มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 682
ที่สำคัญก็คือกระแสพลังอันดุเดือดกลุ่มนี้ได้กระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ ทุกพื้นที่ของร่างเนื้อต่างก็ถูกกระแสพลังกรีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ ไม่นานการป้องกันก็ได้ถูกทำลายลง

การป้องกันจุดหนึ่งถูกทำลายลง ก็ได้เป็นเหมือนกับปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่นานบนร่างกายของหลัวซิวก็ได้มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นสิบสาย เลือดไหลหยดย้อย

“พรึบ!”

เพลิงมรณะลุกพรึบขึ้นมาบนผิวหนังของเขา กลายเป็นเกาะพลังจิตแท้ ทว่ากระแสพลังอันดุร้ายที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งกลับเหมือนไม่เห็นการป้องกันของเกาะพลังจิตแท้อยู่ในสายตาเลยสักนิด ยังคงกรีดลงบนร่างกายของเขาอยู่ไม่หยุด

การโจมตีทางวิญญาณไม่ได้ผล การป้องกันโดยพลังจิตแท้ก็ไร้ผลเช่นเดียวกัน!

ผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างสถานที่ฝึกฝนเหล่านี้ขึ้นมาอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าจะไม่ให้เกิดการฉายโอกาสเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

“เทียบกับอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ข้ายังด้อยกว่านัก” หลัวซิวยิ้มส่ายหน้าอย่างขมขื่น

เขาเชื่อมาตลอดว่าระดับกลั่นร่างของเขานั้นสูงพอสมควร ในหมู่คนหนุ่มสาวนั้นน้อยมากที่จะเทียบกับเขาได้

แต่หลังจากที่เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขากลับพบว่ามีอยู่หลายคนที่สามารถผ่านชั้นที่สองของหอคอยร่างทองไปได้ ถึงตระหนักได้ว่า ผู้ที่มีแดนร่างเนื้อแข็งแกร่งกว่าตนนั้น มีอยู่มากมายนัก

ในเมื่อตัวสำนึกและพลังจิตแท้ใช้อยู่ที่นี่ไม่ได้ผล หลัวซิวเลยไม่ต่อต้านอีก และนั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้นที่สีทองแห่งนี้ ปล่อยให้กระแสพลังอันดุร้ายกรีดลงไปบนร่างของตัวเอง

บาดแผลเหวอะหวะน่ากลัวปรากฏขึ้นมาบนร่างกายอย่างไม่ขาดสาย แต่จากการขับเคลื่อนเคล็ดวิชาวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด พลังแห่งชีวิตได้คอยซ่อมแซมลายเส้นชีวิตที่เสียหายอย่างต่อเนื่อง บาดแผลได้กลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าสภาพเลือดอาบไปทั้งตัวของหลัวซิวในตอนนี้จะดูน่าหวาดกลัว แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด

“แบบนี้ไม่ได้……”

เห็นว่าเวลาหนึ่งก้านธูปใกล้จะผ่านไปแล้ว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง

แม้ว่ากระแสพลังอันดุร้ายจะสามารถทำรายการป้องกันร่างเนื้อของเขาได้ แต่กลับไม่สามารถสร้างอันตรายเขาได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถกระตุ้นพลังผู้เป็นอมตะได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขาอยู่ที่นี่โดยเสียเวลา นอกจากสามารถฝึกตนอยู่ในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสามวันแล้ว ความสามารถกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยสักนิด

สำหรับการใช้ร่างเนื้ออสุราทะลวงพื้นที่สีทองแห่งนี้ หลัวซิวเห็นว่าตอนนี้ตนยังไม่สามารถทำได้

“ดูท่าคงต้องไปที่ชั้นสองแล้ว”

จากนั้นไม่นานนัก ธูปก้านหนึ่งก็ได้มอดไหม้ไปจนหมด ทันใดนั้นธูปก้านใหม่ก็ได้ถูกจุดขึ้นมาบนกระถางที่อยู่บนโต๊ะใหม่อีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน กระแสพลังอันดุร้ายที่แผ่ซ่านอยู่ในพื้นที่สีทอง ก็ได้เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาอีกมาก

พลัวะ!

ชั่วพริบตา บริเวณไหล่ของหลัวซิวก็ได้เกิดบาดแผลขึ้นมาหนึ่งแผล เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดออกมา

พลัวะ! พลัวะ! พลัวะ! ……

จากนั้นสถานที่อื่น ๆ บนร่างกายต่างได้ถูกกระแสพลังอันดุร้ายกรีดเป็นแผล เลือดไหลดั่งสายน้ำ

แกร็ก!

การโจมตีของกระแสพลังอันดุร้ายได้เพิ่มขึ้นเป็นระดับมหายุทธ์ขั้นสี่ตั้งแต่ที่ได้เข้าชั้นที่สองของหอคอยร่างทอง หน้าอกของหลัวซิวถูกกระแสพลังสายหนึ่งโจมตีเข้าอย่างแรง กระดูกซี่โครงหักไปสองท่อน

“มาเถอะ!”

หลัวซิวกัดฟันแน่น ความเจ็บปวดจากการฉีกขาดของร่างเนื้อ ทำให้สองตาของเขาแดงก่ำ บนปากเต็มไปด้วยรอยเลือด

……

ในตอนที่หลัวซิวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มระดับแดนร่างเนื้อของเขาอยู่ในหอคอยเทพจิตนั่นเอง เหล่าอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ผู้ที่ได้ทะลวงหอคอยฝึกตนไปแล้ว ต่างก็ได้รับโอกาสฝึกตนในตำหนักเต๋า

ในนั้นซิงหลิงได้ทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งและสองของทั้งหอคอยฝึกตนทั้งสี่แห่งเป็นที่เรีบร้อย และได้รับโอกาสฝึกตนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยวัน!

และได้ทดลองอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถผ่านด่านที่สามไปได้ ซิงหลิงจึงได้เข้าสู่ตำหนักเต๋าเพื่อตระหนักรู้ร่องรอยแห่งกฎ เตรียมที่จะเพิ่มพลังของตนเองเข้าสู่ระดับใหม่ทั้งหมด