจะตายได้อย่างไร”
บัณฑิตวัยกลางคนมองกลับไปที่เขา น้ำเสียงมีความเสียดายเล็กน้อยในยามที่กล่าว “แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องตาย”