ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 65 บนเขามีนักท่องเที่ยว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง รองเท้ากับภูเขาบดบี้ไปด้วยกันเมื่อเขาวิ่งไปในเมฆฝุ่น ในเวลาไม่นานเขาก็วิ่งขึ้นเขามาได้ครึ่งทางแล้ว

เขาไม่รู้ว่าอีกไกลเพียงไรกว่าจะไปถึงทะเลสาบสวรรค์และยอดเขาหานซาน รู้แค่ว่าเขาต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ยิ่งวิ่งไปได้ไกลเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น

แต่ในไม่ช้าเขาก็หยุดเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เขาสัมผัสได้ว่าลูกปัดหินร้อนขึ้น

เทือกเขาพลันเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม นี่คือเสียงหินหลายร้อยก้อนถูกบังคับให้เคลื่อนแหวกฝ่าอากาศเช่นนั้นหรือ

ไม่นานหลังจากนั้น เสียงหน้าผาพังทลายก็ดังขึ้น

เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่เป็นลูกปัดหินก็ร้อนขั้นเรื่อยๆ จนแทบจะลวกผิว

ทันใดนั้นเสียงทั้งหมดก็หายไป

ของสิ่งหนึ่งส่องแสงสะท้อน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือสะท้อนเข้าตาเขา

มันคือผนึก เขาไม่รู้ว่ามันถูกสลักลงบนหินประเภทใด แต่เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งแปลกประหลาดอะไรจากสิ่งนี้

หินผนึกส่ายไหวอยู่ในสายลมอย่างแผ่วเบา

ผนึกนั้นผูกมัดอยู่กับข้อมือของชายคนหนึ่ง

คือบัณฑิตวัยกลางคน

จากนั้นเฉินฉางเซิงก็เห็นหินสวรรค์หลายร้อยก้อนติดตามบัณฑิตวัยกลางคนไป

เห็นได้ชัดว่าพวกมันสะกดความเร็วของเขาเอาไว้ด้วยพลังพิสดาร มืดฟ้ามัวดิน การพยายามเหนี่ยวรั้งความเร็วของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดานี้ทำให้พวกมันดูเหมือนเป็นทั้งผนึกและเครื่องประดับของเขา

นี่คือหน้าผา ด้านบนมีคูตื้นๆ ถูกขุดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เป็นเส้นทางลวกๆ ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยตะไคร่

เฉินฉางเซิงอยู่ใต้หน้าผาในขณะที่บัณฑิตวัยกลางคนอยู่ด้านบน ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น

“มนุษย์อย่างเจ้าดูเหมือนจะชอบติดอยู่ในกับดักที่พวกเจ้าสร้างขึ้นเองนะ”

บัณฑิตวัยกลางคนมองดูเขาอย่างสุขุมและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าค่ายกลหินสวรรค์ที่ผนึกภูเขานี้ไว้เป็นแผนการหรือเปล่า แต่ข้ารู้ว่ามันได้ผนึกความตายของเจ้าไว้ในเขาแห่งนี้”

เฉินฉางเซิงไม่ตอบเพราะมันไม่มีความหมาย

ไม่มีความสิ้นหวังอยู่ในใจของเขา เพราะมันไม่มีความหมาย

ดวงจิตของเขาสัมผัสอยู่ที่ลูกปัดหินดำ เตรียมตัวที่จะหนีเข้าไปในสวนโจวเป็นการชั่วคราว

เขาไม่รู้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนจะสามารถทำลายม่านพลังรอบสวนโจวได้หรือไม่ หากการสันนิษฐาจของเขากับสวีโหย่วหรงถูกต้อง คนผู้นี้เคยบุกเข้าไปในสวนโจวมาแล้ว ดังนั้นหากเขาเข้าไปในสวนโจวต่อหน้าต่อตาคนผู้นี้ ก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย แต่ด้านหลังคือหน้าผาและเขาก็อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ดังนั้นก็ได้แต่ต้องทดลองดู

ที่ทำให้เขาตกใจและประหลาดใจก็คือ เขาไม่อาจใช้หินดำเข้าสู่สวนโจวได้

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขายังอยู่ในหานซานหลังชนหน้าผา

เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะค่ายกลหินสวรรค์ที่ผนึกพื้นที่รอบหานซานหรือว่าเป็นเพราะบัณฑิตวัยกลางคนนั้นทรงพลังจนทำให้การมีอยู่ของเขานั้นส่งผลต่อห้วงมิติ

สรุปก็คือเขาไม่สามารถเข้าไปในสวนโจวและเสียกลยุทธ์สุดท้ายไปแล้ว

แต่เขาก็ยังไม่สิ้นหวัง

เขายกกระบี่ไร้ราคีขึ้นและกำซ่อนคมเอาไว้ จ้องมองไปทางบัณฑิตวัยกลางคนด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น

นี่เป็นศัตรูที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ แต่แล้วจะทำไม

บัณฑิตวัยกลางคนแสดงความชื่นชมเล็กน้อยในสายตา “เจ้าคงรู้เป้าหมายของข้าสินะ”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวต่อ “ข้าจะค่อยๆ กินเจ้าด้วยความขอบคุณจากใจ”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้ารู้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน ข้ายังรู้จักการทำให้หยกกระเบื้องแหลกลาญไปพร้อมกัน ผู้อาวุโสซูหลีสอนเพลงกระบี่สันดาปให้ข้า ข้าสามารถเผาไหม้ตัวเองจนกลายเป็นเถ้า”

บัณฑิตวัยกลางคน “คิดจะใช้ความตายมาขู่ข้าอย่างนั้นหรือ แม้ว่าการเล่นกับชีวิตเหยื่อจะสนุก แต่ข้าก็ไม่สนหรอกนะหากต้องฆ่าเจ้าเสียก่อน”

เฉินฉางเซิงตอบ “แต่เจ้าก็ยังไม่ฆ่าข้า”

ใช่แล้ว หากบัณฑิตวัยกลางคนต้องการจะสังหารเขา ไม่ว่าเขาจะมีร่มกระดาษทองหรือกระดุมพันลี้หรือจดหมายก็ตาม เขาก็ยังต้องตายอยู่ดี

รอยยิ้มบัณฑิตวัยกลางคนจางลง เขากล่าวอย่างเรียบเฉย “ต่อหน้าข้าต่อให้คิดจะตายก็ไม่ง่ายนัก”

“ข้าอยากจะลองดู”

ในเมืองสวินหยางตอนเผชิญหน้ากับจูลั่ว หวังผ้อก็พูดเช่นนี้ ต้องการจะดูว่าเขาจะโจมตีจูลั่วได้สักครั้งหรือไม่ วันนี้ที่หานซาน เฉินฉางเซิงก็พูดคำนี้ เขาอยากจะลองดูว่าหากเขาจะเผาตัวเองเป็นเถ้าต่อหน้าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ได้หรือไม่

กระบี่หมื่นเล่มกระทบกันอยู่ในฝักเตรียมที่จะลงมือครั้งสุดท้าย มือกำจดหมายเอาไว้แน่นเตรียมพร้อมจะออกกระบี่ได้ทุกเมื่อ

ปราณแท้ไหลผ่านเส้นลมปราณที่พิการของเขาอย่างแข็งขัน เกิดพายุปั่นป่วนในห้วงแห่งจิต ทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจุดเพลิงครั้งสุดท้าย

เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็สงบเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง

ยังมีเรื่องอีกมากที่เขายังทำไม่สำเร็จ

……

……

เวลาผ่านไปช้าๆ กระบี่หมื่นเล่มยังไม่ออกจากฝัก และเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เขายังไม่มอดไหม้

มิใช่เพราะบัณฑิตวัยกลางคนได้ควบคุมร่างกายเขาเอาไว้ แต่เป็นเพราะมีคนสองคนปรากฏขึ้นที่หน้าผา

เป็นชายสองคน เดินออกมาจากไม้เลื้อยที่ห้อยลงมาจากหน้าผา

ชายคนหนึ่งมีใบหน้าขาวและสีหน้าเป็นกังวล เมื่อใดก็ตามที่มองไปทางบัณฑิตวัยกลางคน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชายอีกคนมีใบหน้าประหนึ่งผ่านความผันผวนของชีวิตมามาก แต่ก็ยากจะบอกวัยที่แท้จริงของเขาได้ เขาสวมชุดที่ดูธรรมดาอย่างยิ่งท่าทางก็สงบมาก ดูเหมือนนักท่องเที่ยวที่มาชมวิวทิวทัศน์

แต่เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

เพราะเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น บัณฑิตวัยกลางคนก็ไม่ได้มองที่เฉินฉางเซิงอีกต่อไปแต่กลับไปมองเขาแทน

ตอนที่อยู่ตรงริมทางภูเขาและลำธาร ไม่ว่าหลิวชิงหรือเสี่ยวเต๋อหรือแม้แต่ค่ายกลหินสวรรค์ของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ไม่อาจทำให้บัณฑิตวัยกลางคนละสายตาจากร่างของเฉินฉางเซิงได้ เพราะเป้าหมายที่เขาเดินทางจากเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่มานานพันปีก็คือเฉินฉางเซิงนั่นเอง

สำหรับบัณฑิตวัยกลางคน ไม่มีใครสำคัญไปกว่าเฉินฉางเซิง

แต่กระนั้นบัณฑิตวัยกลางคนกลับจ้องมองชายที่ดูเหมือนกับนักท่องเที่ยวนี้ด้วยความตั้งใจเกินกว่าปกติ

ภูเขาและแม่น้ำบนใบหน้าเขาดูเหมือนจะเป็นแค่ภาพลวงตาในทันที หายไปอย่างไร้ร่องรอย เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

นี่เป็นความเคารพหรือว่าความกังวล ใครกันที่มีค่าพอให้เขามอบความเคารพหรือทำให้เขาเป็นกังวลได้ เทียนไห่ สังฆราช หรือจักรพรรดิขาว

ไม่ ดูจากรูปร่างของนักท่องเที่ยวแล้วเขาไม่เหมือนกับปราชญ์ทั้งสาม

แต่สำหรับบัณฑิตวัยกลางคน นักท่องเที่ยวผู้นี้คู่ควรกับความเคารพและความระแวดระวังยิ่งกว่าปราชญ์ทั้งสามคนนั้นเสียอีก

สายลมเย็นพัดผ่านหน้าผา ท้องฟ้าราตรีถูกหินสวรรค์หลายร้อยก้อนฉีกกระชากจนค่อยๆ แตกออก แต่ก็ยังคงหม่นมัวถึงขนาดน่าอนาถอยู่บ้าง

ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานานมากและบรรยากาศบนหน้าผาก็แปลกประหลาดอย่างที่สุด

บัณฑิตวัยกลางคนและชายที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวจ้องมองกันอยู่เงียบๆ พายุสายฟ้าดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นในจุดที่สายตาของทั้งคู่ปะทะกัน แต่ก็ค่อยๆ หายไปราวกับก้อนเมฆลอยล่อง

เฉินฉางเซิงรู้ว่าสถานการณ์นั้นได้เปลี่ยนเป็นดีขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวผู้นี้ แต่ว่าเขาเป็นใครกัน

นอกเหนือจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สังฆราชและจักรพรรดิขาว จะมีใครในโลกที่ดึงดูดความสนใจของบัณฑิตวัยกลางคนได้ถึงเพียงนี้ มากจนขนาดไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาคิดไม่ออกเลยสักคน

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง บัณฑิตวัยกลางคนก็เอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงดูเหมือนโศกเศร้าหรือแม้แต่อ่อนไหวอยู่บ้าง “เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย”

ชายคนนั้นยิ้มตอบ “ฝ่าบาทยังไม่ตายแล้วข้าจะตายได้อย่างไร”

บัณฑิตวัยกลางคนมองกลับไปที่เขา น้ำเสียงมีความเสียดายเล็กน้อยในยามที่กล่าว “แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องตาย”